“ออแกไนซ์ ” ยุคใหม่ ไม่เน้นขายภาพลักษณ์ เน้นขายของ

21 Jul 2014
จากประสบการณ์การทำงานด้านที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ และการจัดงานอีเวนท์ ออแกไนซ์มานานกว่า 10 ปี เริ่มต้นจากการเป็นลูกจ้างทั้งองค์กรใหญ่และองค์กรเล็ก จึงรู้จุดผิดพลาดของการทำงานด้านนี้เป็นอย่างดี
“ออแกไนซ์ ” ยุคใหม่ ไม่เน้นขายภาพลักษณ์ เน้นขายของ

ชลธิดา เนตรสว่าง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดับเบิ้ลพราว จำกัด และพรประสิทธิ์ เหมรา ผู้อำนวยการฝ่ายการจัดการ บริษัทดับเบิ้ลพราว จำกัด บริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์และการตลาดแนวใหม่ภายใต้แบรนด์ดับเบิ้ลพราว เล่าว่า เริ่มเปิดบริษัท ดับเบิ้ล พราว ในปี 2555 ซึ่งเป็นบริษัทออแกไนซ์ อีเวนท์ และรับงานที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ รวมทั้งรับดูแลงานด้านการตลาดให้กับลูกค้าควบคู่ไปด้วย ซึ่งผลตอบรับดีมากเพราะมีลูกค้าเก่าๆ ให้ความไว้วางใจให้บริษัทดับเบิ้ลพราวดูแลต่อ เรียกว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะระยะเวลาแค่ 2 ปี บริษัทมีลูกค้าที่ต้องดูแลมากกว่า 30 รายการ และเป็นลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจ เชื่อใจ และยังคงรักษาความสัมพันธ์ ซึ่งเราดูแลเหมือนคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน

“เราผ่านประสบการณ์หลากหลายมาทุกรูปแบบ งานโดนรีเจค งานเลื่อนกะทันหัน ฝนตกพายุสาดมาหน้างาน ลูกค้าจ่ายช้า ลูกค้าเบี้ยว ซับพลายเออร์โกง คู่แข่งสาดโคลน ขโมยลูกค้าสารพัดพิษ สารพัดแบบ ...แต่เราผ่านมาได้และทำให้เราแข็งแรงมากในนาทีนี้ เพราะใจเรานิ่ง และเรามั่นใจในความซื่อตรงของเรา ซื่อกินไม่หมด คดน่าจะอดกินตั้งแต่แรก ลูกค้าสมัยนี้รู้ทันและเก่งมาก ลูกค้าสมัยนี้รู้จักเลือกซับพลายเออร์ที่ตอบโจทย์ธุรกิจของตัวเองได้เป็นอย่างดี

เราคิดว่าสิ่งแรกที่สำเร็จได้ คือเรื่องงาน เหมือนว่าสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า และความไว้วางใจ ให้เขาเชื่อใจ และให้ใจเรา เหมือนคนในครอบครัว ซึ่งปัจจุบัน ลูกค้าหลักๆ จะเป็นกลุ่มคอนซูเมอร์โปรดักส์ ธรุกิจอสังหาริมทรัพย์ และก็หลากหลายกลุ่ม และส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้ามาจะเป็นลูกค้าปากต่อปาก และมีเฟซบุ๊กเพื่อโปรโมทไปในตัวเอง จะมีทั้งลูกค้า และ คู่แข่งเข้ามาดูความเคลื่อนของบริษัทเราตลอด และลูกค้าเขาไว้ใจ รู้เรื่องการเงินการตลาดของลูกค้าดี เราจึงไม่ทำบริษัทเล็กๆ เพื่อมาทำงานให้ลูกค้าคู่แข่ง

จุดเด่นของดับเบิ้ลพราว คือเรื่องของทีมงาน คุณภาพของการบริการ และที่สำคัญคือเรื่องของราคา เรียกว่า ราคาสบายใจคนจ่ายและมีคุณภาพ และความซื่อตรง จริงใจ รวมทั้ง ดูแลลูกค้าแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เราจะให้ความสำคัญเสมือนคนในครอบครัว

นางสาวชลธิดา มองธุรกิจออแกไนซ์ ในอนาคตว่า ธุรกิจนี้ต้องเปลี่ยนไปตามยุค ต้องทันสมัย ไม่ใช่แค่ออแกไนซ์ขายภาพลักษณ์เหมือนยุคเก่าแล้ว แต่ต้องเป็นออแกไนซ์ขายของด้วย คือลูกค้าเราสามารถ ทำยอดขายได้ ไม่ได้แค่แถลงข่าวสร้างความลักษณ์ แล้วจบ จะเรียกว่าเป็น “ออแกไนซ์ ขายของ” เพราะเราไม่ได้ขายงานอย่างเดียว จ้างบริษัทดับเบิ้ลพราวแล้ว ต้องขายของต่อเนื่องได้ นอกจากจะได้ภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดแล้วต้องได้ยอดขายด้วย นี้คือ จะจุดเด่นของเรา และเน้นความซื่อสัตย์ เพราะต่อไปธุรกิจออแกไนซ์จะมีการแข่งขันสูง และเป็นธุรกิจที่คนอยากเข้ามาทำเยอะ แต่บริษัทเปิดแล้วจะสามารถครองใจลูกค้าได้นานเท่าไร รูปแบบบริษัทมันต้องกระชับขึ้น เล็กขึ้น องค์กรใหญ่ๆ มากๆ จะมีขั้นตอนต่างๆมากมาย หากแต่บริษัทเล็กๆ ที่มีความกระชับรับทุกโจทย์ระบบการทำงานไม่ซับซ้อน สามารถตัดสินใจได้เร็วจะสามารถตอบโจทย์ได้คล่องตัวกว่า

“ธุรกิจนี้โดยภาพรวมเป็นเรื่องของคอนเนคชั่น ถ้าเราจริงใจทำงานจริงจัง ทุกคนพร้อมจะเป็นเพื่อนกับเราเสมอ เราเป็นบริษัทเล็กๆมากเมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งหมดของวงการนี้ แต่เราโชคดีที่ลูกค้าเชื่อใจ ไว้ใจและให้โอกาส เราถึงโตมาได้อย่างก้าวกระโดดในวันนี้ เชื่อว่า โอกาสเป็นของทุกคนที่ลงมืออย่างจริงจัง ปีหน้าเราจะขยายไปยังต่างประเทศ มีโปรเจค คอนเสิร์ตในต่างประเทศและที่กำลังจะนำเข้ามา มีการทำดีลในเรื่องของพรีเซนเตอร์ให้สินค้าต่างๆ แผนกทัวร์กำลังต่อยอดการจัดสัมนาแบบหมู่คณะ และสุดท้าย เรากำลังสู้กับโอกาสของตัวเอง และเก็บโอกาสนั้นไว้กับเราให้นานที่สุด”

นอกจากนี้จะขยายออฟฟิศและเพิ่มทีมงาน เพราะบริษัทมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดมาก โดยจะขยายเป็นโฮมออฟฟิศ ย่านลาดพร้าว และทุกคนต้องเติบโตไปพร้อมกับบริษัท เพราะตอนนี้พนักงานทำงานหนัก ก็ย่อมมีผลตอบแทนอย่างมีคุณค่า และเพิ่มพนักงานขึ้น โดยมีการเพิ่มในส่วนของภาคสนามจัดงานโรดโชว์ ตามต่างจังหวัด