กรุงเทพฯ--29 ส.ค.--มายด์แชร์
มายด์แชร์ เอเยนซี่เครือข่ายด้านการตลาดและการสื่อสาร เผยผลสำรวจ จาก “กรุ๊ปเอ็ม/มายด์แชร์ 3D 2012” เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณที่ไม่เพียงเก็บข้อมูลแนวโน้มด้านประชากรศาสตร์ (อายุ รายได้และการศึกษา)แต่ยังให้ข้อมูลวิเคราะห์ด้านบุคลิกค่านิยม ทัศนคติและความเชื่อของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆในสังคม เผยให้เห็นว่า กลุ่มประชากรที่ต้องการมีสถานะทางสังคมและภาพลักษณ์ที่ดี เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเยอะที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในสังคมไทย
ปัทมวรรณ สถาพร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท มายด์แชร์ กล่าวว่า “เราทราบกันทั่วไปว่าประชากรไทยปัจจุบันมี 64 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและเรากำลังเข้าสู่ช่วงของการมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 อยู่ถึง 39%ของประเทศ และเมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่อยู่ที่ 29%ของประชากรทั้งหมด หมายถึงการที่เราจะต้องเตรียมตัวเข้าสู่ยุคที่ประเทศกำลังจะมีประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น และทั้งนี้เราก็ทราบดีว่ากลุ่มคนทำงานใช้แรงงานมีจำนวนเท่ากับ 2 ใน 3 ของประเทศ ร่วมถึงขนาดจำนวนสมาชิกในแต่ละครัวเรือนก็เล็กลง แต่งงานช้า มีลูกน้อย และอัตราการหย่าร้างที่สูงขึ้นก็เป็นแนวโน้มที่เราจะเห็นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มายด์แชร์ไม่ได้ให้หยุดศึกษาในเชิงประชากรศาสตร์เท่านั้นแต่เรามองซับซ้อนขึ้นโดยศึกษาในเชิงพฤติกรรมทางสังคม ปัจเจกบุคคล ความเชื่อ ทัศนคติของผู้บริโภคเหล่านั้นและได้จัดกลุ่มผู้บริโภคออกเป็น 8 กลุ่มหลักด้วยกันจากเครื่องมือวิจัย 3D นี้ โดยเราจะสามารถมองเทรนด์ให้ลึกกว่าแค่สถานภาพทั่วไป”
3D 2012 แสดงสัดส่วนกลุ่มทัศนคติและพฤติกกรรม 8 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มที่ต้องการมีสถานะทางสังคมและภาพลักษณ์ที่ดี (Image Conscious Status Seeker) เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเยอะที่สุดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดวันนี้ กลุ่มนี้มีมุมมองและทัศษนะคติที่ดีกับชีวิต ยอมเป็นหนี้สินเพื่อใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ 22 %
2. กลุ่มผู้เสียเปรียบและไม่กระตือรือร้น (Disadvantaged & Indifferent) มีพิ้นฐานของการคิดเรื่องชีวิตที่เรื่อยๆ สบายๆ เป็นวัฒนธรรมของคนไทยที่ต่างชาติให้ความสนใจ เป็นกลุ่มที่ใหญ่ของสังคมไทยตลอดระยะเวลา10 ปีที่ผ่านมา และนับเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดเป็นอันดับสองคือ 19% ของจำนวนประชากร
3. กลุ่มที่มีแบบแผนชีวิตเหมือนรุ่นก่อนๆ (Traditionalists ) มีจำนวน 9% ค่อนข้างมีแบบแผนการใช้ชีวิต มีความมั่นใจในตัวเอง ยังเชื่อเรื่องความถูกต้อง และศาสนามีความสำคัญกับชีวิต เป็นกลุ่มที่มีความเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดในรอบ 10 ปี และมีจำนวนประชากรที่ค่อนข้างคงที่ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีคนอายุเยอะมากที่สุด
4. กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคาดหวัง(Young Aspirers) มีจำนวน 11% เป็นกลุ่มคนอายุน้อยที่ชอบสังคม เอาใจใส่ผู้คนรอบข้าง และสนใจภาพลักษณ์ มีความมั่นใจสูงแต่ไม่ถึงกับทะเยอทะยาน มีมุมมองชีวิต และการใช้ชีวิตที่ใกล้เคียงกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพื่อนมีความสำคัญกับชีวิต สิ่งที่มีบทบาทในชีวิตมากขึ้นคือเทคโนโลยี
5. กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาความมั่นคง (Young Pragmatics) มีจำนวน 10% เป็นกลุ่มที่เล็กในสังคมไทย มีความใกล้เคียงกับที่ถูกตั้งชื่อใช้เรียกกันว่า ‘GEN Y’
6. กลุ่มโดดเดี่ยวและมองโลกจริงจัง (No-nonsense loners) มีจำนวน 8 % กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ชอบอยู่บ้าน ชอบอยู่เงียบๆ และค่อนข้างจริงจังกับชีวิตและคิดเรื่องต่างๆอย่างมีเหตุและผล และมีค่านิยมทางสังคมที่เชื่อตัวเองเป็นหลัก เป็นกลุ่มที่มีตัวเลขลดน้อยลงเยอะที่สุดและเป็นกลุ่มที่เล็กที่สุดของสังคมไทย
7. กลุ่มการศึกษาสูงและมีความคิดก้าวหน้า (Educated Progressives) มีจำนวน 9% กลุ่มคนเมืองและมีการศึกษาสูง ทำงานประจำ มีการยอมรับแนวคิดใหม่ๆเสมอ ไม่ชอบเรื่องหยุมหยิมในชีวิต มุมมองและการดำเนินชีวิตของคนเมืองที่ไม่ค่อยแตกต่างมากนักในช่วง 10 ปีที่ผ่านมายังเป็นกลุ่มที่เล็กของสังคมไทย
8. กลุ่มที่มีความเชื่อมั่นแต่มีวิถีชิวิตแบบอนุรักษ์นิยม (Ambitious Traditionalists) มีจำนวน 12% เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตน วัตถุนิยม ชอบสังคมและมีความสุขกับชีวิต ส่วนใหญ่จะอยู่นอกหัวเมือง แต่งงานและมีลูก มีรายได้ต่อครัวเรือนน้อย มีความใกล้เคียงกับกลุ่ม Traditionalists ในด้านมุมมองและประเพณี สิ่งที่ต่างคือความเชื่อมั่น และมุมมองชีวิตที่ทันสมัยกว่าและอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองถ้ามีโอกาส กลุ่มที่มีความคงที่เช่นกันในช่วง 10 ปีทีผ่านมา
ปัทมวรรณ สถาพร กล่าวสรุปว่า “ทุกองค์กรให้ความสำคัญกับผู้บริโภคที่มีความภักดีกับ แบรนด์ และให้ความสำคัญยิ่งกว่าในการทำยังไงไม่ให้เขาเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่น พัฒนาการของสินค้ามาถึงจุดที่บางครั้ง สิ่งที่จะดึงดูดไม่ใช่เรื่องของฟังชั่นแต่กลับเป็นเรื่องของความรู้สึก แบรนด์ที่แข็งและโดดเด่นจากคู่แข็งคือแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆได้อย่างชัดเจนและเมื่อรวมทั้ง 3 มิติเข้าด้วยกัน 3D จึงนำเราเข้าสู่ยุคใหม่ของการวางแผนการสื่อสาร”
เกี่ยวกับ 3D 2012
เครื่องมือนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณให้ข้อมูลของผู้บริโภค 3 มิติ (Three Dimensional Research) โดยทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากรของประเทศไทยกว่า 2,400 คน อายุระหว่าง 14 – 65 ปี โดยเป็นการทำสำรวจผ่านการสัมภาษณ์ และการทำแบบสอบถามภายใต้การควบคุมของ ทีเอ็นเอส รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล โดยใช้ซอฟแวร์ของ Potentiate ประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้เครื่องมือนี้สามารถดึงข้อมูลเชิงลึกในการทำความเข้าใจถึงทัศนคติ โดยฐานข้อมูลความคิดเห็นเชิงจิตวิทยากว่า 180 คำถาม และมีข้อมูลถึง 34 หมวดสินค้ากว่า 800 แบรนด์
1. มิติแรกของ 3D วัดผลในเชิงความสัมพันธ์ของผู้บริโภคกับตราสินค้า (ฺBrand Relationship) การจำแนกหมวดสินค้าจะครอบคลุมจาก สินค้าอุปโภคบริโภคไปถึงบริการทางการเงิน ความภักดีในตราสินค้าก็จะแตกต่างกันสำหรับกลุ่มที่ให้ความสำคัญในการเลือกตราผลิตภัณฑ์ และกลุ่มที่ไม่ค่อยให้ความใส่ใจในการเลือกผลิตภัณฑ์
2. มิติที่สองของ 3D ให้ข้อมูลเชิงลึกในการทำความเข้าใจถึงทัศนคติและพฤติกรรมทางสังคมของผู้บริโภค (Social Behavior) ด้วยฐานข้อมูลความคิดเห็นเชิงจิตวิทยากว่า 200 ตัวอย่าง เครื่องมือวิจัย 3D ได้จำแนกกลุ่มทัศนคติและพฤติกกรรมออกเป็น 8 กลุ่มที่แตกต่างกัน
3. มิติที่สามของ 3D คือการศึกษาพฤติกรรมการรับสื่อของกลุ่มตัวอย่าง (Media Consumption) นอกเหนือจากสื่อที่ได้รับความนิยมแล้ว 3D ยังวิเคราะห์จุดเชื่อมโยงในการสื่อสารระหว่างที่ผู้บริโภครับสื่อ ตั่งแต่สื่อหลักไปจนถึงการพูดกันปากต่อปาก การแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง แผ่นพับใบปลิว ข่าวประชาสัมพันธ์ พนักงานขายและช่องการสื่อสารทางใหม่ๆ เช่น SMS
เกี่ยวกับมายด์แชร์
มายด์แชร์เป็นเอเยนซี่ผู้นำด้านการตลาดและเครือข่ายการสื่อในประเทศไทยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเครือ WPP Network มีรายได้กว่า 8,000 ล้านบาท บริษัทฯได้รับการจัดอันอับให้เป็นที่ 1 โดย RECMA ต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี ติดต่อกัน และได้รับการยกย่องเป็น Media Magazine Agency ประจำปีเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันซึ่งไม่มีบริษัทใดเคยได้รับ
สินค้าและบริการ: การให้บริการวางแผนและซื้อสื่อ บริการข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครบวงจร, ให้บริการครบวงจรในการจัดกิจกรรมทางการตลาดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และการสปอนเซอร์กิจกรรมการตลาด ร่วมถึงการสร้างเนื้อหาที่เป็นแบรนด์ ให้บริการครบวงจรด้านการทำการตลาดดิจิตอลและอินเตอร์เน็ต ให้บริการคำปรึกษาด้านการลงทุนในสื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค บุคลากร : Mindshare มีพนักงานรวม 120 คน และมีหน่วยงานสนับสนุนอีกจำนวน 65 คนจาก GroupM
เกี่ยวกับกรุ๊ปเอ็ม
กรุ๊ปเอ็ม เป็นเครือข่ายกลุ่มบริษัททางด้านการปฏิบัติการจัดการด้านการลงทุนด้านสื่อชั้นนำของโลก ซึ่ง กรุ๊ปเอ็ม ถือเป็นบริษัทแม่ของตัวแทนสื่อของกลุ่ม WPP รวมทั้ง แมกซัส (Maxus) มีเดียคอม (Mediacom) มีเดียเอจ : ซีไอเอ (Mediaedge : cia) และมายด์แชร์ (MindShare) โดยเป้าหมายหลักของ กรุ๊ปเอ็ม คือ การมุ่งเน้นให้ตัวแทนทางสื่อและการสื่อสารของกลุ่ม WPP มีการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในฐานะที่เป็นตัวแทนของลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานของกรุ๊ปเอ็ม และทางบริษัทมีการดำเนินงานโดยปฏิบัติการเสมือนเป็นผู้ดูแล และผู้จัดการร่วม ในการจัดกิจกรรมที่เป็นการเพิ่มพูนความสามารถในการปฏิบัติงาน เช่น กิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางการค้า การสร้างข้อมูลข่าวสารเพื่อการสื่อสาร งานกีฬา เทคโนโลยี การเงิน การพัฒนาแบรนด์สินค้า และกิจกรรมที่มีความสำคัญทางด้านธุรกิจ ตัวแทนของกรุ๊ปเอ็มนั้นล้วนเป็นบุคลที่มีการปฏิบัติงานอยู่ในสายงานที่ได้รับการยอมรับ และอยู่ในตำแหน่งแนวหน้าของตลาดทั้งสิ้น
-กผ-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit