‘ไพลินบุ๊คเน็ต’ ชูกลยุทธ์เพิ่มช่องทางขาย ลดต้นทุนการพิมพ์ หวังรัฐหนุนมาตรการภาษี สร้างความเข้มแข็งอุตสาหกรรมหนังสือ

21 Aug 2012

กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์

ไพลินบุ๊คเน็ต” ชี้ทางออกปัญหาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมศูนย์กระจายสินค้า ภาครัฐต้องกระตุ้นการอ่านและซื้อหนังสือมากขึ้น เพื่อช่วยให้ต้นทุนการพิมพ์ต่อหน่วยลดลง พร้อมสนับสนุนมาตรการทางด้านภาษี หลังต้นทุนอุตสาหกรรมหนังสือทั้งระบบเพิ่มขึ้น ระบุกลยุทธ์ทำตลาดไพลินบุ๊คเน็ตมาถูกทาง โดยปฏิวัติห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมหนังสือ เน้นปั้นนักเขียนผลิตผลงานให้มากขึ้น พร้อมปูพรมบูธจำหน่ายหนังสือทั่วประเทศด้วยราคาจำหน่ายย่อมเยาว์ กระตุ้นการซื้อสินค้า ส่งผลระยะยาวช่วยลดต้นทุนการพิมพ์ต่อหน่วยลง มั่นใจปีนี้ดันยอดขายกว่า 10 ล้านเล่ม

นายฉัตรเฉลิม เฉลิมชัยวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพลินบุ๊คเน็ต จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจสิ่งพิมพ์ทั้งการเป็นผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คหลากหลายประเภท เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาพรวมต้นทุนของอุตสาหกรรมหนังสือปรับตัวสูงขึ้นทั้งระบบ ตั้งแต่สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่ายและร้านหนังสือ เนื่องจากแต่ละชื่อเรื่องมียอดพิมพ์เฉลี่ยเพียง 3,000 เล่ม และมียอดขายแค่ 1,500 เล่ม ขายได้น้อย ทำให้ต้นทุนโดยรวมสูงมาก ซึ่งหากพิจารณาจากโครงสร้างต้นทุนในอุตสาหกรรมหนังสือ จะพบว่า สำนักพิมพ์มีต้นทุนค่าลิขสิทธิ์นักเขียนเฉลี่ย 10% จากยอดพิมพ์ โดยมีค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์ 20 % (ไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านบริหาร) และเสียค่าจัดจำหน่ายอีก 40% จากยอดขาย ซึ่งสำนักพิมพ์ต้องขายให้ได้ 1,800 เล่มถึง จะเท่าทุน

ส่วนผู้จัดจำหน่ายเอง มีต้นทุนดำเนินการขนส่งและบริหารจัดการ รวมถึงส่วนลดการขายให้ร้านหนังสือ 30% จากยอดขาย เมื่อหักต้นทุนดำเนินการแล้ว จะมีกำไรเหลือเพียง 4-5% เท่านั้น ร้านหนังสือเองก็มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แม้จะเป็นร้านหนังสือขนาดใหญ่ที่มีเชนสโตร์มากมาย ก็เหลือกำไรเพียง 4-5 % เช่นกัน ดังนั้น การเรียกเก็บค่ากระจายสินค้า 1 % จากยอดส่ง (หรือประมาณ 2 % จากยอดขาย เพราะหนังสือขายได้เฉลี่ย 50 % จากยอดส่ง) ตอนนี้ก็ยังมีการต่อรองกันอยู่ว่า ใครจะเป็นคนรับภาระนี้ไป ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิหายไปอีก 2 %

“น่าเห็นใจทุกฝ่าย เพราะซัพพลายเชน หรือห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค ไม่ว่าจะเป็นนักเขียน สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และร้านหนังสือ ขนาดประหยัดแทบตายก็แค่พออยู่ได้ ไม่เหลืออะไรเลย ดังนั้น ภาครัฐต้องส่งเสริมให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการซื้อและใช้มาตรการด้านภาษีเข้ามาช่วย เช่น ลดภาษีซื้อให้เหลือ 0 % ทางสำนักพิมพ์ก็สามารถพิมพ์หนังสือจำนวนมากๆ ต้นทุนพิมพ์ต่อหน่วยก็ลดลง ตัวนักเขียนหรือเจ้าของลิขสิทธิ์ก็มีรายได้เพิ่ม ผู้จัดจำหน่ายและร้านหนังสือก็มีเปอร์เซ็นต์จากการขายเพิ่มขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น” นายฉัตรเฉลิมฯ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไพลินบุ๊คเน็ต กล่าวด้วยว่า การปรับค่าธรรมเนียมกระจายสินค้าจะเกิดขึ้นหรือไม่ เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อสำนักพิมพ์ไพลินบุ๊คเน็ต เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างขีดความสามารถในการรองรับการแข่งขันอุตสาหกรรมหนังสือมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การบริหารซัพพลายเชน เพื่อลดต้นทุนการพิมพ์ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางหรือผู้อ่าน โดยการตั้งจุดจำหน่ายในรูปแบบของบูธหนังสือที่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้อ่าน ทำให้สำนักพิมพ์สามารถมอบส่วนลดราคาขายได้ถึง 70% เพื่อกระตุ้นการขายหนังสือเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้บริษัทฯขายหนังสือได้เป็นจำนวนมาก ปีละกว่า 10 ล้านเล่ม

“เราให้ความสำคัญกับเรื่องต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์ ทั้งการสร้างนักเขียนหน้าใหม่ขึ้นมา การเพิ่มปริมาณงานเขียนหนังสือต่อนักเขียนเก่า เพื่อพิมพ์หนังสือให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด และที่สำคัญด้านกลยุทธ์ช่องทางขายที่เรามีการออกบูธจำหน่ายสินค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าจำหน่ายภายในร้านหนังสือ ทำให้สามารถตั้งราคาขายย่อมเยาว์ที่ช่วยกระตุ้นให้คนอ่านซื้อหนังสือเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้เราสามารถเข้มแข็งอยู่ในธุรกิจหนังสือในภาวะต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ได้” นายฉัตรเฉลิมฯ กล่าว-กภ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net