สสส. ร่วมกับ เครือข่ายเสียงประชาชน และนักวิชาการอิสระจากสถาบันชั้นนำ เจาะลึกสำรวจสถานการณ์สุขภาพคนไทยพบ 1 ใน 3 ประสบภาวะอ้วนลงพุง

04 Mar 2013

กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น

-จับมือเครือข่ายคลอดแคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” ปลุกคนไทยตื่น ลดภาระเยียวยากว่าแสนล้านต่อปี-

จากผลสำรวจสถานการณ์สุขภาพล่าสุดของคนไทยพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่พึงพอใจกับรูปร่าง ขาดความรู้ด้านโภชนาการ ฝันอยากออกกำลังกายแต่ไร้เวลา ส่งผลให้ต้องเผชิญกับ “ภาวะอ้วนลงพุง” สัญญาณอันตรายของความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ สสส. ผนึกพลังเครือข่ายยื่นมือ เร่งรณรงค์ผ่านแคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” หวังปลุกกระแสดูแลสุขภาพพร้อมเสริมกึ๋นด้านโภชนาการผ่านกลยุทธ์การสื่อสาร ครบวงจร

ศ.นพ.อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ประธานคณะกรรมการกำกับทิศงานสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. เปิดเผยว่า ล่าสุด สสส. ได้ร่วมกับ เครือข่ายเสียงประชาชน (We Voice) จัดทำโครงการสำรวจสุขภาพและความรู้ เกี่ยวกับโภชนาการของคนไทย เพื่อสำรวจสุขภาพและความรู้ทางด้านโภชนาการ สำหรับใช้เป็นแนวทางในการ กำหนดทิศทางการรณรงค์ พบว่า โรคอ้วนลงพุงเป็นมหันตภัยเงียบที่กำลังทำร้ายสุขภาพของคนไทยอย่างร้ายแรง ผลพวงของวิถีชีวิตแบบคนเมืองสมัยใหม่ที่มีพฤติกรรมการกินที่ทำร้ายสุขภาพ บริโภคอาหารหวาน มัน เพิ่มขึ้น กินผักและผลไม้น้อยลง และขาดการออกกำลังกายจนส่งผลให้คนไทยอ้วนติดอันดับที่ 5 ของแถบเอเชียแปซิฟิค และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4 ล้านคนต่อปี โดยมีอัตราการเสียชีวิตสืบเนื่องจากโรคอ้วนลงพุงประมาณ 20,000 คนต่อปี รัฐบาลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาโรคต่างๆ ที่สัมพันธ์กับโรคอ้วนลงพุงกว่าปีละ 100,000 ล้านบาท

ด้าน ศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายเสียงประชาชนแถลงผลสำรวจภาวะ “คนไทยซ่อนอ้วน” สถานการณ์สุขภาพคนไทยกับภาวะอ้วนลงพุงว่า ครั้งนี้ได้ทำการสำรวจคนไทยทั่วประเทศ ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 1,002 คน จาก 5 พื้นที่คือ กรุงเทพและปริมณฑล ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ผลสำรวจพบว่าคนไทยร้อยละ 56.1 ไม่พอใจกับรูปร่างตน ในขณะที่ร้อยละ 43.9 อยากจะผอมลงและเมื่อสำรวจถึงความรู้พื้นฐานด้านโภชนาการก็พบว่าคนส่วนใหญ่คิดว่าตนมีความรู้ ความเข้าใจในด้านโภชนาการโดยเฉพาะเรื่องทั่วไป อาทิ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่, การอ่านฉลากสินค้า ก่อนเลือกซื้อ และปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคน้ำตาลนอกมื้ออาหารไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน แต่ที่น่าสนใจ คือ มีเพียงร้อยละ 49.5 เท่านั้น ที่ทราบถึงปริมาณน้ำมันนอกมื้ออาหารที่บริโภคได้คือประมาณ 1 ช้อนชา นั่นหมายความว่ากว่าร้อยละ 50 ของผู้ที่สำรวจไม่ได้คำนึงหรือระวังในการบริโภคน้ำมันต่อวัน

"ทีมสำรวจได้ทำการทดลอง 2 หัวข้อ เพื่อทดสอบความเข้าใจต่อพลังงานของอาหารที่ปรุงต่างกัน โดยใช้ไข่ สามแบบ เป็นตัวแทนในการทดสอบ (ไข่ต้ม/ปิ้ง ไข่ดาว และ ไข่เจียว) และ "เครื่องดื่มน้ำตาลสูง 6 ชนิด" (ประกอบด้วย นมเปรี้ยว ชาเขียว ชานมไข่มุก น้ำอัดลม กาแฟสด และน้ำผลไม้สำเร็จรูป) เพื่อศึกษา ความตระหนักรู้ถึงปริมาณน้ำตาลที่แฝงมากับเครื่องดื่มต่างๆ พบว่า คนไทยร้อยละ 51.6 ยังไม่ทราบว่า

ไข่เจียวให้พลังงานสูงสุดและมากกว่าไข่ต้มถึง 3.5 เท่า นั่นอาจหมายถึงคนไทยกว่าครึ่งยังขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปริมาณพลังงานของแต่ละวิธีการปรุง เมื่อเฉลยให้ทราบถึงพลังงานของไข่ แต่ละชนิด ร้อยละ 43 เลือกที่จะเพิ่มกิจกรรมทางกาย ในขณะที่ร้อยละ 29 เลือกที่จะลดปริมาณการบริโภคไข่ต่อวัน และร้อยละ 28 เลือกที่จะเปลี่ยนวิธีปรุงไข่ สำหรับการศึกษาเรื่องเครื่องดื่มน้ำตาลสูง (ปริมาณน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา) พบว่า คนไทยนิยมดื่มน้ำอัดลมมากที่สุดถึง ร้อยละ 52.5 รองลงมาคือ กาแฟสดได้รับความนิยมร้อยละ 45.2 แต่ในเชิงความถี่คนไทยนิยมบริโภค กาแฟสดสูงสุด โดยเฉพาะคน กทม. ที่ดื่มในปริมาณมากกว่าภาคอื่นๆ เกือบเท่าตัว แต่ที่น่าสนใจคือ คนไทยร้อยละ 89.7 ยังไม่ทราบว่า "นมเปรี้ยว" ขนาด 400 มล. มีปริมาณน้ำตาลมากถึง 19 ช้อนชาต่อขวด และเมื่อทราบถึงปริมาณน้ำตาล ที่ผสมในเครื่องดื่มแต่ละประเภทแล้ว ผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 64 เลือกที่จะลดปริมาณการบริโภค เครื่องดื่มชนิดนั้น ในขณะที่ร้อยละ 29 เลือกที่จะเพิ่มกิจกรรมทางกาย

นอกจากนี้ รศ.นพ.ปัญญา ไข่มุก คณะกรรมการบริหารแผนสำนักรณรงค์สื่อสารสังคม สสส. ได้เสริมว่า ปัจจุบันคนไทยกำลังเผชิญปัญหา "อ้วนลงพุง" เพราะขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโภชนาการ ซึ่งถือเป็น ภัยร้ายที่ค่อยๆ คร่าชีวิตคนไทยในทุกนาทีหากยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) จึงได้รณรงค์ผ่านแคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” เพื่อเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้านโภชนาการ พร้อมกระตุ้นให้คนไทยทั่วประเทศปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยลดการบริโภคของมัน ของทอด หันมาทาน อาหารนึ่งและต้มเพิ่มขึ้น เพื่อลดการเกิดโรคอ้วนลงพุง ผ่านสื่อโฆษณารายการโทรทัศน์ 3 รายการ (The Firm องค์กรซ่อนอ้วน, ทราบแล้วเปลี่ยน และ Fat Fact ความจริงรอบพุง) และกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ เข้าร่วม “ลดพุง ลดโรค” โดยเชิญชวนให้ประชาชนสำรวจความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุงด้วยการวัดรอบเอว โดยเส้น รอบพุงต้องไม่เกินส่วนสูงหารสอง ปรับพฤติกรรมการกิน ลดทอดลดมันเพิ่มผักผลไม้ และเพิ่มกิจกรรมทางกาย เช่นการเดินเร็วหรือแกว่งแขน รวม 30 นาทีต่อวันอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ และเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุด ลดพุงลดโรค ซึ่งจะออกอากาศครั้งแรก ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ทั่วประเทศ เพื่อรณรงค์ให้คนไทยทราบถึงหลักในการประเมิน ภาวะอ้วนลงพุงเบื้องต้นว่า “ขนาดรอบเอวต้องไม่เกินขนาดของส่วนสูงหารสอง” ตลอดจนหลักในการบริโภค ที่เหมาะสมร่วมกับการเพิ่มกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

ทั้งนี้ แคมเปญ “ลดพุง ลดโรค” ถือเป็นการรณรงค์ครั้งสำคัญรับปี 2556 ที่ สสส. ได้ร่วมกับเครือข่ายหลากหลาย ภาคส่วนผลักดันเพื่อให้คนไทยตระหนักถึงภัยร้ายของ “โรคอ้วนลงพุง” โดยแคมเปญดังกล่าวจะดำเนินการ อย่างต่อเนื่องในปีนี้

สื่อมวลชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: บริษัท โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โทรศัพท์ 02-951-9119 อีเมลล์: [email protected] -นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net