ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับคำว่า “อ้วน” คนอ้วนคือ คนที่มีค่าดัชนีมวลกาย body mass index หรือ BMI อยู่ในเกณฑ์มากกว่าค่าปกติ ซึ่งค่าปกติอยู่ระหว่าง 18-23 สูตรคำนวณก็ง่ายๆ คือน้ำหนักตัวเป็นหน่วยกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตร ยกกำลัง 2แต่ถ้าหากมีค่าเกินเกณฑ์หรือปริ่มเกณฑ์ คุณก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อน ต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด แบบนี้ต้องลดความอ้วนอย่างด่วน ถือว่าอันตราย แต่หากค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองอ้วนอยู่ อาจเป็นเพราะมีไขมันส่วนเกินเฉพาะส่วน เช่นที่หน้าท้อง พุงเป็นชั้นๆ ต้นแขนห้อย ต้นขาเผละ เป็นต้น ทำให้เสียความมั่นใจในการสวมใส่เสื้อผ้าแบบรัดรูป แขนกุด สายเดี่ยว หรือกางเกงขาสั้นไป
เรามาดูวิธีการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากยัยอ้วน มาเป็นสาวสวย หุ่นดี สุขภาพดี โดยเริ่มจากวิธีเบื้องต้น คือการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หรือการใช้ชีวิตประจำวัน
อาหารการกิน มื้ออาหารที่สำคัญที่สุดคือมื้อเช้า ที่เราจะขาดไม่ได้เลย โดยมื้อที่ควรทานในปริมาณเยอะคือเช้า กลางวัน เย็น ตามลำดับ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า การอดอาหารจะช่วยลดความอ้วนได้ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเราควรทานให้ครบ 3 มื้อ แต่ทานในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนมื้อที่มักเป็นปัญหา คือมื้อเย็น เนื่องจากทานเยอะและดึกเกินไป ดังนั้นไม่ควรทานอาหารหลังเวลา 1 ทุ่มไปแล้ว และเลือกทานอาหารประเภทย่อยง่าย โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตทานได้เล็กน้อย แต่งดของมันของทอด หลังจากทานอาหารควรเว้นอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง ก่อนอาบน้ำ เพื่อทำให้การย่อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมีหลายประเภท ควรเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น แอโรบิค วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ เป็นต้น โดยควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง หากเป็นการออกกำลังกายที่เผาผลาญพลังงานได้ดี จะช่วยให้ลดความอ้วนได้เร็วขึ้น
ลดความเครียด ความเครียดทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายแย่ลงและอาจส่งผลให้ทานเยอะขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ้วน ให้หาวิธีขจัดความเครียด เช่น ดูหนังฟังเพลง เล่นดนตรี อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ หรือ ช็อปปิ้ง เป็นต้น
เซ็กซ์บำบัด การมีเพศสัมพันธ์ถือเป็นการออกกำลังกายและลดความเครียดได้ ซึ่งการมีเพศสัมพันธ์ 1 ครั้งเฉลี่ยเทียบเท่ากับการวิ่งขึ้นลงบันได 10 ชั้น รวมทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน เอ็นดอร์ฟิน ( Endorphin ) ฮอร์โมนแห่งความสุขอีกด้วยการนอน เราควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และนอนก่อน 4 ทุ่มเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน ชื่อว่าโกรทฮอร์โมน ที่ช่วยทำหน้าที่ฟื้นฟูและคงความสมดุลให้กับร่างกาย
หลังจากการปรับไลฟ์สไตล์แล้ว ต่อไปคือการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่นๆ ดังนี้
การทานยาลดน้ำหนัก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพราะยาลดน้ำหนักบางตัวอาจมีส่วนประกอบที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ซึ่งยาลดน้ำหนักที่ปลอดภัยส่วนใหญ่ มักจะมีส่วนประกอบทางธรรมชาติ เช่น ผงบุก และส้มแขก เป็นต้น
การทานอาหารเสริม ควรปรึกษาแพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยก่อน เพื่อประเมินถึงภาวะโรคอ้วน หรือ อาการทางเมตาโบลิก เพื่อจะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง ซึ่งอาศัยหลักการเช่น การเปลี่ยนจากไขมันประเภทอิ่มตัวเป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัว เป็นต้น
การให้ยาทางกระแสเลือด เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเบิร์นไขมัน หรือ เผาผลาญได้ดีขึ้น ถ้าทำร่วมกับการปรับไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย จะเกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยทำทุกอาทิตย์ ประมาณ 5 – 10 ครั้ง
การใช้การแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม โดยใช้หลักกระตุ้นให้รู้สึกอิ่ม และเพิ่มกระบวนการเผาผลาญ โดยทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง ประมาณ 10-20 ครั้ง
การลดความอ้วนเฉพาะส่วน การทำ ไลโปแฟต Lipofat ด้วยการใช้ตัวยาสลายไขมันฉีดเข้าชั้นไขมัน ในตำแหน่งที่มีไขมันส่วนเกิน ตั้งแต่ หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา โดยทำ 1-2 อาทิตย์ / ครั้ง
การทำเวเซอร์ Vaser 4D เป็นการดูดไขมันโดยใช้คลื่นอัลตร้าโซนิคช่วยละลายไขมัน โดยสามารถทำได้ในตำแหน่ง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ทำเพียงครั้งเดียว ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่มีอายุไม่เกิน 60 ปีเท่านั้น
วิธีต่างๆ เหล่านี้ คุณสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของร่างกาย หรือหากมีข้อสงสัย คุณหมอยินดีให้คำปรึกษาค่ะ รับรองว่าคุณจะต้องเป็นคนที่สวย หุ่นดี สุขภาพดี แล้วไปบอกเพื่อนๆได้เลยว่า “ หยุดเรียกฉันว่ายัยอ้วน ” ได้แล้วนะคะสนับสนุนข้อมูลโดย ดร.พญ. แพรวไพลิน กุศลมโนมัย ( ดร.หมอแพม )แพทย์ประจำคลินิก บริษัท สโนว์ไวท์ คอสเมติก จำกัดAmerican Board of aesthetic medicineAmerican Board of anti-aging medicineDiploma in Dermatologyปรึกษาปัญหาได้โดยตรงที่ 0815150144www.snowwhitecosmetic.cominstagram:snowwhiteclinic facebook :snowwhiteclinic
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit