บทสัมภาษณ์ "แอฟ ทักษอร กับบทบาท มณีจันทร์ ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ยุทธหัตถี"

16 Apr 2014

คือความภาคภูมิใจเสมอในทุกครั้งที่เราพูดว่าเราได้เล่นภาพยนตร์เรื่องนี้”

กับประสบการณ์ตลอด 1 ทศวรรษที่กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด

1 ใน 3 ของชีวิตที่เป็นทุกอย่างในชีวิตของ

แอฟ ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ (เตชะณรงค์) กับบทบาท มณีจันทร์

หญิงสาวผู้เป็นคู่คิดและคู่ชีวิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Q: เมื่อเอ่ยชื่อท่านมุ้ย มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคลผู้กำกับที่เรียกได้ว่าเป็นครูใหญ่ของวงการภาพยนตร์ไทยและเป็นหม่อมเจ้าผู้มีสายเลือดนักทำหนังผู้มีอาชีพเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาทั้งชีวิตในมุมมองของเราเป็นอย่างไรบ้าง

A: เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะคะ(หัวเราะ) เจอท่านตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ก็สัก13หรือ 14ปีนี่ละค่ะ คือให้นึกถึงท่านภาพแรกที่นึกถึงเลย คือตอนที่แอฟได้มีโอกาสเข้าไปพบท่าน ตอนแรกก็จินตนาการไปต่างๆนานา ด้วยความที่ตอนนั้นเราก็เด็กประสบการณ์ในวงการบันเทิงเราก็น้อย แม้กระทั่งในวงการหนัง หรือว่าการมาเจอผู้กำกับที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ได้ เราก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา บวกกับจินตนาการไปว่าท่านต้องดุ ต้องเข้มแน่เลย ปรากฏว่าเจอวันแรกแปลกใจมาก กลับไปถึงบอกกับที่บ้านว่าท่านไม่ได้เป็นเหมือนที่เราจินตนาการไว้เลย คือท่านให้ความเมตตาในทุกๆด้านในความเป็นกันเอง ทั้งๆที่เราคิดว่าเราเป็นเด็กคนหนึ่งไม่ได้เป็นใครมาจากไหน คือท่านไม่จำเป็นต้องให้เวลา หรือว่าให้ความสำคัญในการอธิบายใน สิ่งต่างๆด้วยตัวเอง จริงๆให้ทีมงานอธิบายก็ได้ ตอนแรกยังคิดว่าท่านคงเรียกมาดูหน้าดูๆแล้วก็ไปๆ ปรากฏว่าเจอครั้งแรกก็เลยรู้สึกประทับใจมาก ที่ท่านให้โอกาสเราพูดคุย แล้วก็อธิบายถึงบทที่ท่านสนใจอยากจะให้มารับ บทนี้เป็นยังไงท่านก็เล่า หลังจากนั้นก็เลยเรียนรู้เรื่อยมาว่าท่านมีลักษณะของความเป็นครูค่ะ คือมีความสุขในการที่จะสอนไม่ว่าจะเป็นเด็กรุ่นเล็กขนาดไหน ท่านก็ไม่ถือ คือหนึ่งท่านเป็นเจ้า สองท่านเป็นผู้กำกับใหญ่อีกอย่างท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะเสียเวลาที่จะสอนเด็กรุ่นหลัง แม้ว่าแอฟในวันนั้นเป็นเด็กคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยไปประทับใจที่สุด ถือว่าท่านเป็นครูทางด้านภาพยนตร์คนแรกในชีวิตเลยคะ

Q: มาถึงตรงนี้ 10 ปีแล้วพูดได้มั้ยว่า ได้อะไรจากท่านมุ้ยบ้าง

A: ได้ทุกอย่างเลยค่ะทั้งเรื่องในแง่เทคนิคการแสดง ในการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากนั้นเรายังได้ในแง่ของหลักการทำงานความทุ่มเทในการทำงาน คือสำหรับท่านแล้วแอฟมองว่าท่านไม่เคยแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวเลยคือท่านมองว่า งานคือชีวิตชีวิตคืองานอย่างนั้นเลยค่ะ คือเป็นบุคคลที่ทุ่มเทให้กับการทำงานมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยเจอมาในชีวิตเลย ซึ่งท่านทำอย่างนั้นได้เพราะว่าท่านรัก และภาพยนตร์คือชีวิตของท่านจริงๆเพราะฉะนั้นท่านจึงไม่รู้สึกว่านี่คือการทำงาน หรือโอ้โห..เราต้องทำงานจนถึงกี่โมงแต่ว่าคือทุกๆนาทีที่ผ่านไปท่านมีความสุข ท่านก็เลยไม่ได้รู้สึกว่านี่เราทำงานมาเป็น10ชั่วโมงแล้วนะ เพราะว่าในทุกๆนาทีที่ท่านมุ้ยทำอยู่อันนั้นมันคือความสุขของท่าน สำหรับแอฟแล้วประทับใจมากที่ท่านมุ้ยให้โอกาสค่ะ

Q: ตอนนี้อยากให้แอฟอัพเดทชีวิต และผลงานในปัจจุบัน

A:สำหรับตอนนี้ก็รับงานทางด้านบันเทิงลดน้อยลงนะคะอะไรที่เป็นงานระยะยาวก็จะไม่ได้รับค่ะเพราะว่าตั้งแต่แต่งงานมาก็ มาช่วยทำธุรกิจกับสามีก็เลยเปลี่ยนทิศทางในด้านการทำงานนิดหนึ่ง แล้วก็อาจจะมีวางแผน ครอบครัวจะมีลูกประมาณนี้คะก็เลยยังไม่ได้รับงานอะไรที่เป็นระยะยาว

Q: ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ถือได้ว่าได้ทำอะไรในวงการบันเทิงมาเยอะทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นละคร ,ถ่ายแบบโฆษณา, พรีเซนเตอร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์,มิวสิควิดีโอ เรียกได้ว่าทำอะไรมาจนจะครบหมดแล้ว

A: ในส่วนของงานบันเทิงก็เป็นชีวิตแอฟเลยละค่ะ จนถึงทุกวันนี้ก็ทำงานมาประมาณ 12 ปี เริ่มจากสมัยก่อน เหมือนเด็กทั่วๆไปก็จะเป็นถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบทำมาหมดแล้วทุกอย่าง โดยที่งานหลักของแอฟก็คืองานละคร งานภาพยนตร์ที่รับบทเต็มตัว ก็จะมีตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ

Q: เมื่อพูดถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในความรู้สึกของเราที่มีต่อท่านเป็นอย่างไรบ้าง

A: ในภาพความคิดของแอฟคือจะรู้สึกว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ท่านทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สำคัญที่ทำให้ คนไทยมีแผ่นดินไทยอยู่จนถึงทุกวันนี้ ทุกคนรู้จักท่านในแง่การมียุทธหัตถี เป็นศึกใหญ่ครั้งสำคัญของคนไทย แล้วก็คนจะรู้สึกว่าท่านเก่งในด้านของวิชาการรบ ยุทธวิธีในการรบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรบแบบกองโจร แล้วก็ท่านมีความรัก และห่วงใยใกล้ชิดในประชาชนของท่าน

Q: พูดถึงโปรเจ็คต์ภาพยนตร์ที่ว่ากันว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างภาพยนตร์ของไทย สมกับชื่อ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกันบ้าง เมื่อเอ่ยชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง

A: ครั้งแรกที่ได้ยินโปรเจ็คต์นี้ก็ทราบอยู่แล้วน่าจะเป็นโปรเจ็คต์ที่ใหญ่ สำหรับในวงการภาพยนตร์ไทย แต่ว่าก็ต้อง ยอมรับว่าไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะใหญ่ขนาดนี้ หมายถึงในแง่ของความยิ่งใหญ่นะคะ แล้วแอฟก็ยังมั่นใจว่าคงไม่มี ใครที่จะสร้างภาพยนตร์ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้อีกแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินทุนเพียงอย่างเดียวอันนี้แอฟมั่นใจ เลยมันเป็นเรื่องของความทุ่มเทของผู้นำซึ่งผู้นำของกอง ก็คือท่านมุ้ยนั่นเองนะคะแล้วบวกกับทีมงานทุกๆคนที่ทำให้มีทุกวันนี้ค่ะ

Q.ในตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมาพูดได้ว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวของแอฟ ทักษอร เลย และเป็นที่จดจำของคนไทยทั้งประเทศ กับบทบาทมณีจันทร์ อยากให้แอฟพูดถึงตัวละครตัวนี้กับบทบาทที่เราได้รับ

A: ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แอฟก็ได้รับโอกาสจากท่านมุ้ยนะคะให้มารับบท มณีจันทร์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับบุคลิกของตัวละครเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ส่วนใหญ่แล้วที่ผ่านมาแอฟมักจะได้รับบทบาท ที่เป็นแบบแข็งนอกอ่อนใน ประมาณนี้นะคะ แต่สำหรับบทมณีจันทร์จะมีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ แต่ทางด้านร่างกายคือด้วยความเป็นผู้หญิงสมัยก่อนด้วย ก็จะเป็นคนนุ่มนวล อ่อนหวาน แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราได้รับการเลี้ยงดูจากพระสุพรรณกัลยาด้วย จริงๆแล้วมณีจันทร์เองเติบโตมากับ สมเด็จพระนเรศวรฯ แล้วก็ไอ้ทิ้ง โตมาจากในวัด ก็จะไม่ได้มีใครอบรมทางด้านกิริยามารยาท จนกระทั่งได้มาอยู่กับพระสุพรรณกัลยานี่แหละค่ะ ถึงได้เป็นกุลสตรีขึ้นมาจนโตเลย ทำให้ทุกอย่างหล่อหลอมขึ้นมา ให้เป็นบุคลิกของสาวชาววังขึ้นมาจนได้แต่ว่าภายในจิตใจข้างใน เป็นคนเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวพร้อมที่จะสู้รบเมื่อยาม คับขัน ยามจำเป็นเราก็จับดาบได้

Q:ในการที่จะต้องรับบทสาวชาววัง และต้องมีสู้ศึกจับดาบด้วย มีการเตรียมตัวเพื่อถ่ายทอดตัวละครมณีจันทร์อย่างไรบ้าง

A: ก็จะมีช่วงแรกๆของการถ่ายทำแอฟก็จะเหมือนนักแสดงคนอื่นๆค่ะ คือจะต้อง ผ่านการเวิร์คช็อปประมาณปีหนึ่งมั้งคะ แต่เป็นปีหนึ่งเมื่อ12ปีที่แล้ว(หัวเราะ) เวิร์คช็อปให้เรามีทักษะ ในทุกๆด้านเพราะว่ามณีจันทร์เองก็ยังหนีไม่พ้น จะต้องมีฉากสู้รบ และท่านมุ้ยก็อยากให้นักแสดงทุกคนต้องมีพื้นฐานทางด้านการฟันดาบการขี่ม้า ขี่ช้างทุกๆคนจะต้องเรียนเหมือนกันหมด ตอนแรกก็พยายามขอแล้วว่า“มณีจันทร์ ไม่ต้องรบขนาดนั้นไม่ใช่เหรอคะ”(หัวเราะ) แต่ว่าเพื่อความสะดวกในการถ่ายทำก็ดีด้วย เราจะได้เรียนรู้และเวลา เราแสดงเราจะได้เข้าถึงบทบาทอย่างดีที่สุด เพราะฉะนั้นเราก็จะมีเวิร์คช็อปตรงนั้นส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวกัน มณีจันทร์ก็ต้องเป็นสาวชาววังช่วงแรกนะคะ ก็จะมีการเรียนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่องมารยาท แม้กระทั่งเรื่องการกราบแบบนี้นะคะ เพราะว่าบางทีเราก็หลงลืมข้ามขั้นตอนไปบ้าง หรือบางอย่างที่เราอาจจะไม่ได้ทำบ่อยนัก ก็จะมีการเรียนรู้ตรงนั้นคะ

Q: การเวิร์คช็อปสำหรับนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีความเข้มข้นฝึกฝนเรียนรู้กันอย่างจริงจังมากๆ ถึงขนาดมีการจัดตารางเวลาเลยว่า เช้า สาย บ่า ยเย็น ต้องเรียนรู้อะไร

A: เป็นช่วงยากของแอฟเลยละค่ะโดยทางบริษัทจะจัดตารางมาให้คือทั้งเดือนนี้มีเวิร์คช็อปวันไหนบ้าง ลงตารางมาเลย เรียนพร้อมใครพร้อมใคร แล้วตอนถึงเวลาก็จะมีระบุว่าวันนี้เริ่มตั้งแต่ กี่โมง สมมติเรียนฟันดาบ 8โมง-10โมง,10โมง-เที่ยง ขี่ม้า,พักเที่ยง-บ่ายโมง,บ่ายโมง-บ่ายสามเรียนฟันดาบ อีกรอบหนึ่งแล้วก็ 4โมงเย็น- 6โมงเย็น ขี่ช้างอะไรประมาณนี้คะ คือทุกอย่างจะเป๊ะเป๊ะเป๊ะ คือเหนื่อยมากโดยเฉพาะอย่างแอฟไม่ได้มีพื้นฐานในการออกกำลังขนาดนั้น แล้วเราก็ฝึกกับพี่ๆก็จะมีหลายๆคน คอยช่วยแอฟ อย่าง ทราย ก็จะคอยช่วยไหวมั้ย หรือวิ่งรอบสนามฟุตบอลเรียนฟันดาบ ก็จะคอยเป็นห่วงถามตลอดก็น่ารักมากคอยถามไหวมั้ย (หัวเราะ)

Q: ด้วยหน้าที่ และบทบาทสำคัญๆมากในหลากหลายเหตุการณ์ ฉะนั้นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ของตัวละครมณีจันทร์ เองน่าจะมีความน่าสนใจไม่น้อย

A. มณีจันทร์เองก็มีหลากหลายสถานะหลากหลายบทบาทไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความละ เอียดอ่อน

ความเป็นกุลสตรี หรือแม้กระทั่งได้มีโอกาสออกไปรบซึ่งตรงนี้เองตอนถ่ายทำจริงๆ อาจจะมีบ้างที่การรบการถ่ายทำมันก็น่ากลัวนะ เหนื่อยนะ ก็มีแอบบ่นแ แต่ว่าให้มานึกย้อนตอนนี้ก็รู้สึกดีใจนะคะที่ท่าน ให้โอกาสที่ท่านเชื่อมั่นในตัวเราและทำให้เราได้มีโอกาสได้รับบทนี้ซึ่ งมีในหลายๆบทบาททั้งได้ใส่ผ้าไทยสวยงามทั้ง ได้ออกไปรบ คือในแง่ของการแต่งกายเราก็แน่นอนเป็นสาาวชาววัง ก็ได้แต่งกายสวยงามตามแบบฉบับกุลสตรี อยู่แล้วก็จะมีหม่อมบี๋(หม่อมกมลา ยุคลโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์)นะคะที่จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องผ้า และการแต่งกายมากๆเลยค่ะ ผ้าของตัวละครทุกตัวจะผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว แม้กระทั่งทุกวันนี้ แอฟก็ยังเชื่อว่ายังเก็บอยู่เป็นอย่างดีเลยค่ะ แล้วท่านก็จะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าต้องตรงตามประวัติศาสตร์ ในเวลายุคนั้นว่าเขาใส่กันแบบไหน ตั้งแต่ตัวเนื้อผ้าเองที่เลือกมา อย่างของแอฟก็จะเป็นลักษณะของชาวมอญเป็นสาวมอญที่มาอยู่ในประเทศไทย ก็ยังคงแต่งแบบมอญ อยู่แบบมอญก็ใส่ผ้าถุงแบบจีบหน้านางก็จีบสดนะคะ ทุกครั้งคือเป็นแค่ผ้าดิบผืนเดียว แล้วก็พับสด เย็บสด ทุกครั้งเพื่อความสมจริง ในภาพยนตร์ที่ทุกท่านได้เห็นอยู่ ไม่มีใครทราบว่าเราถ่ายหนังมาเป็นสิบกว่าปี แต่ทุกครั้งที่เห็นผ้าของตัวละครทุกตัวที่ใส่หมายความว่านักแสดงไปเข้าห้องน้ำที ก็คือเลาะออกนะคะ แล้วเย็บใหม่เป็นเวลาสิบกว่าปีคือคนอาจจะนึกว่าเหมือนสมมติว่าเราถ่ายอย่างอื่น งานอื่นๆที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดขนาดนี้ เพื่อความสมจริงในภาพยนตร์ทุกคนก็ทุ่มเท

Q: แต่ละครั้งในการสวมคาแรคเตอร์เป็นมณีจันทร์ใช้เวลาในการแต่งตัวนานแค่ไหนอย่างไร

A: นานค่ะ(หัวเราะ)ใช้เวลาในการแต่งตัวไม่ว่าจะเป็นชุดสาวชาววังหรือว่าชุดเกราะนานหมดเลยค่ะ

ชุดเกราะนี่ก็จริงๆแล้วคือมันเป็นหลายชิ้นส่วนต่อกัน แล้วก็น้ำหนักของมันด้วย ร้อนด้วย แล้วก็ทุกอย่าง อย่างที่บอกค่ะ ก็คือต้องเย็บสดค่ะ

Q:มีชุดเกราะของตัวเองด้วย

A. (หัวเราะ)ใช่ค่ะ ชุดเกราะนี่ก็ถือเป็นเกียรติแล้วก็รู้สึกภูมิใจมาก ที่ได้มีโอกาสร่วมรบเพราะ

ตอนแรก คิดว่าจะติดสอยห้อยตามไป แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ออกไปรบไหม หรือแม้กระทั่ง อุ้ย! เราจะได้มีชุดเป็นของเราเอง ชุดท่านก็ช่วยโมดิฟายหลายอย่าง(หัวเราะ) เพราะว่าตัวเล็ก ตอนแรกก็ว่าจะเป็นแบบไหนดีที่ยังถูกต้องตามประเพณีสมัยก่อนแต่ก็เหมาะกับเราด้วย

Q: ในความรู้สึกของแอฟ มองว่าเสน่ห์ของมณีจันทร์ อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร

A: ต้องบอกก่อนว่าสำหรับแอฟแล้ว บทนี้เป็นบทที่มีพลังคือมีความเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งซึ่งอาจไม่ได้หาได้ง่ายๆทั่วไป ถ้าให้แอฟตอบในความเป็น มณีจันทร์ คือเป็นผู้หญิงมั่นใจ ว่าชีวิตนี้ตายได้เพื่อคู่ชีวิตตายได้เพื่อแผ่นดินนี้ ทั้งๆที่มณีจันทร์จริงๆแล้วไม่ใช่คนไทย แต่ด้วยความที่ได้เติบโตมากับสมเด็จพระนเรศวรฯ เติบโตมากับ พระราชมนู แล้วก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสุพรรณกัลยา แม้กระทั่งการที่มณีจันทร์ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระมหาเถรคันฉ่อง ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตมณีจันทร์หล่อหลอมขึ้นมา ทำให้มีส่วนผสมของทั้งความเข้มแข็งความเด็ดเดี่ยว และความอ่อนโยนมาจากพระสุพรรณกัลยา เรียนรู้เรื่องรบด้วย เรื่องการครองเรือนด้วย รวมไปถึงการมีส่วนมีบทบาทการตัดสินใจในบางเรื่อง โดยมีรูปแบบ และวิธีที่จะจัดการหรือรับมือในแบบผู้หญิงอย่างมณีจันทร์ ซึ่งอาจจะไม่ได้แสดงออกมาแบบผู้หญิงสมัยใหม่ ที่มีความเห็นแบบนี้แล้วก็พูดออกไป แต่จะเป็นในแง่ของการให้กำลังใจ แอบผลักดัน ส่งเสริม และคอยอยู่เคียงข้างสมเด็จพระนเรศวรฯตลอดไม่ว่าจะอยูในสถานการณ์ใดค่ะ

Q: สำหรับภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศึกยุทธหัตถี ที่แฟนๆจะได้เห็นเรื่องราวที่ดำเนินไปในส่วนของตัวมณีจันทร์มีเหตุการณ์สำคัญๆอะไรเกิดขึ้นบ้าง

A: ในแง่ของความสัมพันธ์ต่างๆของตัวละครที่เกิดขึ้น ทั้งตัวมณีจันทร์ เองกับสมเด็จพระนเรศวรฯนะคะ ก็จะมีความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เราผ่านศึกต่างๆมาด้วยกัน มณีจันทร์ก็ยังคงอยู่เคียงข้าง จนกระทั่งถึงวันหนึ่งซึ่งเป็นจังหวะเวลา ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้ขึ้นครองราชย์ ในพระราชพิธีราชาภิเษก มณีจันทร์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระมเหสี จำได้ว่าในส่วนตรงนี้ตอนถ่ายทำก็มีความรู้สึกขนลุกมากนะคะ เราไม่ค่อยได้เคยเห็นภาพแบบนี้ แล้วเเราได้มีโอกาสไปอยู่ เป็นหนึ่งในนั้น ได้อยู่ในพิธีนี้ก็รู้สึกขนลุกจริงๆค่ะ ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะถ่ายทำนานแล้ว แต่ก็ยังจำภาพเหตุการณ์ระหว่างถ่ายทำได้อยู่จนทุกวันนี้เลยค่ะ เพราะในฉากนี้แค่ในแง่ของความสำคัญของฉากนี้ก็คงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนดูรู้ว่า ตอนนี้กำลังเปลี่ยนอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเรียกว่าหน้าที่ ที่มาพร้อมความกดดัน พร้อมภาระทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำให้แผ่นดินไทยรอดมาอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯเต็มๆแล้ว แต่ในส่วนของมณีจันทร์ก็คือเป็นอีกคนหนึ่งที่จะนั่งอยู่เคียงข้างอีกเช่นกัน

Q: ในส่วนของเบื้องหลังการถ่ายทำเป็นเห็นว่าเป็นฉากที่ใหญ่มากๆ นักแสดงฝั่งไทยเข้าร่วมฉากกันหมด แถมการถ่ายทำท่านมุ้ยพิถีพิถันมากๆ ทั้งการถ่ายทำยึดตามหลักของราชประเพณีด้วย

A: ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เลยนะคะ ว่าจริงๆแล้วรายละเอียดของพิธีเป็นอย่างไรบ้าง ทราบในตอนถ่ายทำ แม้กระทั่งตัวมงกุฏเองจำได้ว่าก็ได้รับการส่งตามมาทีหลัง ตอนแรกแอฟก็ถามว่าเอ๊ะ?ทำไมทำไมถึงไม่ได้มารอพร้อมถ่ายเลย ก็เพิ่งมาทราบว่าเพราะมันไม่ใช่เครื่องประดับที่เราทำเลียนแบบขึ้นมา อันที่ใช้ในการถ่ายทำนั้น คือ หม่อมกมลา ยุคล(โปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์) ขออนุญาตจากพิพิธภัณฑ์ คือเป็นของจริงที่มาถ่ายทำ เพราะฉะนั้นทุกอย่างก็จะมีเรื่องของกำหนดการ เรื่องการขออนุญาตเอาออกมา เพราะฉะนั้นก็เลยเข้าใจแล้วว่าทำไมจะต้องคอยสิ่งนี้เพราะว่าเป็นของจริงคะ แล้วก็พอได้มีโอกาสสวมลงไปก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากจริงๆค่ะ แล้วก็รู้ว่ามันยากจริงๆที่เราจะได้มีโอกาสมีประสบการณ์แบบนี้ค่ะ

Q: ใช้เวลาในการถ่ายทำฉากนี้นานแค่ไหน

A: ตั้งแต่บ่ายๆเย็นจนถึงเกือบเช้าเลยคะสำหรับฉากนี้ เนื่องจากหนึ่งเรื่องของขั้นตอนในพระราชพิธี ที่เราจะต้องทำให้ถูกต้อง สองเรื่องของตัวแสดงซึ่งเยอะมาก เท่ากับว่าถ้าเป็นในเรื่องตามจริงก็คือ ทุกคนที่มีหน้าที่อยู่ในวัง คือทุกคนที่รับราชการอยู่ในนั้น จะต้องมาอยู่ในท้องพระโรงอยู่ในพิธีด้วย ต้องเข้าซีนร่วมกัน และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดซึ่ งแอฟคิดว่ามันเลยใช้เวลามากคือในเรื่อง ของแอ็คติ้งเรื่องของอารมณ์ค่ะ

Q: เราจะได้เห็นแอฟ ทักษอรเข้าฉากโรแมนติคซีนเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์ด้วย

A. (หัวเราะ)ตอนแรกๆที่ท่านบอกว่าจะมีฉากถวายตัว แอฟก็จริงหรอคะท่าน ขอดูบทก่อนได้มั้ยคะ(หัวเราะ) คือเราก็อยากทราบว่าเอ๊ะ?สมัยก่อนแล้ว ถ้าจะเป็นเลิฟซีนเล็กๆของหนังจะเป็นยังไง ท่านก็บอกไม่รู้ไม่บอกอะไรแบบนี้ค่ะ(หัวเราะ) ท่านก็แกล้ง คือก็รู้ว่าแอฟก็ต้องแอบเขินนะคะ แต่จริงๆแล้วการเข้าฉากกับพี่เบิร์ด คือพูดได้เลยว่าคือด้วยความที่เราไว้ใจกัน ในแง่ของความเป็นนักแสดงด้วยกัน แล้วก็ในแง่ที่ว่าแอฟเองก็รู้สึกเหมือนพี่เบิร์ดเป็นพี่ชายค่ะ เพราะรู้จักกันมา 10 กว่าปี จริงๆแก็ไม่ได้เขินพี่เบิร์ดหรอกค่ะ(หัวเราะ) คุ้นเคยกันจนไม่เขินแล้วนะคะ แต่ว่าตอนนั้นก็จะแค่กลัวว่าจะทำได้ดีไหมจะเป็นอย่างที่ท่านต้องการไหม

สำหรับฉากถวายตัวคือนอกจากความสวยงามที่คนดูจะได้เห็นแล้ว ก็จะได้เห็นถึงความรักของสมเด็จพระนเรศวรฯ ที่มีต่อมณีจันทร์ความรู้สึกที่มณีจันทร์ มีต่อพระนเรศวรฯ ที่มีมากกว่าความรัก คือความภักดีความผูกพันซึ่งมีมานานเพราะว่าเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโต เรารักด้วยความภักดีมาตลอด อย่างที่บอกว่าตายแทนได้แน่นอนที่สุดแล้วก็ความเสียสละ และความภักดีตรงนี้ที่ทำให้สมเด็จพระนเรศวรฯเห็น ความดีโดยเฉพาะความจงรักภักดีของมณีจันทร์มาโดยตลอด จึงเป็นความรักที่เกิดขึ้นคะ

Q: เป็นอีกฉากที่ใช้เวลาถ่ายนานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดแสงแต่ภาพที่ออกมาก็สวยมากๆเช่นกัน

A: ถ่ายนานมากค่ะ เพราะจัดไฟนานด้วย เนื่องจากท่านก็พิถีพิถันในฉากนี้มากๆ อยากให้เป็นฉากหนึ่ง ซึ่งไม่อยากให้คนดูคิดว่ามันเป็นแค่เลิฟซีน แต่อยากให้คนดูรู้สึกว่าเป็นความสวยงาม จริงๆไม่ใช่เฉพาะแค่ตัวแสดงสองตัวกับแอ็คติ้งที่จะเกิดขึ้น แต่ว่าโดยรอบแล้ว เนื่องจากเป็นฉากโรแมนติกเพราะฉะนั้นเรื่องของแสงเทียนทั้งหลายมันจะต้องสวยงามมากๆ คือฉากนี้จำได้ว่าโอ้โห คือจัดพร็อบ แล้วก็จัดไฟกว่าจะได้มะรำมะเรืองสวยโรแมนติกขนาดนี้ใช้เวลานานมากค่ะ ส่วนที่เหลือความนานอยู่ที่แอฟเอง(หัวเราะ) กว่าจะแอ็คติ้งได้คือเราไม่ได้อายพี่เบิร์ดนะคะ แต่ว่าแค่ทำตัวไม่ถูกเพราะปกติมันก็ไม่ได้เล่นแนวนี้ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าเอ๊ะ?ท่านต้องการอะไรยังไง บวกกับด้วยความที่ในบทมณีจันทร์ ก็จะคือเป็นกุลสตรี เราก็ไม่แน่ใจว่าเรายังไงได้ขนาดไหน ก็เลยแอบกระซิบพี่เบิร์ดว่า “พี่เบิร์ดเล่นเอาละกันนะ เดี๋ยวแอฟรีแอ็คเอาประมาณนี้ค่ะ”(หัวเราะ)

Q: จริงมั้ยที่ว่าผู้พันเบิร์ดฟิตหุ่นเปี้ยะมากโดยเฉพาะมัดกล้ามั

A: (หัวเราะ)ใช่ค่ะโอ้โห ช่วงนั้นพี่เบิร์ดฟิตมากจริงๆ ตลอดการถ่ายทำ(หัวเราะ) มีอยู่แค่สองอย่าง คือฟิตมากๆกับฟิต เพราะพี่เบิร์ดไม่เคยไม่ฟิตค่ะตั้งแต่รู้จักกันมา

Q: ด้วยระยะเวลานับ10ปีทำให้กลุ่มนักแสดงที่ร่วมงานกัน สนิทสนมกันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้พันเบิร์ดที่ถือว่าใหม่สุด ในบรรดานักแสดงด้วยกัน และเห็นว่าทุกครั้งเวลาที่มีฉากสำคัญๆแต่ละคนก็จะคอยให้กำลังใจกันโดยตลอด

A: ค่ะว่าอย่างที่บอกว่าพวกเราร่วมงานกันมานาน และก็สนิทกันมาก ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชยุทธหัตถี ก็จะมีอีกหนึ่งฉากใหญ่ในภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ในทุกๆด้าน และในเรื่องของนักแสดงที่เข้าร่วมฉาก ความสำคัญของไดอะล็อค แม้กระทั่งตอนถ่ายทำเองทุกคนก็จะรอดูว่า เวลาพี่เบิร์ดแสดง จะเป็นยังไงเวลาที่มีฉากสำคัญๆเหล่านี้ค่ะ คนอื่นๆก็ตื่นเต้นเพราะว่าเวลาพี่เบิร์ดแสดง มันจะรู้สึกถึงพลัง คือด้วยตัวไดอะล็อคเอง ด้วยความรู้สึก เราเชื่อว่าพี่เบิร์ด เป็นสมเด็จพระนเรศวรฯด้วย ทุกอย่างมารวมกันแล้วบวกกับบรรยากาศสิ่งแวดล้อมในฉาก มันยิ่งทำให้เราเชื่อมาก แล้วก็ขนลุกค่ะ ยิ่งเวลาที่พี่เบิร์ดพูดปลุกระดม ให้ทหารมีกำลังใจ ให้มีความฮึกเหิม ซึ่งนอกจากความฮึกเหิมที่เกิดขึ้น มันเหมือนเรามีอีกความรู้สึกหนึ่งแทรกเข้ามาคือความรู้สึกซาบซึ้ง ว่าคนสมัยก่อน เขาจะต้องเสียสละขนาดไหน หรือแม้กระทั่งทหารทุกคน แน่นอนใจลึกๆต้องแอบมีความกลัว ผู้นำนี่ล่ะที่จะปลุกทุกคนให้ฮึกเหิมขึ้นมา ทุกคนต้องเสียสละแม้กระทั่งคนที่ปลุกระดมแอฟก็คิดว่าเขาก็ต้องเสียสละอยู่ลึกๆด้วยเหมือนกัน กลัวในที่นี้สมเด็จพระนเรศวรฯอาจไม่ได้กลัวที่ว่ากลัวชีวิตตัวเองจะสิ้นไป แต่ว่ากลัวชาติเรานี่แหละที่จะสิ้นอะไรประมาณนี้ค่ะ

Q: นอกจากคนดูจะได้เห็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฯ ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นมุมมองความรัก และห่วงใยไพร่ฟ้าประชาชนของพระองค์เช่นกัน

A: ถ้าใครจำได้ว่าตั้งแต่ องค์ประกันหงสา พระนเรศวรฯ ทรงเติบโตมาพร้อมกับพระสหาย คือมณีจันทร์และบุญทิ้ง แล้วในยุทธหัตถีจะเห็นมุมมอง และความรู้สึกของพระองค์ที่มีต่อสหายอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฉากที่พระนเรศวรฯกับมณีจันทร์ ได้กลับไปเยี่ยมบุญทิ้ง(พระราชมนู)ก็เป็นความซาบซึ้งอีกอย่างหนึ่งค่ะ ในฐานะที่เราเป็นตัวละครมณีจันทร์ ไอ้ทิ้งหรือบุญทิ้งก็เป็นเพื่อนรักของเราด้วยเราเองก็มีความรัก และเป็นห่วงบุญทิ้งอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ซาบซึ้งที่สุด คือคนดูจะเห็นว่าสมเด็จพระนเรศวรฯ มีความรักความห่วงใยในตัวบุญทิ้งมาก ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์กับทหารรับใช้ แต่เป็นความรักความห่วงใยระหว่างเพื่อน ไดอะล็อคแอฟก็จำไม่ได้เป๊ะๆนะคะ แต่เราฟังแล้วเราก็ยังซึ้ง แล้วก็เชื่อจริงๆ ว่าตัวละครทั้งสอง บวกมณีจันทร์เข้าไปอีกคนหนึ่งมีความรัก ความผูกพันซึ่งกันและกันจริงๆ แอฟว่าคนดูจะรู้สึกมากกับการที่สมเด็จพระนเรศวรมีความห่วงใยในตัวบุญทิ้งค่ะ ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะคิดว่ามันก็เป็นหน้าที่ถูกมั้ยคะแต่ท่านมองเข้าไปถึงจิตใจว่าบุญทิ้งมีจิตใจที่จงรักภักดีจริงๆ แล้วทำทุกอย่างได้เพื่อท่าน แล้วการแสดงของพี่เบิร์ดกับพี่ปีเตอร์ ทำให้แอฟรู้สึกซาบซึ้งสำหรับฉากนี้ นอกจากฉากนี้แล้วอยากให้ติดตามกันค่ะ จากภาคที่แล้ว จะมีอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่เข้ามามีบทบาทนั่นคือ ไอ้ขาม ชายบ้าใบ้ ในภาคนี้จะเหมือนเป็น การเฉลยว่าความสำคัญของไอ้ขาม มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์ แล้วก็เป็นอีกครั้งหนี่งที่ตัวมณีจันทร์เองก็ ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ คือเป็นคนที่เห็นแววของไอ้ขามจำได้ในประโยคที่ว่า“ไอ้ขามคนบ้าใบ้นี้”คืออยากให้โอกาสคนๆนี้ และเชื่อว่าต่อไปจะเป็นคนที่มีความสามารถ และมีความจงรักภักดีต่อท่าน ซึ่งต่อมาไอ้ขามก็ได้เป็นคนคุมช้างพลายภูเขาทอง ที่จะได้ออกร่วมรบซึ่งเป็นช้างคู่ศึกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วยคะ

Q: ความทรงจำตลอดระยะเวลา10ปีที่ผ่านมา ที่แอฟมีส่วนรวมในภาพยนตร์กว่าจะเกิดเป็นหนังเรื่องนี้ หรือกว่าจะได้แต่ละคัทแต่ละซีนมันยากขนาดไหน อย่างไร

A: จริงๆน่าจะ 12 ปีที่ผ่านมา คือด้วยความใจรักในภาพยนตร์ และ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างของท่านมุ้ย ที่จะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของคนไทยที่ดีที่สุด ในแง่ของการผลิตหรือในแง่ของการที่จะมีคุณค่าที่จะสอนลูกหลานต่อๆไป ความตั้งใจเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นมาตรฐานของท่านขึ้นมา ก็เลยนำมาซึ่งเวลาถ่ายทำที่ถ้าไม่ถึงมาตรฐาน ก็ไม่ให้ผ่าน มันก็เลยค่อนข้างใช้เวลา บางฉากก็เป็นวันบางฉากก็เป็นสัปดาห์ บางฉากถ่ายไปแล้วเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วก็รื้อกลับมาถ่ายใหม่ คือจะบอกว่าในกองตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอค่ะ บางฉากถ่ายเมื่อปีที่แล้ว ณตอนนี้ท่านก็อธิบายบทที่ได้รับไปคือฉากนี้เป็นอย่างนี้นะ นักแสดงก็จะมีหน้าที่ถามท่านว่า ฉากนี้มีความเป็น มาอย่างไร เพราะว่าทุกคนจะไม่ได้บทเหมือนเรื่องทั่วๆไป ที่จะได้รับบททั้งเรื่องมาเป็นเล่ม คือได้มาเป็น ตอนๆเรามีหน้าที่จะต้องถามว่าตอนนี้มันมาจากไหน คือที่มาที่ไปคืออะไรแบบนี้ค่ะ คือเราก็ต้องคอนทินิวท์อารมณ์ให้ได้ถ้าจำไม่ได้ก็ ถามท่านเพราะทุกอย่างจะอยู่ในหัวท่านหมด ท่านเป็นทุกอย่างเป็นคอมพิวเตอร์ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์พม่ามีหมด อยู่ในหัวท่านค่ะ เราถามท่านได้เสมอ แต่ละวันบางคนไม่ทราบว่าฉากหนึ่งจะถ่ายทำให้เสร็จวันหนึงบางทียากมาก บางทีวันนึงได้ไม่กี่คัท เพราะหนึ่งฉากอาจจะมี 10 คัทหรือ 15คัท ก็แล้วแต่วันนึงอาจจะได้ 5 คัท 7 คัทแบบนี้ก็มีค่ะ แล้วแต่ความสำคัญ และความยาก ความยิ่งใหญ่ของแต่ละตอนแต่ละฉากนั้นๆ

Q: ที่ผ่านมาเคยใช้เวลาถ่ายทำต่อเนื่องนานที่สุดกี่วัน

A: นานที่สุดของการถ่ายทำคือถ่ายทำถึงเช้าวันหนึ่ง แปลว่าจะต้องถูกเรียกมาตอน ตี4 ตี5 เพื่อแต่งหน้าทำผม แล้ว 6-7 โมงเราก็จะเริ่มซ้อมคิว เพราะฉะนั้นก็คือถึงหน้ากองประมาณนี้ค่ะ ตี4 ตี4ครึ่งถ่ายทำจนถึงของแอฟนะคะ มากสุดคือ11โมงครึ่งของอีกวันหนึ่ง โดยที่ก็อยู่ในหน้าผมชุดนั้นตลอด มาราธอนที่สุดของแอฟแล้ว แต่ก็จะมีบางช่วงที่เบลอ บางช่วงวืดๆไปท่านก็จะคอยช่วยค่ะ สำหรับแอฟคือให้อยู่ทุกคนอยู่เราก็อยู่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราก็อาจจะมีกังวลเดี๋ยวเราจะแอ็คติ้งไม่ได้เต็มที่ ประมาณนี้ค่ะ แต่ว่าถ้าถามดูแล้ว เแอฟคิดว่านักแสดงเป็นส่วนที่ไม่ใช่คนที่เหนื่อยมากที่สุดนะคะ ทีมงานค่ะ เพราะว่าในฉากใหญ่ๆเราเป็นคนที่แสดงอยู่อย่างฉากเรือ คือเราก็มีหน้าที่อยู่ในเรือ แล้วเราก็แอ็คติ้ง แต่ถ้าเกิดการถ่ายทำใหม่ เราไม่ใช่คนที่จะต้องไปขนเรือลากเรือกลับมาที่เดิม วนทุกอย่างเหมือนเดิม พายเรือมาให้ได้จุดมาร์คกิ้งเดิม แล้วถ่ายใหม่เขาเหนื่อยกว่าเรา คือไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือว่าเอ็กซ์ตร้าที่เป็นตัวประกอบแอฟ คิดว่าคนเหล่านั้นเหนื่อยกว่านักแสดงเมน หรือถ้าเหนื่อยสุดนะคะต้องเป็นคนแบกเสลี่ยง(หัวเราะ) อันนี้เหนื่อยสุดค่ะ เพราะว่าคือสมมติเราเกิดมีอะไรผิดพลาดด้วยมุมกล้องด้วยจังหวะหรือนักแสดงพูดผิดหรืออะไรทั้งขบวนถอยกลับ ใหม่

Q: ทราบมาว่าแต่ละคนก็จะมีร่องรอยแห่งประสบการณ์ เป็นความทรงจำที่ฝากไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนุ่มๆเพราะต้องมีฉากแอ็คชั่นสงคราม แล้วนางเอกอย่างมณีจันทร์เจอกับอุปสรรคหรือบาดเจ็บอะไรบ้างไหม

A: เคยตกม้าครั้งเดียวค่ะ(หัวเราะ) แค่ครั้งเดียวก็พอแล้วคะ อันนี้ก็หลายปีแล้วนะคะ เป็นอีกหนึ่งฉาก ที่มณีจันทร์ได้ออกร่วมรบ เกือบจะไม่ได้ตกค่ะ แต่ด้วยความมีมาตรฐานของท่านมุ้ย ก็ขออีกเทคๆ จน กระทั่งก็ตก เทคนั้นก็เลยเป็นเทคสุดท้ายก็พอดีหมดเวลาด้วยค่ะ ก็คือเย็นแล้ว จำได้เลยว่าคืนนั้นจะขึ้นเครื่องจะไปต่างประเทศ มันเป็นฉากขี่ม้ากันหลายๆคน แล้วก็ทางเป็นเนินเลยลื่น คือตอนตกหลุดนอกเฟรมไปแล้วนะคะท่านมุ้ยก็เล่าให้ฟังว่า ไม่เห็นแต่ได้ยินเสียงแอฟร้อง คือเสียงไปถึงมอนิเตอร์เลยค่ะ คือตกใจ แต่จริงๆแล้วแอฟถือว่าคือเขาเรียกว่าบาดเจ็บแบบเล็กน้อยแล้ว คนอื่นมีวีรกรรมเยอะแยะ อย่างทรายนี้คือตกม้าแบบหนักๆแรงๆ เยอะกว่าแอฟมาก หรือจะเป็นนักแสดงผู้ชายคนอื่น คือ เขาผ่านทั้งขี้ม้าลุยไฟคือหนักกว่าแอฟเยอะของแอฟนี่คือท่านมุ้ยยังเมตตา(หัวเราะ)

Q: มาจนถึงวันนี้แล้วพอบอกได้มั้ยว่าหนังเรื่องนี้มีความสำคัญกับชีวิตแอฟมากน้อยแค่ไหนอย่างไร

A: ก็เป็นช่วงเวลาถึงหนึ่งในสาม ของชีวิตแอฟแล้วนะคะ(หัวเราะ )เพราะฉะนั้นก็คือเป็นทุกอย่างค่ะเป็นทั้งที่ที่เราเติบโตทั้งในด้านของการทำงานทั้งในด้านของการเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับทั้งจากการถ่ายทำทั้งจากที่ได้เรียนรู้จากบทที่เราได้รับ ทั้งการเรียนรู้ในแง่ของประวัติศาสตร์ คือแอฟได้เรียนรู้หลายๆด้านหลายๆแง่เยอะมากๆเลยค่ะ คือแอฟก็คงไม่ต่างจากนักแสดงทุกคนที่มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ คือทุกคนรู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งถึงแม้ว่าเราจะเป็นส่วนเล็กๆในภาพยนตร์

Q:ท้ายนี้อยาจะฝากอะไรถึงแฟนๆ

A: จริงๆแล้วแปลกไหมคะ ภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ แม้ว่าจะห่างหายไปสักพักหนึ่งแล้ว แต่ทุกวันนี้ แอฟไปไหนก็ยังมีแต่คนถามคะว่า“เมื่อไหร่จะฉายเมื่อไหร่จะฉาย”คือพูดจริงๆบางคนก็จำไม่ได้แต่ทุกคนดูทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ไปจนถึงรุ่นเด็กทุกคนดูแล้วรู็จักแม้กระทั่งเด็กๆ “ไอ้ทิ้ง” แบบนี้คืออาจจะจำชื่ออย่างเป็นทางการไม่ได้ แต่แอฟเลยรู้สึกว่ามันเป็นภาพยนตร์ของคนไทยไปแล้วนะคะ คือความบันเทิงในแง่ของภาพยนตร์เป็นส่วนหนึ่ง แต่มาดูเพื่อให้เรียนรู้ถึงรากเง้าความเป็นมาของเราว่าที่เรามีทุกวันนี้ได้ บรรพบุรุษเราผ่านอะไรมากันมาบ้าง และที่เราเคยเรียนเราก็จินตนาการภาพกันไป แต่ภาพที่ใกล้เคียงประวัติศาสตร์มากที่สุดอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถามว่าใครไม่อยากรู้ว่าศึกยุทธหัตถีที่เราเคยเรียนหรือที่เรารอตั้งแต่ภาคแรกๆจะเป็นอย่างไรทุกคนอยากเห็นแม้กระทั่งแอฟเอง ยังตื่นเต้นเพราะเราไม่ได้ถ่ายทำฉากนี้ด้วยแอฟคิดว่าภาคนี้รับรองไม่มีคนไทยคนไหนอยากจะพลาดอยู่แล้วค่ะ ต้องมาดูถึงความยิ่งใหญ่ในความเป็นคนไทยยิ่งใหญ่ในความเสียสละของคนไท ยแล้วก็แน่นอนที่สุดคือความยิ่งใหญ่ ของภาพยนตร์ไทย ตอนนี้เนี่ยเรามีภาพยนตร์ตัวอย่างแล้วนะคะก็ติดตามชมกันได้คะในเฟสบุ๊คของ สหมงคลฟิล์ม นะคะ