โครงการขับเคลื่อนสังคมและนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาการพนัน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์

16 Aug 2013

กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--มูลนิธิสดศรี- สฤษดิ์วงศ์

เปิดสถิติผีพนัน พบหวยใต้ดินครองแชมป์คนเล่นมากสุด รองลงมาคือสลากกินแบ่งรัฐบาล เผยมีวงเงินสะพัดกว่า 1 แสนล้านบาท “นักวิชาการ” ชี้กฎหมายบังคับใช้ล้าหลัง ไม่มีประสิทธิภาพ จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข ด้าน “เครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน” ระบุ ครึ่งปี 56 มีคดีพนันพนันแล้วกว่า 3 พันคดี ห่วงร่างกฎหมายพนันไม่ครอบคลุมการแก้ปัญหาการพนัน

สืบเนื่องจากสถานการณ์การพนันในปัจจุบันนี้ได้ขยายออกไปในวงกว้างและมีการพัฒนารูปแบบและชนิดของการเล่นการพนันออกไปอย่างหลากหลาย จึงทำให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย และทุกกลุ่ม สามารถเข้าถึงการพนันได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ทั้งนี้นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เลขาธิการมูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ ได้ยืนยัน ว่ามีงานวิจัยในต่างประเทศ ออกมาอย่างชัดเจนว่าการพนันสร้างผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และสังคมอย่างชัดเจนและรุนแรง โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนนั้น มีงานวิจัยระบุอย่างชัดเจนว่า สมองของเด็กและเยาวชนขณะกำลังเติบโตช่วงเด็กไปสู่วัยรุ่นหากมีประสบการณ์การพนัน จะส่งผลต่อเซลล์สมองเกี่ยวกับความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลและทักษะการใช้ชีวิต ทำให้กลายเป็นคนที่ชอบเสี่ยงโชค ลงทุนน้อยแต่หวังผลมาก ขณะที่ด้านจิตใจนั้นการพนันนั้นเป็นภาวะเสพติด ส่วนด้านสังคมนั้นชัดเจนว่าการพนันเป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ด้วยเหตุนี้การหาแนวทางในการป้องกันเด็กและเยาวชนให้ห่างจากการพนันจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างเร่งด่วน ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการ

ขณะที่ นายไพศาล ลิ้มสถิตย์ กรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางการปฏิรูประบบการบริหารจัดการสลากในประเทศไทย วุฒิสภา สาเหตุหลักที่ทำให้การเข้าถึงการพนันเป็นไปได้ง่ายเนื่องจากกฎหมายที่จะใช้ควบคุมเรื่องการพนัน คือ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลากว่า 80 ปี ไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับการพนันในปัจจุบัน และระบบการควบคุมกำกับดูแลผู้ที่ได้รับอนุญาตในการประกอบกิจการพนันตามกฎหมายก็มีความหละหลวม การดำเนินการบังคับใช้กฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ และในส่วนของภาครัฐเองก็ไม่มีนโยบายหรือยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการจัดการผลกระทบจากการพนัน นอกจากนี้การจัดแบ่งประเภทหรือชนิดของการพนันยังล้าสมัยและขาดความชัดเจน อีกทั้งการบัญญัตินิยามศัพท์การพนัน และถ้อยคำที่เกี่ยวข้องก็ไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะนิยามที่มีความสำคัญตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้การปรับใช้และการตีความกฎหมายชัดเจนมากขึ้น ก็ยังไม่สามารถทำได้ และประเด็นที่สำคัญคือการพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตให้มีการเล่นพนันถูกกฎหมายโดยใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่เป็นสำคัญ ก็เป็นหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการออกใบอนุญาตที่ไม่มีรายละเอียดชัดเจน ซึ่งบุคคลใดๆ ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตให้มีการเล่นพนันได้ ซึ่งแตกต่างจากการอนุมัติใบอนุญาตในประเทศตะวันตกที่มีความเข้มข้นในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ที่สำคัญบทลงโทษยังล้าสมัย ไม่เหมาะสมกับสภาพปัญหาในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้ามือรายใหญ่ที่มีเงินพนันหมุนเวียนหลายล้านบาท แต่เมื่อทำผิดก็เสียเงินค่าปรับไม่กี่พันบาท หรือได้รับโทษจำคุกไม่นาน หรือได้รับโทษเพียงรอลงอาญา ทำให้ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในการลงโทษตามกฎหมายที่ต้องการให้เข็ดหลาบ ซึ่งมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.การพนัน กำหนดระวางโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 5 พันบาท ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 8 ซึ่งเงิน 5 พันในสมัยก่อนกับสมัยนี้ถือว่ามีความแตกต่างของค่าเงินหลายร้อยเท่า ดังนั้นจึงควรมีการปรับแก้กฎหมาย โดยกำหนดโทษคนที่ทำความผิดออกเป็น 4 กลุ่มคือ เจ้ามือ ผู้เล่น ผู้รับใบอนุญาต และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะผู้รับใบอนุญาตและเจ้าหน้าที่รัฐหากกระทำผิดควรต้องได้รับโทษในอัตราสูงสุด และยังเสนอว่าควรเปลี่ยนแปลงการลงโทษเด็กและเยาวชน เช่น ไม่ควรให้จำคุก แต่ควรเป็นมาตรการพิเศษ เช่น การให้ความรู้ หรือการทำงานให้สังคม

ทั้งนี้ในงานวิจัยของดร.พินิจ ลาภธนานนท์ นักวิจัยจาก สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะ ได้จัดทำโครงการศึกษาสถานการณ์ พฤติกรรมและผลกระทบการพนันในประเทศไทย โดย ระบุถึงสถานการณ์การพนันในประเทศไทยว่า จากการสำรวจข้อมูลของกลุ่มประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 5,042 คน ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศรวม 16 จังหวัด พบว่า ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 64.2 เคยเล่นการพนันในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา และประชากรมากกว่าร้อยละ 63 เคยเล่นการพนันในขณะที่เป็นเด็ก เยาวชน หรือมีอายุไม่เกิน 24 ปี โดยพบผู้เล่นการพนันที่มีอายุต่ำที่สุดคือ 7 ปี ซึ่งประเภทของการพนันที่ประชาชนส่วนใหญ่นิยมเล่นมากที่สุดคือ หวยใต้ดิน จำนวน 19,923,643 คน รองลงมาคือสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 19,211,727 คน อันดับสาม คือการเล่นพนันในบ่อนพนันผิดกฎหมาย จำนวน 3,125,705 คนอันดับสี่ คือ การพนันฟุตบอล จำนวน 1,067,418 คน อันดับห้าคือการพนันกีฬาพื้นบ้าน จำนวน 883,592 คน และเมื่อพิจารณาจำนวนเงินหมุนเวียนที่มีในการพนันแต่ละประเภท พบว่า หวยใต้ดินมีเงินหมุนเวียนราว 1 แสนล้านบาทต่อปี รองลงมาคือสลากกินแบ่งรัฐบาลคือ 76,770 ล้านบาท รองลงมาคือการพนันในบ่อน การพนันฟุตบอล และการพนันพื้นบ้าน ตามลำดับ

ด้านนายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการขับเคลื่อนสังคมและนโยบายสาธารณะเพื่อลดปัญหาการพนัน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ กล่าวว่า เรื่องการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยสถานการณ์การพนันผิดกฎหมายในประเทศไทย ที่สรุปโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครึ่งปีแรกของ พ.ศ. 2556 พบว่ามีจำนวนคดีการพนันทั่วไปและการพนันสลากกินรวบรวม 3,988 คดี ซึ่งถือเป็นจำนวนสถิติที่มาก เพราะยังไม่ถึงสิ้นปีจำนวนผู้กระทำความผิดก็มีแนวโน้มมากขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาอย่างชัดเจนว่ากฎหมายที่บังคับใช้ของเรานั้นล้าสมัย และยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรเร่งแก้ไข และร่าง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. ...ซึ่งเสนอโดยกระทรวงมหาดไทยและคณะรัฐมนตรีรับหลักการเมื่อเดือนตุลาคม 2554 ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา เราก็ยังมีความห่วงใยถึงผลกระทบ ที่จะตามมา เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดนิยามที่ชัดเจน บทลงโทษที่เหมาะสมทันต่อสถานการณ์ ที่สำคัญไม่มีการระบุถึงการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนัน

-กผ-