พีดีเฮ้าส์ ดันแฟรนไชส์รุกสร้างบ้านทั่วปท.หวังฟันยอดขายปีงูเล็ก 2 พันล้าน

27 Mar 2013

กรุงเทพฯ--27 มี.ค.--พีดีเฮ้าส์

พีดีเฮ้าส์ ชี้ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยปี 55 ไม่เติบโต เผยวิกฤติน้ำท่วมและปัญหาขาดแคลนแรงงานมีผลกระทบต่อเนื่อง มองผู้ประกอบการแฟรนไชส์ไทยในเชิงปริมาณลดลง แต่ปรับตัวดีขึ้นเชิงคุณภาพ ฉายภาพหลังนำ พีดีเฮ้าส์ ต่อยอดธุรกิจเดิมสู่แฟรนไชส์รับสร้างบ้าน ทำให้ต้องปรับทัพธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1)ธุรกิจแฟรนไชส์ 2)ธุรกิจรับสร้างบ้าน 3)ธุรกิจจำหน่ายวัสดุ มั่นใจปี 56 ทิศทางเศรษฐกิจสดใสกว่าปีก่อนๆ มองแนวโน้มตลาดรับสร้างบ้านขยายตัวกว่าร้อยละ 10-12 แนะระวังปัญหาขาดแคลนแรงงานและต้นทุนขยับ พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาแฟรนไชส์ปีนี้ครบ 38 สาขาทั่วประเทศ มั่นใจปีนี้กวาดยอดขายรวมใน 3 กลุ่มธุรกิจหลักมูลค่าเกือบ 1.9 พันล้านบาท

มองภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ปี 55

นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของและผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจแฟรนไชส์ไทยในปีที่ผ่านมา ไม่เติบโตดังที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหานำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 54 ต่อเนื่องมาถึงปีที่ผ่านมา ซึ่งผู้ประกอบการยังอยู่ในช่วงที่มีการปรับตัวและฟื้นฟูกิจการ รวมทั้งปัญหาใหม่ที่ต้องเผชิญคือแรงงานขาดแคลน ที่กลายเป็นปัญหาระดับชาติและส่งผลกระทบในทุกภาคส่วนธุรกิจ

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเชิงปริมาณการขยายตัวของธุรกิจแฟรนไชส์หรือผู้ประกอบการที่เป็นแฟรนไชส์ซอ (Franchisor) จะไม่ขยายตัว แต่ในเชิงคุณภาพก็พบว่าแฟรนไชส์ซอส่วนใหญ่ มีการปรับตัวได้ดีและเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาใหม่ของหลายๆ กิจการที่ไม่คิดว่าจะพัฒนามาเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ได้ ซึ่งก็สร้างกระแสตื่นตัวแก่ผู้ประกอบการให้หันมาต่อยอดไปสู่ธุรกิจแฟรนไชส์อย่างน่าสนใจ อาทิ ธุรกิจรับสร้างบ้าน ฯลฯ เป็นต้น

ฉายภาพตลาดรับสร้างบ้าน

สำหรับ “ตลาดบ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศปี 2556 นี้ คาดว่ามีมูลค่ารวมประมาณ 1.2-1.3 แสนล้านบาท ในขณะที่ประเมินว่า “ตลาดรับสร้างบ้าน” มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเศษ ขยายตัวร้อยละ 12-15 เมื่อเปรียบเทีบกับปีที่แล้ว จากสถานการณ์ไตรมาสแรกปีนี้ พบว่าความต้องการสร้างบ้านใหม่ หรือกำลังซื้อในต่างจังหวัดเติบโตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ในขณะที่กำลังซื้อในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็ฟื้นตัวชัดเจน เชื่อว่าแนวโน้มภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศปีนี้สดใส อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังคือ ปัญหาขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนวัสดุอาจมีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ทิศทางการเติบโตกลุ่มธุรกิจพีดีเฮ้าส์

นายสิทธิพร เปิดเผยอีกว่า ภายหลังจาก บจก.ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป มีการต่อยอดจาก “ธุรกิจรับสร้างบ้าน” ขยายมาสู่ “ธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน” ภายใต้แบรนด์ “พีดีเฮ้าส์” เมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มีการแตกไลน์ธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1) ธุรกิจแฟรนไชส์ ดำเนินธุรกิจโดย บจก.พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น 2) ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ดำเนินธุรกิจโดย บจก. พีดีสยามซัพพลาย แอนด์ เซอร์วิส และ 3) ธุรกิจรับสร้างบ้าน ดำเนินธุรกิจโดย บจก.ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปรับตัวในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยการนำระบบแฟรนไชส์มาต่อยอดธุรกิจเดิม เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมๆ กับขยายตลาดและบริการรับสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น รวมทั้งเพื่อเตรียมพร้อมรับและรุกตลาดรับสร้างบ้าน เมื่อประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ที่จะถึงนี้

กลยุทธ์การตลาดและการแข่งขันปีงูเล็ก

นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า การแข่งขันในปี 2556 นี้ สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านจะชูจุดขายเรื่อง “บ้านอนุรักษ์พลังงาน” และ “ระบบก่อสร้างสำเร็จรูป” ซึ่งเชื่อว่าผู้บริโภคเห็นความสำคัญของการใช้พลังงานอย่างประหยัดมากขึ้น ดังนั้น การสร้างบ้านที่ออกแบบและใช้วัสดุที่ช่วยลดการใช้พลังงาน จึงเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคนี้ ที่ผ่านมาพีดีเฮ้าส์เคยได้รับรางวัลบ้านอนุรักษ์พลังงาน จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานมาแล้วถึง 21 รางวัล เมื่อปี 2552-4 จึงเป็นสิ่งยืนยันที่จะทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมั่นใจยิ่งขึ้น สำหรับการนำระบบโครงสร้างสำเร็จรูป MLS (Multi-joint Lock System) มาใช้ก่อสร้างบ้านทุกหลังนั้น นับเป็นการปรับตัวได้ทันและมีความสำคัญมาก เพราะช่วยลดปัญหาขาดแคลนแรงในภาวะปัจจุบัน แม้ว่าบริษัทฯ จะมีปริมาณงานรับสร้างบ้านจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศก็ตาม และถือว่าเป็นข้อได้เปรียบคู่แข่งในธุรกิจนี้ “แผนการตลาดปีนี้ บริษัทฯ จะเลือกใช้กลยุทธ์การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าหรือ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อให้เกิดการบอกต่อจากลูกค้าเก่าและขยายฐานลูกค้าใหม่ เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายให้เติบโตตามเป้า ทั้งในปีนี้และระยะยาวให้แก่กลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์พีดเฮ้าส์ โดยปีนี้จะมีการจัดกิจกรรมคืนกำไรลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น ทริปทัวร์ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯ จะไม่เลือกแข่งขันด้วยราคา หรือทำสงครามราคากับคู่แข่งขันในตลาด แต่จะเน้นที่คุณภาพและบริการที่แตกต่าง นอกจากนี้จะเน้นกลยุทธ์การสื่อสารตราสินค้า (Brand Communication) เพื่อให้เป็นที่รู้จักและยอมรับของผู้บริโภคมากขึ้น ผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายช่องทางด้วยงบประมาณโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่เตรียมไว้ 30 ล้านบาท”

สำหรับการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ จะเน้นขายแฟรนไชส์ให้กับรายเดิมและลงทุนเองเป็นหลัก เหตุผลก็เพราะจำนวนสาขาที่มีอยู่ในปัจจุบัน สามารถรองรับการให้บริการรับสร้างบ้านได้มากถึง 63 จังหวัดแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องการให้สาขาแฟรนไชส์เกิดการแข่งขันกันเอง และในส่วนที่บริษัทต้องการลงทุนเองนั้น ก็เพื่อจะรองรับบุคลากรที่อยู่กันมานานให้เติบโตไปเป็นเจ้าของธุรกิจ โดยแนวคิดนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทฯ มีการต่อยอดมาสู่ธุรกิจแฟรนไชส์รับสร้างบ้านในปัจจุบัน

ยอดขายปี 55 และเป้าหมายปี 56

ปีที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและสาขาแฟรนไชส์ ภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ มียอดขายบ้านรวม 214 หลัง คิดเป็นมูลค่ารวม 965 ล้านบาทเศษ ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้เล็กน้อย สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์มีการขยายสาขาเพิ่มเป็น 33 สาขา มีรายได้จากค่าบริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ประมาณ 50 ล้านบาท และในส่วนของธุรกิจจำหน่ายวัสดุ ปีที่แล้วมียอดขายและรายได้ 164 ล้านบาท โดยทั้ง 3 ธุรกิจหลักสามารถทำยอดขายรวมในปีที่ผ่านมากว่า 1 พันล้านบาท

สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ปี 2556 นี้ตั้งเป้าไว้จะขยายให้ครบ 38 สาขา โดยคาดว่าจะมีรายได้จากค่าบริหารสิทธิ์ประมาณ 80-100 ล้านบาท ในขณะที่ธุรกิจจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะมียอดขายและรับรู้รายได้ประมาณ 240-250 ล้านบาทเศษ และสุดท้ายธุรกิจรับสร้างบ้านตั้งเป้ายอดขายบ้านไว้ 300-350 หลัง คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.4-1.5 พันล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้ ทำยอดขายได้แล้วเกือบ 300 ล้านบาท คาดว่าตลอดปี 2556 ทั้งสามกลุ่มธุรกิจหลักจะมีรายได้รวมเกือบ 1.9 พันล้านบาทเศษ นายพิศาล กล่าวทิ้งท้าย

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net