Movie: Byzantium

28 Jun 2013

กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม

Byzantium ประเภท Horror / Fantasy กำหนดฉาย 11 กรกฏาคม 2013 บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง สตีเฟ่น วูลลี่ (Interview with the Vampire, The Crying Game) กำกับ นีล จอร์แดน (Interview with the Vampire, The Crying Game, The Brave One) เขียนบท มอยร่า บัพฟีนี่ (Jane Eyre, Tamara Drewe) นำแสดง เซียร์ซ่า โรแนน (The Host, Atonement, Hanna) เกมมา อาร์เตอร์ตัน (Hansel & Gretel: Witch Hunter, Quantum of Solace) แซม ไรลี่ย์ (Control, On the Road, Brighton Rock) คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (X-Men: First Class, No Country for Old Men)

เนื้อเรื่อง

Byzantium เป็นเรื่องราวของ เอลินอร์ (เซียร์ซ่า โรแนน) และ คลาร่า (เกมมา อาร์เตอร์ตัน) สองแม่ลูกที่หนีจากการตามล่าของตำรวจ จนมาถึงเมืองเล็กๆริมทะเล ที่พวกเธอพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดย คลาร่า ก็เป็นสาวยุคใหม่ที่มีความมั่นใจ และไม่เคยคิดที่จะหันไปมองอดีต ในขณะที่ เอลินอร์ ก็เป็นผู้หญิงขี้อายและเงียบขรึม

อย่างไรก็ตาม อีเลนอร์ ก็รู้จักกับ แฟรงค์ (คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์) ชายหนุ่มผู้มีจิตใจดี ซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกเชื่อใจและบอกความจริงไปว่า แท้จริงเธอเกิดในปีค.ศ. 1804... นั่นหมายถึงเธออายุ 16 มานานแล้ว และเธอก็ต้องกินเลือดของมนุษย์เพื่อความอยู่รอด... ใช่แล้ว ทั้ง เอลินอร์ และ คลาร่า คือแวมไพร์

หลังจากที่ออกเดินทางมากว่าสองศตวรรษ พวกเธอก็พร้อมจะตั้งถิ่นฐานที่ไหนสักแห่ง อย่างไรก็ตามอดีตก็ไล่ตามมาทัน มีความลับอีกอย่างที่ คลาร่า ไม่เคยบอก เอลินอร์ นั่นคือพวกเธอไม่ได้กำลังหนีจากตำรวจ แต่ความจริงแล้วเป็นกลุ่มแวมไพร์ที่เรียกตัวเองว่า “บราเธอร์ฮู้ด” ซึ่งจะเข้ามาถึงตัวของพวกเธอในอีกไม่ช้า

Byzantium เป็นผลงานการกำกับของ นีล จอร์แดน (Interview with the Vampire, The Crying Game) จากบทภาพยนตร์ของ มอยร่า บัพฟีนี่ (Jane Eyre, Tamara Drewe) อำนวยการสร้างโดย สตีเฟ่น วูลลี่ (Interview with the Vampire, The Crying Game) หนังนำแสดงโดย เซียร์ซ่า โรแนน (The Host, Atonement, Hanna), เกมมา อาร์เตอร์ตัน (Hansel & Gretel: Witch Hunter, Quantum of Solace), แซม ไรลี่ย์ (Control, On the Road, Brighton Rock), คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (X-Men: First Class, No Country for Old Men)

จุดเริ่มต้นการสร้าง

มอยร่า บัพฟีนี่ ที่มีผลงานการเขียนบทหนังเรื่อง Tamara Drew ของผู้กำกับ สตีเฟ่น เฟรียร์ส รวมถึงดัดแปลงวรรณกรรมคลาสสิก Jane Eyre ให้เป็นหนังเวอร์ชั่นล่าสุด ที่นำแสดงโดย ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ และ มีอา วาสิโควสกา ใฝ่ฝันที่จะเขียนบทภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับแวมไพร์มานานแล้ว โดยเธอเผยถึงจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจว่า "ตั้งแต่เด็กฉันจำได้ว่าตัวเองรู้สึกตื่นเต้นที่ดู คริสโตเฟอร์ ลี เป็นแวมไพร์ในหนังสยองขวัญจากค่าย Hammer และสิ่งนี้ก็กลายเป็นตำนานในโลกภาพยนตร์ที่ฉันรู้สึกหลงไหลจนถึงปัจจุบัน"

ในปี 2007 บัพฟีนี่ ก็ได้เขียนบทละครเวทีที่ชื่อ A Vampire Story ขึ้นมา โดยเธอก็ได้พูดถึงแนวทางในการเขียนว่า "ฉันได้แรงบันดาลใจจากเรื่องสั้นของ เชอร์ริแดน เลอ ฟานู ที่ชื่อ Carmilla ซึ่งเป็นเรื่องราวของแวมไพร์หญิงตนแรกในปะวัติศาสตร์ ซึ่งตำนานนี้ก็มีความแตกต่างจากแวมไพร์ของ บราม สโตเกอร์ นั่นคือแวมไพร์ไม่แพ้แสงแดด ไม่ต้องใช้โลงศพเพื่อนอน และไม่สามารถเปลี่ยนเป็นค้างคาวได้ แวมไพร์ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนกับมนุษย์คนอื่นๆ"

ละครเวทีแวมไพร์ของ บัพฟีนี่ กลายเป็นที่สนใจของผู้อำนวยการสร้าง สตีเฟ่น วูลลี่ ที่เคยทำหนังแวมไพร์คลาสสิกอย่าง The Company of Wolves และ Interview with the Vampireโดยเขาเล่าถึงการดัดแปลงให้มันเป็นภาพยนตร์ว่า "อิดิธ ลูกสาวของผมคะยั้นคะยอให้ไปดูละครเวที A Vampire Story และผมก็รู้สึกสนใจในทันที ผมติดต่อให้ มอยร่า ลองเขียนมันให้เป็นบทภาพยนตร์ ผมคิดว่าหัวใจของเรื่องราวก็คือความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกที่เป็นแวมไพร์ มันอาจจะเป็นครั้งแรกที่เข้าไปสำรวจถึงชีวิตของแวมไพร์สาวทั้งสอง"

สองแวมไพร์สาวในเรื่องนี้ได้แก่ คลาร่า (เกมมา อาร์เตอร์ตัน) และ เอลินอร์ (เซียร์ซ่า โรแนน) แม่และลูกที่ดูเหมือนอายุห่างกันไม่มาก ด้วยความที่ เอลินอร์ ถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์หลังแม่ของเธออยู่หลายปี ซึ่งก็ทำให้แรงขับเคลื่อนเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีความน่าสนใจ บัพฟีนี่ เล่าถึงการดัดแปลงละครเวทีของเธอให้กลายเป็นหนังว่า "ฉันทำให้มันมีรายละเอียดและมีความลึกขึ้น การกลับไปเขียนใหม่ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างถูกสำรวจมากขึ้น ในขณะที่ละครเวทีจะมีอารมณ์ขันอยู่บ้าง แต่บรรยากาศของเวอร์ชั่นหนังจะมืดหม่นและอันตรายมากกว่า"

บัพฟีนี่ เผยว่าเธอเป็นสาวกของ แอน ไรซ์ เจ้าแม่นิยายแวมไพร์ที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค ซึ่งก็ทำให้ วูลลี่ หันไปหาผู้กำกับที่เขาเคยร่วมกันทำหนังแวมไพร์มาทั้ง The Company of Wolves รวมถึงผลงานของ แอน ไรซ์ อย่าง Interview with the Vampire นั่นก็คือ นีล จอร์แดน เขาเผยว่า "หลังจาก The Company of Wolves พวกเราก็ไม่ได้ร่วมงานกันมาประมาณ 4 ถึง 5 ปี ทันทีที่ผมบอก นีล ถึงเรื่องโปรเจ็คนี้ เขาก็บอกว่าต้องการที่จะทำทันที มันเหมือนกับว่าพวกเราได้ทำภาคจบของหนังไตรภาคตำนานแวมไพร์"

นีล จอร์แดน ที่เคยได้รับรางวัลออสการ์จากการเขียนบท The Crying Game ก็ทำหนังมาแล้วทุกแนวตลอดสามสิบปีทั้งเขียนบทและเป็นผู้กำกับ โดบเขาเผยว่าสิ่งที่ตัวเองหลงไหลที่สุดก็คือตำนานของแวมไพร์ "เมื่อ สตีเฟ่น ส่งบทภาพยนตร์เรื่องนี้ให้กับผม ผมก็แทบไม่เชื่อเลยว่ามันยังมีแง่มุมที่ผมนึกไม่ถึงเกี่ยวกับแวมไพร์ มันมีความซ่อนเร้นและซับซ้อนในอารมณ์แวมไพร์ผู้หญิงทั้งสองคน นี่คือการตีความเรื่องตำนานแวมไพร์ใหม่ โดยที่ยังซื่อตรงต่อตำนานของมัน"

จอร์แดน ได้พูดถึงองค์ประกอบที่ทำให้เขาสนใจในเรื่องราวนี้ว่า "เรื่องราวของหนังกินเวลาทั้งหมด 2 ศตวรรษ มันเกี่ยวกับแม่และลูกที่ต้องใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอดกาล ผมมองเห็นโอกาสที่จะกลับไปสัมผัสบรรยากาศแวมไพร์อย่างที่เคยทำใน Interview With The Vampire โดยในปัจจุบันแวมไพร์อาจกลายเป็นหนังรักวัยรุ่นไปแล้ว แต่ผมอยากทำให้มันกลับไปสู่ความอันตรายและบรรยากาศโกธิคอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็มอบความรู้สึกแบบเทพนิยายกริมม์ให้กับหนัง ผมคิดว่านี่คือส่วนผสมที่น่าสนใจที่สุด"

การคัดเลือกนักแสดง

ตัวละครนำทั้งสองของเรื่องถือว่ามีบุคลิกที่แตกต่างกัน ในขณะที่ คลาร่า มีสเน่ห์, ความรุนแรง, ความเด็ดขาด และความต้องการที่จะปกป้องลูก เอลิเนอร์ ก็เป็นผู้หญิงที่รู้สึกผิดตลอดเวลา และเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ พวกเธอก็มีความคล้ายคลึงกับ หลุยส์ และ เลสตัท ใน Interview with the Vampire โดยความสัมพันธ์ คลาร่า-เอลินอร์ เป็นอะไรที่มีความชัดเจนและสำคัญที่สุดในบทภาพยนตร์ ซึ่งก็ทำให้นักแสดงทุกคนต่างต้องการเข้ามารับบท ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็คือ เซียร์ซ่า โรแนน และ เกมมา อาร์เตอร์ตัน

เกมมา อาร์เตอร์ตัน นักแสดงชาวอังกฤษที่เพิ่งมีผลงานบล็อคบัสเตอร์อย่าง Hansel & Gretel ก็ได้พูดถึงบทบาทที่เธอได้รับว่า "คลาร่า เป็นบทที่ยอดเยี่ยม นี่เป็นทุกสิ่งที่ฉันต้องการแสดง คุณจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแวมไพร์ที่ให้ความสำคัญกับตัวละครผู้หญิงเท่านี้มาก่อน มอยร่า บัพฟีนี่ ได้สร้างตำนานแวมไพร์ที่มาจากมุมมองของผู้หญิงเป็นครั้งแรก"

อาเตอร์ตัน ที่เคยรับบทนำในผลงานเรื่องที่แล้วของ บัพฟีนี่ อย่าง Tamara Drew ก็เผยต่อว่า "ปกติแล้วบทภาพยนตร์ที่ฉันได้อ่าน ก็มักจะมีตัวละครผู้หญิงที่ตกเป็นเครื่องมือ หรือต้องยอมจำนนให้กับผู้ชายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สำหรับบทของ Byzantium มันเป็นอะไรที่พลิกจากหน้าเป็นหลังมือเลย เมื่อพวกผู้ชายก็คือเหยื่อและเป็นผู้อ่อนแอกว่า"

เมื่อเรื่องราวดำเนินไปข้างหน้า เราก็จะพบว่า คลาร่า เกิดในศตวรรษที่ 18 และต้องกลายเป็นผู้หญิงขายบริการเพราะผู้ชายที่มีอำนาจและเหี้ยมโหดที่ชื่อ รูธเวน (จอห์นนี่ ลี มิลเลอร์) จากนั้นเธอก็มีลูกสาวที่เธอเอาไปไว้ที่บ้านกำพร้า เพราะรู้ว่าตัวเองคงไม่สามารถมอบชีวิตที่ดีให้ลูกสาวได้ แต่โอกาสก็มาถึงเมื่อผู้ชายลึกลับที่ชื่อ ดาร์เวลล์ (แซม ไรลี่ย์) เดินทางมาหา รูธเวน และบอกว่าเขาค้นพบความลับของชีวิตที่เป็นอมตะ ซึ่ง คลาร่า ก็ได้ขโมยมันมาและมอบให้กับลูกสาว ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งมันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่เกิดในหนัง

อาเตอร์ตัน ก็ได้พูดถึงความรู้สึกในการได้เข้ามาแสดงว่า "มันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ฉันเคยแสดงในหนังแอ็คชั่นมาแล้ว แต่ทุกครั้งฉันก็จะเจอกับตัวละครชายที่แข็งแรงกว่าหรือได้ทำอะไรที่เจ๋งกว่า แต่กับเรื่องนี้ฉันเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุด ฉันชอบที่ได้ทำอะไรที่ทั้งรุนแรงและโหดเหี้ยม มันยอดเยี่ยมตรงที่ คลาร่า เป็นเหมือนกับไอค่อนของหญิงแกร่งในโลกภาพยนตร์" หลังจากที่ใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ถูกกระทำโดยผู้ชายมาตลอด คลาร่า ก็อาศัยพลังแวมไพร์ที่ได้มาเพื่อแก้แค้น ความเป็นอมตะที่เธอได้รับต้องแลกมากับการคร่าชีวิตผู้อื่น โดยเธอเล็งเป้าไปที่พวกผู้ชายที่เลวร้ายและชอบทำร้ายผู้หญิง ในขณะเดียวกันด้วยความที่เธอเป็นแม่ คลาร่า ก็หวงลูกเหมือนกับแม่เสือที่ปกป้องลูกเสือจากโลกภายนอกทุกอย่าง

ในขณะที่ คลาร่า ใช้ชีวิตบนเส้นทางของความอาฆาตแค้น มันก็แตกต่างออกไปจากลูกสาววัย 16 ของเธอ ที่รับบทโดย เซียร์ซ่า โรแนน ที่เพิ่งมีผลงานหนังรัก-ไซไฟเรื่อง The Host โดยเธอก็ได้พูดถึงตัวละครนี้ว่า "เอลินอร์ เป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาในบ้านกำพร้าจนถึงอายุ 16 ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์โดย คลาร่า แม่ของเธอ พวกเราเห็นชีวิตที่ผ่านมากว่า 200 ปีของพวกเธอ เดินทางจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่ พวกเธอไม่เคยอยู่ที่เดียวได้นาน"

ความเป็นอมตะคือสิ่งที่ คลาร่า เลือกที่จะเป็น แต่สำหรับ เอลินอร์ มันเป็นเหมือนคำสาปสำหรับเธอ ทั้งแม่และลูกต้องดื่มเลือดและฆ่าคนเพื่อความอยู่รอด นั่นคือสาเหตุที่พวกเธอไม่สามารถอยู่ที่เดียวได้นาน Byzantium ได้เล่าเรื่องเมื่อพวกเธอเดินทางมาถึงเมืองเล็กๆที่อยู่ริมทะเลของอังกฤษ ซึ่งมันก็เคยเป็นเมืองที่เคยรุ่งเรืองในสมัยก่อน"

โรแนน พูดถึงความน่าสนใจของเรื่องราวว่า "มันเป็นอะไรที่น่าสนใจเมื่อคุณสังเกตุเห็นความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่าง คลาร่า และ เอลินอร์ ตลอด 200 ปีที่ใช้ชีวิตด้วยกัน โดยเฉพาะมุมมองที่แตกต่างระหว่างเธอ และ คลาร่า เมื่อ เอลินอร์ เป็นเด็กที่มีความห่วงใยและอ่อนไหวกับเหยื่อของเธอ โดยเธอเลือกแต่คนแก่หรือคนที่ต้องการที่จะตาย ในขณะที่ คลาร่า ไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้เลย"

เรื่องราวในหนังถูกเล่าผ่านการบรรยายของ เอลินอร์ โดยเธอเป็นนักเขียนที่มีความสามารถ มักจะหามุมสงบเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตของเธอลงบนหน้ากระดาษ แต่เธอก็ไม่สามารถนำสิ่งที่เขียนไปเผยแพร่ให้ใครรู้ได้ บัพฟีนี่ ผู้เขียนบทก็ได้พูดถึงสถานการณ์ที่แลดูสิ้นหวังของ เอลินอร์ ว่า "มันคือพรสวรรค์และคำสาปของแวมไพร์ คุณยังมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ก็ต้องดื่มเลือดมนุษย์เพื่ออยู่รอด คุณยังมีจิตใจและความรู้สึกเหมือนมนุษย์ แต่คุณก็ไม่มีวันตาย"

สำหรับ เอลินอร์ ความต้องการลงหลักปักฐานและได้รับการยอมรับก็ปรากฏขึ้น เมื่อเธอได้พบกับ แฟรงค์ (คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์) ผู้ชายที่เธอพบในเมืองริมทะเล ผู้กำกับ นีล จอร์แดน ได้เล่าว่า "หัวใจของหนังก็ยังมีเรื่องราวความรักที่คุณจะรู้สึกเชื่อมถึงได้เช่นเดียวนกัน แน่นอนที่มันเป็นหนังแวมไพร์ แต่มันก็ยังมีเรื่องราวความรักระหว่างวัยรุ่นสองคน ซึ่ง เซียร์ซ่า กับ แลนดรี้ โจนส์ ก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนและกินใจ"

คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ ที่มีผลงานการแสดงเป็นหนึ่งในทีมเอ็กซ์เมนกับ X-Men: First Class ก็เผยถึงความซื่อตรงกับความรู้สึกในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เขาไม่เคยเห็นในโปรเจ็คไหนมาก่อน "ผมได้อ่านบทภาพยนตร์มากมายที่ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของตัวละคร แต่บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีทุกสิ่งที่ผมรู้สึกในขณะที่อ่าน ผมคิดว่า แฟรงค์ เป็นตัวละครที่น่าสนใจที่ผมน่าจะถ่ายทอดตัวตนเขาออกมาได้ โดยเฉพาะความรักที่บริสุทธิ์ระหว่างเขาและ เอลินอร์"

ถึงแม้ว่า แฟรงค์ จะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เมื่อ เอลินอร์ ได้รู้จักกับเขา เธอก็พบว่าเขาและเธอมีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่คิด โรแนน เล่าว่า "เมื่อ เอลินอร์ ได้พบกับ แฟรงค์ ครั้งแรก เธอก็เห็นเขาเป็นเหมือนวิญญาณที่หลงทางเช่นเดียวกับเธอ นั่นทำให้คนทั้งสองเชื่อมถึงกันได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง แฟรงค์ ก็ยังเป็นโรคเลือดเป็นพิษและกำลังจะตาย มันทำให้เธอคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขา" โรแนน ก็รู้สึกเหมือนกับ อาเตอร์ตัน ว่าหนังเรื่องนี้ให้ความสำคัญเรื่องความเข้มแข็งของผู้หญิง "หนังแบบนี้ทำให้นักแสดงหญิงสนใจ เพราะมันมีตัวละครนำสองคนที่เป็นผู้หญิงและความแข็งแกร่งที่ได้มาจากการเป็นแวมไพร์ แต่มันก็ไม่ได้บอกเพียงว่าพลังเป็นต้นเหตุของความรุนแรง แต่มันเกี่ยวกับว่าพลังจะทำให้ผู้หญิงเข้มแข็งทั้งกายและใจแค่ไหน"

ความเข้มแข็งของ คลาร่า และ เอลินอร์ ถูกทดสอบโดยกลุ่มแวมไพร์ผู้ชาย ที่นำโดย รูธเวน และ ดาร์เวลล์ ที่ไม่พอใจเมื่อความลับของการเป็นอมตะถูกช่วงชิงไปโดยผู้หญิง และได้ออกไล่ล่าพวกเธอมาตลอด 2 ศตวรรษ โดย ดาร์เวลล์ ก็รับบทโดยนักแสดงหนุ่ม แซม ไรลี่ย์ ผู้อำนวยการสร้าง วูลลี่ ได้พูดถึงเขาว่า "แซม เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ ถึงแม้ว่าเขายังหนุ่มยังแน่น แต่คุณก็รู้สึกได้ว่าเขาอาจเป็นใครซักคนที่อยู่มานานกว่า 200 ปีแล้วเช่นเดียวกัน"

ไรลี่ย์ นักแสดงที่มีผลงานคุณภาพมาอย่าง Control และ On the Road ก็ได้พูดถึงตัวละครของเขาว่า "ผมรับบทเป็น ดาร์เวลล์ นายทหารเรือเก่าที่ล้มป่วยในช่วงยุค 1700 และพยายามทำทุกอย่างให้มีชีวิตรอด ในที่สุดเขาก็ค้นพบว่ามีกลุ่มคนที่มีชีวิตที่เป็นอมตะ โดยต้องแลกกับการสละชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง โดยจริงๆแล้ว ดาร์เวลล์ เป็นคนที่มีเหตุมีผล และก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาเมื่อผู้หญิงเป็นแวมไพร์ แต่กลุ่มแวมไพร์ที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ไม่ต้องการแบ่งความเป็นอมตะให้กับใครหน้าไหน ดังนั้นเขาจนต้องจำใจตามคนอื่นๆเพื่อตามล่า คลาร่า และ เอลินอร์"

เบื้องหลังการสร้าง

ในการสร้างภาพลักษณ์ของแวมไพร์ ผู้ดูแลเมคอัพ ลินน์ จอห์นสตัน (Apocalypto, Albert Nobbs) ก็เผยว่านอกจากผิวที่ซีดกว่าและนิ้วที่ยาวกกว่ามนุษย์เล็กน้อยแล้ว พวกเขาก็ไม่ต่างจากมนุษย์มากนัก มีเพียง รูธเวน ที่รับบทโดย จอห์นนี่ ลี มิลเลอร์ เท่านั้นที่ต้องอาศัยการแต่งหน้า โดยเธออธิบายถึงที่มาว่า "รูธเวน เป็นซิฟิลิสรุนแรงก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ทำให้เขาต้องมีเหมือนมีตุ่มน้ำหนองทั่วตัว ฟันเหลืองและผุ และผมที่ร่วง มันทำให้เราต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนเขามากกว่าการเป็นแวมไพร์ซะอีก"

สำหรับชื่อของหนัง Byzantium นั้นมาจากชื่อบทกลอนของ วิลเลี่ยม บัตเลอร์ ยีส โดยผู้เขียนบท บัพฟีนี่ ก็ได้เล่าว่า "แรงบันดาลใจในการเขียนบททั้งละครเวทีและภาพยนตร์จากกลอนของ ยีส ที่เกี่ยวกับการตามหาชีวิตที่เป็นนิรันดร ในหนังเรื่องนี้ Byzantium ก็คือชื่อของโมเต็ลริมทะเลที่ คลาร่า และ เอลินอร์ ใช้เป็นสถานที่พักพิง ที่ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงและเทพนิยายมาผสานเข้าด้วยกัน"

ภาพยนตร์ถ่ายทำส่วนใหญ่ในเมืองเฮสติ้งส์ ที่อยู่ชายฝั่งทะเลทางใต้ของอังกฤษ ผู้กำกับ นีล จอร์แดน อธิบายว่า "พวกเราต้องการเมืองติดทะเลที่ผ่านยุครุ่งเรืองมาแล้ว โดยเราก็ออกหาโลเคชั่นทั่วทั้งอังกฤษ ทั้งมาร์เกท, โฮฟ และไบรท์ตัน แต่ผมคิดว่าเฮสติ้งส์มอบความรู้สึกหม่นนหมองได้ดีที่สุด มันมีชุมชนประมงเล็กๆที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ แต่ก็มีร้านรวงและบ้านตากอากาศที่ปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก เราได้พบกับอาคารที่เหมาะที่สุดในการใช้เป็นโมเต็ล Byzantium ผมคิดว่าทั้งเมืองมันให้ความรู้สึกว่าไม่มีทั้งอดีตและอนาคต"

ผู้ออกแบบงานสร้าง ไซม่อน เอลเลียต (The Iron Lady) เผยว่า โมเต็ลไบแซนเที่ยม เป็นเหมือนกับปัจฉิมโลกของคนเป็นและคนตาย เป็นเหมือนสถานที่เชื่อมระหว่างอดีตและปัจจุบัน นั่นก็คือโลกในสตวรรษที่ 18 ที่ คลาร่า และ เอลินอร์ ถือกำเนิด และโลกในศตวรรษที่ 21 ที่พวกเธอยังคงมีชีวิตอยู่ เขาเล่าว่า "พวกเราต้องทำให้มันดูร่วมสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกมีอะไรที่แปลกไปจากโลกในปัจจุบัน มันต้องให้ความรู้สึกเฉยชาและดูสิ้นหวัง ซึ่งก็สะท้อนถึงความรู้สึกของแวมไพร์สาวสองคนที่มาอาศัยในที่แห่งนี้"

ทางด้านผู้กำกับภาพ ฌอน บ็อบบิตต์ (Shame, Hunger) ก็ได้พูดถึงแนวทางในการถ่ายทำว่า "หลังจากอ่านบทผมก็คิดว่าการถ่ายทอดอย่างเป็นธรรมชาติน่าจะเหมาะกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สุด เพราะเราต้องการถ่ายทอดมุมมองของสองตัวละครที่ดูสมจริง ที่กลายเป็นแวมไพร์และก็ใช้ชีวิตมานานจนถึงปัจจุบัน การใช้แสงที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือย้อมสีจะทำให้ความสมจริงสูญเสียไป พวกเราให้ตัวละครเป็นผู้นำของเฟรม แทนที่จะให้เฟรมบังคับให้ตัวละครเดินตาม"

ผู้กำกับ จอร์แดน ก็เห็นด้วยกับแนวทางของผู้กำกับภาพ เขาเผยว่า "ความงามในงานสร้างและเครื่องแต่งกายไม่ควรถูกปรุงแต่งด้วยอะไรทั้งสิ้น การย้อมภาพหรือใส่เอฟเฟ็คเข้าไปทำให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติสูญเสียไป พวกเราทำหนังกันตามสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นตามชายทะเลจริงๆ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มและบรรยากาศสีเทาๆช่วยส่งเสริมให้กับหนังของเรา"

จอร์แดน เผยว่าถึงสาเหตุที่ทำให้เขาสนใจเรื่องราวของแวมไพร์ว่า "ผมชอบสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา สิ่งมีชีวิตและโลกที่ทุกคนจินตนาการขึ้น มันเป็นเหมือนการเติมเต็มความต้องการของมุษย์ แวมไพร์ก็คือความต้องการที่จะเยาว์วัยไปตลอดกาล และมันก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสูญเสียในความเชื่อของตัวเอง หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตในเทพนิยายอื่นๆ อย่างเช่น มิโนทอร์ หรือ แพน ทุกตัวก็มาจากความต้องการเดียวกัน นั่นก็คือความรู้สึกไม่พอใจกับชีวิตในโลกแห่งความจริง ผมเชื่อว่าทุกคนต่างก็คงอยากหนีออกจากโลกแห่งความจริงบ้างในบางครั้ง"

สำหรับผู้อำนวยการสร้าง สตีเฟ่น วูลลี่ เขาก็รอนานกว่าทศวรรษก่อนที่จะกลับมากับหนังแวมไพร์อีกครั้ง ซึ่งเขาก็รู้สึกภูมิใจกับการได้ทำ Byzantium “สำหรับใครก็ตามที่ชอบหนังแวมไพร์ คุณก็จะต้องพอใจกับหนังเรื่องนี้ และสำหรับคอหนังสยองขวัญ คุณก็จะไม่ผิดหวังเช่นกัน เพราะเรื่องราวจะทำให้คุณทั้งรู้สึกกลัวและตกใจ และมันก็ยังมีอะไรไปมากกว่าการทำให้รู้สึกกลัวอีกด้วย นี่คือองค์ประกอบที่น่าสนใจของเรื่องนี้"

วูลลี่ ก็เผยว่า Byzantium จะมีความมืดหม่นและน่ากลัวกว่าหนังแวมไพร์ในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตามเขาก็เชื่อว่าแฟนหนังอย่าง Twilight ก็จะพบบางอย่างที่พวกเขาชื่นชอบในเรื่องนี้เช่นกัน "ผมคิดว่านี่มันก็เหมือนกับ Twilight ในมุมมองที่เติบโตมากขึ้น มันมีเรื่องราวความรักของวัยรุ่น เพียงแต่ทุกอย่างก็ไม่ได้ลงเอยง่ายดายแบบนั้น และการที่เรื่องราวขับเคลื่อนด้วยแวมไพร์ผู้หญิง ผมก็คิดว่านี่คือมุมมองที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนกับหนังแวมไพร์"

ประวัตินักแสดง เซียร์ชา โรแนน (รับบทเป็น เอลินอร์)

โรแนน นักแสดงชาวไอริช-อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1994 ที่นิวยอร์ก ซิตี้ สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางการแสดงในซีรี่ย์และภาพยนตร์โทรทัศน์ ก่อนที่จะเข้ามาแสดงในเรื่อง Atonement ผลงานของผู้กำกับ โจ ไรท์ โดยรับบท ไบรโอนี่ ทาลลิส เด็กสาววัย 13 ขวบที่เป็นต้นเหตุให้พี่สาวต้องพรากจากคนรักไปตลอดกาล ซึ่งจากการแสดงอันยอดเยี่ยม ก็ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบาฟต้าครั้งที่ 61, รางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 65 รวมถึงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 80 ในสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม

หลังจากแจ้งเกิดกับหนังพีเรียดเรื่องเยี่ยม โรแนน ก็ได้รับบทนำใน City of Ember หนังผจญภัย-ไซไฟที่สร้างจากวรรณกรรมเบาวชนเรื่องเยี่ยม, The Lovely Bones ผลงานหนังดราม่าของ ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับ Lord of The Rings ที่สร้างจากนิยายเรื่องเยี่ยมของ อลิส เซโบล รวมถึง The Way Back ของผู้กำกับ ปีเตอร์ เวียร์ ที่เธอแสดงร่วมกับ โคลิน ฟาร์เรล, จิม สเตอร์เจส และ เอ็ด แฮร์ริส

ในปี 2011 โรแนน ก็ได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ โจ ไรท์ อีกครั้งในหนังทริลเลอร์ Hanna ที่เธอร่วมแสดงกับ เอริค บาน่า และ เคท แบลนเช็ตต์ โดยในปี 2013 นอกจากการรับบทนำใน The Host เธอก็ยังมีผลงานการแสดงเป็นแวมไพร์ในเรื่อง Byzantium ของผู้กำกับ นีล จอร์แดน และ How I Live Now หนังดราม่าสงคราม ที่เธอร่วมแสดงกับ ทอม ฮอลแลนด์ นักแสดงดาวรุ่งจาก The Impossible

เกมมา อาร์เตอร์ตัน (รับบทเป็น คลาร่า)

นับแต่สำเร็จการศึกษาจาก RADA ในปี 2007 เกมมา อาร์เตอร์ตัน ได้รับรางวัล Empire Films สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Orange Rising Star ที่งานแจกรางวัลแบฟต้าปี 2011 โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เธอก็รับบทนำเป็น “เกรเทล” ในภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่อง Hansel and Gretel: Witch Hunters คู่กับ เจเรมี เรนเนอร์ และแสดงนำในภาพยนตร์ฟีลกู้ดเรื่อง Song for Marion ร่วมกับ วาเนสซ่า เร็ดเกรฟ และ เทอเรนซ์ สแตมป์

ก่อนหน้านี้ เกมมา แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Tamara Drewe กำกับโดย สตีเฟ่น เฟรียร์ส ที่เธอได้ประกบบทกับ โดมินิค คูเปอร์, ลุค อีแวนส์ และ แทมซิน เกร็ก โดยในปี 2010 เธอก็ยังร่วมแสดงกับ แซม เวิร์ธทิงตัน ในหนังแอ็คชั่นบล็อคบัสเตอร์ของ หลุยส์ เล็ทเทอริเย่ เรื่อง Clash of the Titans โดยเธอยังรับบทเป็น “เจ้าหญิงทามิน่า” ในหนังมหากาพย์ของดิสนีย์ เรื่อง Prince of Persia: The Sands of Time ร่วมกับ เจค จิลเลนฮาล และ เบน คิงสลี่ย์

ผลงานเรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมีหนังของ ริชาร์ด เคอร์ติส เรื่อง The Boat that Rocked ที่เธอร่วมแสดงกับ ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟฟ์แมน, เคนเนธ บรานาห์, บิลล์ ไนฮีย์ และ เอ็มม่า ธอมป์สัน และในปี 2008 เธอรับบทเป็นสาวบอนด์ “สตรอว์เบอร์รี่ ฟิลด์ส” ใน Quantum of Solace ที่กำกับโดย มาร์ค ฟอร์สเตอร์ และนำแสดงโดย แดเนียล เคร็ก และ เดม จูดี้ เดนช์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆของเธอก็ยังมีหนังแก๊งสเตอร์ของ กาย ริทชี่ เรื่อง RocknRolla, รวมถึง St Trinian’s ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มไพร์ และได้รับรางวัลเนชั่นแนล มูฟวี่ อวอร์ด

แซม ไรลี่ย์ (รับบทเป็น ดาร์เวลล์)

ผลงาน >>> On The Road, Brighton Rock, Control

จอห์นนี่ ลี มิลเลอร์ (รับบทเป็น รูธเวน)

ผลงาน >>> Trainspotting, Dark Shadows, ซีรี่ย์ Elementary

คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (รับบทเป็น แฟรงค์)

ผลงาน >>> X-Men: First Class, No Country For Old Men, Antiviral

ทีมผู้สร้าง

นีล จอร์แดน (ผู้กำกับ)

เขาคือผู้กำกับและเขียนบทที่มีผลงานคุณภาพมาเกือบ 4 ทศวรรษ โดยนักแสดงชื่อดังมากมายก็เคยร่วมงานกับเขามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ทอม ครูซ, แบรด พิทท์, ไมเคิล เคน, โรเบิร์ต เดอนิโร, เลียม นีสัน, ปีเตอร์ โอทูล, เจเรมี่ ไอร่อน, โจดี้ ฟอสเตอร์ รวมถึง จูเลีย โรเบิร์ตส ผลงานที่ผ่านมาของเขาล้วนประสบความสำเร็จและได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งคนดูและนักวิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็น Mona Lisa ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Palme D’or จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ รวมถึงรางวัลแบฟต้าและลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือ The Crying Game ที่เข้าชิงถึง 6 รางวัลออสการ์ รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเขาเองก็ได้รับรางวัลออสการ์มาครอง ในสาขาบทภาพยนร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม

ผลงานเรื่องอื่นๆของ จอร์แดน ก็ยังมี The End of the Affair นำแสดงโดย จูลี่แอนน์ มัวร์ ที่ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจากแบฟต้า, Interview with the Vampire ที่นำแสดงโดย ทอม ครูซ และ แบรด พิทท์ ซึ่งก็เป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดในอาชีพของเขา, Breakfast on Pluto ที่นำแสดงโดย คิลเลี่ยน เมอร์ฟี่ย์ และ The Brave One ที่นำแสดงโดย โจดี้ ฟอสเตอร์

มอยร่า บัพฟีนี่ (ผู้เขียนบท)

ผลงาน >>> Tamara Drewe, Jane Eyre, Loveplay

สตีเฟ่น วูลลี่ (ผู้อำนวยการสร้าง)

ผลงาน >>> Interview With The Vampire, The Crying Game, Great Expectations

ฌอน บ็อบบิตต์ (ผู้กำกับภาพ)

ผลงาน >>> Shame, Hunger, Sense And Sensibility

โทนี่ ลอว์สัน (ผู้ตัดต่อภาพ)

ผลงาน >>> Interview With The Vampire, The End of the Affair, The Crying Game

ไซม่อน เอลเลียต (ผู้ออกแบบงานสร้าง)

ผลงาน >>> The Iron Lady, Nanny McPhee and the Big Bang, Burke and Hare

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net