เชฟพล ตัณฑเสถียร กล่าวว่า “หลายคนเคยถามพลว่าเมนูอาหารเมนูนั้นเมนูนี้ดีต่อสุขภาพหรือไม่ จริงๆ แล้วสิ่งที่ทุกคนควรคำนึงก็คือ การรับประทานอาหารครบมาตรฐาน นั่นคือ มีความหลากหลาย มีสารอาหารที่เพียงพอและสมดุล ในขณะเดียวกัน ปริมาณที่บริโภคก็ต้องพอเหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน อาหารที่เราบริโภคในแต่ละมื้อให้พลังงานมากน้อยเพียงใด เราก็ควรจะเผาผลาญออกไปด้วยการออกกำลังให้เหมาะสม และก็ไม่ควรลืมที่จะรับประทานอาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ คือ อาหารครบ 5 หมู่ในแต่ละวัน เมนูที่พลนำเสนอในวันนี้ทุกท่านสามารถทำเองที่บ้านได้อย่างง่ายๆ และที่สำคัญยังให้คุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่ แถมยังเพิ่มความสนุกสนานในการปรุงมากขึ้นโดยการใช้ “โค้ก” เป็นส่วนประกอบเพิ่มรสชาติให้อาหารมากขึ้นอีกด้วย
เริ่มต้นที่เมนูแรก “ชิชิมิ กริลล์ ชิคเก้น เคอร์รี่ วิธ คีนัว” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “คีนัวเสิร์ฟพร้อมสันในไก่ย่างและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น” เชฟพลกล่าวว่า “เมนูนี้อาจจะฟังดูซับซ้อน แต่บอกเลยว่าทำได้ง่ายๆ แค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้นแล้วกับอาหารเมนูแสนอร่อยนี้ เมนูนี้แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ สันในไก่ปรุงรสด้วยชิชิมิ (หรือเครื่องเทศ 7 ชนิดของญี่ปุ่น ได้แก่ งาขาว งาดำ พริก พริกเสฉวน ขิง ผิวส้ม สาหร่าย) แกงกะหรี่ญี่ปุ่น และคีนัว ซึ่งเป็นธัญพืชที่องค์การสหประชาชาติหรือ UN จัดให้เป็นสุดยอดอาหารของปี 2556 ที่สามารถทานได้แทนข้าวสวย หรือหุงรวมกับธัญพืชอื่นๆ ได้”ส่วนประกอบส่วนที่1 – ไก่ย่าง- น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนชา- สันในไก่ 4 ชิ้น- โชยุ 1 ช้อนชา- ชิชิมิ พริกญี่ปุ่น 1 ช้อนชา- มะเขือเทศแดง 50 กรัม (นำมาทั้งพวง)ส่วนที่ 2 – แกงกะหรี่- น้ำมันรำข้าว 2 ช้อนชา- หอมใหญ่ 80 กรัม- แครอท 80 กรัม- มันฝรั่ง 80 กรัม- ซอสมะเขือเทศ 1 ½ ช้อนโต๊ะ- ก้อนปรุงแกง 35 กรัม (แกงกะหรี่ก้อน)- “โค้ก” 330 กรัม (ประมาณ 1 กระป๋อง)- โชยุ ½ ช้อนชาส่วนที่ 3 – คีนัว- คีนัว ½ ถ้วยตวงข้าว- บาร์เลย์ ½ ถ้วยตวงข้าว- ข้าวกล้อง ½ ถ้วยตวงข้าววิธีทำ
1. แช่บาร์เลย์ในน้ำประมาณ 3 ชั่วโมง ล้างคีนัวและข้าวกล้องกับน้ำสะอาด 2-3 รอบ และสะเด็ดน้ำให้ดี นำบาร์เลย์และคีนัวใส่น้ำให้สูงขึ้นมาประมาณ 1 ข้อนิ้ว หุงในหม้อหุงข้าวจนสุกดี
2. หมักสันในไก่กับโชยุประมาณ 15 นาที ตั้งกระทะสำหรับย่างไก่ อุ่นให้ร้อนดี ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย นำชิ้นไก่และมะเขือเทศวางลงบนกระทะที่ร้อน ย่างไก่ด้านละ 2 นาที นำออกจากความร้อน ห่อด้วยฟอยล์และพักให้เย็นลง สำหรับมะเขือเทศให้ย่างจนผิวเริ่มแตกและมีสีสวย พักไว้
3. ทำแกง โดยหั่นหอมใหญ่ แครอท และมันฝรั่งเป็นชิ้นขนาด 1 เซนติเมตร ใส่น้ำมันลงในหม้อ พอน้ำมันร้อนดี ใส่ผักลงไป ผักจนสีสวย ประมาณ 3-4 นาที ใส่ “โค้ก” ลงไป ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ ปิดฝาเคี่ยวจนผักสุกดีประมาณ 10 นาที ใส่ก้อนแกงลงไปคนให้ละลาย ปรุงรสด้วยโชยุ
ทิปจากเชฟพล – เมื่อย่างไก่เสร็จแล้ว ให้ห่อฟอยล์เพื่อรักษาความร้อน และป้องกันไม่ให้เนื้อไก่แห้ง เราไม่ควรหั่นไก่ที่ย่างเสร็จใหม่ๆ หรือยังร้อนอยู่ทันที เพราะจะทำให้ความชุ่มชื้นภายในนั้นลดลง ควรจะพักไว้เป็นเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เราใช้ปรุง หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับการรปรุงเนื้อวัว หรือเนื้อหมูที่มีความหนาด้วยเช่นกัน
เสร็จสิ้นกับของคาวไปแล้ว ทีนี้ถึงเมนูเครื่องดื่ม “ต้มยำโค้ก” ม็อกเทลสุดชิคกันบ้าง ซึ่งฟังชื่อเมนูนี้แล้วอาจจะดูไม่แน่ใจกับรสชาติ แต่เชฟพลการันตีความอร่อย เมื่อ “โค้ก” ได้รับการปรุงรสด้วยสมุนไพรต้มยำแบบไทยๆ พริก ใบมะกรูด ตะไคร้ ข่า มะนาว ผ่านใช้เทคนิค “Muddling” ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับการทำ Mojito ค็อกเทลยอดนิยมนี้ คุณก็จะได้รับความซ่าสดชื่นพร้อมความเผ็ดร้อนเล็กๆ ของสมุนไพรนานาชนิด ดับร้อนยามบ่ายส่วนประกอบ (ต่อ 2 ท่าน)- “โค้ก” 2 กระป๋อง- ตะไคร้ 6 ต้น- ใบมะกรูด 8 ใบ- ข่า 6 แว่น- พริกขี้หนู 4 เม็ด- มะนาว 2 ผล- ใบสะระแหน่ กำเล็กๆ- น้ำแข็งวิธีทำ
1. หั่นตะไคร้เฉพาะตรงโคนก้านที่หนาเป็นท่อนขนาด 1 นิ้ว
2. เตรียม Mixing Glass ใส่ตะไคร้ลงไป 3-4 ชิ้น ฉีกใบมะกรูด 3 ใบใส่ลงไป ตามด้วยข่า 3 แว่น พริกขี้หนู 1 เม็ด หั่นมะนาวเป็นเต๋าๆ ใส่ลงไป ½ ผล และใบสะระแหน่ 10 ใบ ใช้ไม้ Muddler กดให้กลิ่นสมุนไพรผสมผสานกับน้ำมะนาว เติม “โค้ก” ลงไปประมาณ ½ กระป๋อง คนให้รสของสมุนไพรกระจายทั่วดี
3. กรองส่วนผสมใส่แก้วตามด้วยน้ำแข็ง ใส่มะนาวที่เหลือลงไป เติม “โค้ก” ให้เต็มแก้วดี แต่งแก้วด้วยตะไคร้ ใบมะกรูด พริก และใบสะระแหน่
ทิปจากเชฟพล – Muddler หรือไม้บด Mojito อาจจะดูเหมือนสากของบ้านเรา แต่วิธีการใช้แตกต่างกัน เวลาใช้ Muddler คือใช้การกดปลายลงไปที่ส่วนผสมสมุนไพรต่างๆ แล้วบิดข้อมือเล้กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมต่างๆ คลายน้ำมันหอมระเหย กลิ่น และรสชาติออกมา สำหรับเมนูนี้ เชฟพลแอบกระซิบ สาวๆ หนุ่มๆ คนไหนที่ชอบเปรี้ยว แซ่บ เผ็ด เครื่องเทศอย่างไร ประยุกต์กันได้ตามใจเลย
เชฟพลยังทิ้งท้ายไว้อีกว่า โค้ก เป็นส่วนผสมที่มีความหลากหลายในตัวเอง มีรสชาติเฉพาะตัว จึงสามารถเพิ่มความหวานละมุน ทำให้อาหารจานเด็ดของคุณอร่อยขึ้นมาได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อย่ามัวแต่ทานอาหารจานอร่อยจนลืมนับแคลอรีหรือลืมออกกำลังกายให้พอสำหรับตัวคุณหล่ะ ไม่งั้นความอ้วนถามหาแน่นอน
HTML::image( HTML::image( HTML::image(ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit