กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--เอสซีจี
เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2556รุกขยายการลงทุนต่อเนื่อง เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยและอาเซียนแข็งแกร่งและเติบโตระยะยาวพร้อมคว้าที่ 1 ของโลกด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 ปีซ้อนจาก DJSI
ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสสาม มีรายได้จากการขายและกำไรเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของทุกธุรกิจ มั่นใจผลประกอบการธุรกิจเคมีภัณฑ์ดีขึ้นต่อเนื่อง เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยและอาเซียนแข็งแกร่งและเติบโตในระยะยาว รุกขยายการลงทุนทั้งในไทยและภูมิภาค ควบคู่กับการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม (High Value Added - HVA) มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน พร้อมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 3 บาท ในโอกาสครบรอบเอสซีจี 100 ปี ล่าสุดคว้าที่ 1 ของโลก ในสาขาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (Construction Materials Industry) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน จากการประเมินและจัดอันดับของ DJSI
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สาม ปี 2556 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 113,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของทุกธุรกิจในเอสซีจี และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 9,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายของธุรกิจเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และมีกำไรจากรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาท จากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทสยามซานิทารีแวร์ จำกัด และบริษัทสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ จำกัด และจากการขายเงินลงทุนในบริษัทโตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ให้กับ TOTO Group
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 329,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของทุกธุรกิจในเอสซีจี มีกำไรสำหรับงวด 28,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 71 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ แม้หลายฝ่ายจะเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง แต่เอสซีจีเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จึงขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังคงเดินหน้าโครงการลงทุนในภูมิภาคตามแผนที่ได้วางไว้ อาทิ โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซีย เมียนมาร์ และกัมพูชา โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 28,030 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 63,550 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวมของบริษัทสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2556 มีมูลค่า 426,560 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่สาม ปี 2556 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 55,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและจากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นและจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 67 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 44 จากไตรมาสก่อน และบริษัทร่วมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 14,871 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และปริมาณความต้องการภายในประเทศของกลุ่มธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 791 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 23 จากไตรมาสก่อน
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สาม 45,612 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้จากกิจการสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และอุปกรณ์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,368 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 55 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 58 จากไตรมาสก่อน นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน เอสซีจียังคงเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในประเทศและในภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังทุ่มเทเพื่อสร้างความสมดุลอย่างยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ล่าสุด เอสซีจี ได้รับการประเมินและจัดอันดับในดัชนีวัดประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนดาวน์โจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices - DJSI) ให้เป็นที่ 1 ของโลก ในสาขาอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง (Industry: Construction Materials) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนความมุ่งมั่นของเอสซีจีในการสร้างประโยชน์สูงสุดต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมร่วมผลักดันให้ทุกภาคส่วนนำแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสร้างเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
นอกจากนี้ เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบเอสซีจี 100 ปี คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 3 บาท คิดเป็นเงิน 3,600 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 ปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556 และกำหนดจ่ายเงินปันผล ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556
-กภ-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit