นพ.ศรายุธ อุตตมางคพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี (สคร.7) เปิดเผยว่า การจมน้ำเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ของทุกสาเหตุ จากข้อมูลในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (2546-2556) พบว่า มีเด็กจมน้ำเสียชีวิตแล้วถึง 1,298 คน หรือวันละเกือบ 4 คน โดยในปี 2556 ตั้งแต่มกราคม -พฤษภาคม มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำ จำนวน 421 คน เรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในขณะนี้ ซึ่งสภาพอากาศได้เปลี่ยนเป็นฤดูร้อน และเป็นช่วงปิดเทอมในเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ถือว่าเป็น 90 วันอันตรายที่มีความเสี่ยงเด็กจมน้ำตายสูงที่สุด เนื่องจากเด็กๆมักจะลงเล่นน้ำเพื่อคลายความร้อนในสภาวะอากาศร้อนอบอ้าว และมักลงเป็นกลุ่ม เมื่อมีรายหนึ่งจมน้ำ มักจะลงไปช่วยกัน แต่ช่วยไม่เป็น จึงมักจมน้ำตายด้วยกัน
นพ.ศรายุธ กล่าวว่า แหล่งน้ำที่เด็กตกน้ำ จมน้ำมากที่สุด คือ แหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองน้ำ บึง รองลงมาคือ สระว่ายน้ำ และอ่างเก็บน้ำ ส่วนในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ จุดเกิดเหตุมักอยู่ในบ้าน คือจะจมน้ำในถังน้ำ อ่างน้ำ กะละมังที่มีน้ำอยู่ เนื่องจากเด็กยังทรงตัวได้ไม่ดี ทำให้ล้มในท่าศีรษะทิ่มลง และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้เสียชีวิต ปัญหาเด็กว่ายน้ำไม่เป็นยังเป็นปัญหาใหญ่ของเด็กไทย โดยผลสำรวจล่าสุดในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่มีประมาณ 13 ล้านคน ว่ายน้ำไม่เป็นมากถึง 11 ล้านคน
จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเด็ก ได้ตระหนัก และรับรู้ปัญหา รวมทั้งหาแนวทางเพื่อป้องกันการจมน้ำในเด็ก และจะต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ควรปล่อยให้เด็กเล่นน้ำเองตามลำพัง และห้ามกระโดดลงไปในน้ำเพื่อช่วยเพื่อน แม้ว่าจะว่ายน้ำเป็น เพราะเด็กมักจะจมน้ำเสียชีวิตเป็นกลุ่ม เนื่องจากเด็กไม่รู้วิธีการเอาชีวิตรอดในน้ำ และวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ควรตะโกนเรียกให้ผู้ใหญ่มาช่วย หรือถ้าไม่มีใคร ก็ให้ใช้อุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้ เช่น แกลลอน ถัง ลูกมะพร้าว ไม้ยาวๆ หรือเชือกโยนให้ผู้ตกน้ำเกาะลอยตัวเข้าหาฝั่ง"ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เด็กๆ ควรมีเพื่อเป็นทักษะในการป้องกันตนเอง ไม่ให้เกิดปัญหาจมน้ำ คือ การสร้างเกราะป้องกันตนเองโดยการเรียนหลักสูตรว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด เป็นหลักสูตรขั้นพื้นฐานโดยเน้นสอนให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางน้ำ สามารถเอาชีวิตรอดได้เมื่อตกน้ำ และรู้วิธีการช่วยเหลือคนตกน้ำในเบื้องต้น /นพ.ศรายุธ กล่าว
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit