กรุงเทพฯ--10 ก.ย.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้ เวลธ์ แนะนำซื้อสะสมทองคำ หลังดีมานด์ทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันถือทองคำต่อเนื่อง กระจายความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ฯ และยูโร มองเป้าหมายราคาทองคำในปีนี้ที่ 1,950 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ พร้อมชูผลงานกองทุนทองคำ “ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์” มาแรง 8 เดือนให้ผลตอบแทน 7.19% อันดับ 1 ในตลาด พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพด้านแนะนำการลงทุน
ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ทิสโก้ เวลธ์ แนะนำให้สะสมทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีมุมมองเป็นเชิงบวกต่อราคาทองคำ โดยมองว่าจะมีความต้องการทองคำเพื่อใช้ในเครื่องประดับและการลงทุน จะกลับมาเติบโตขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดียซึ่งเป็นผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ของโลก โดยรัฐบาลจีนได้เริ่มมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งนโยบายการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ย และการลดเงินสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ และนโยบายการคลัง เช่น การลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเริ่มส่งผลในช่วงครึ่งหลังของปี และทำให้เศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นตัว ขณะที่ค่าเงินรูปีของอินเดียเริ่มทรงตัวหลังจากที่อ่อนค่าลงอย่างมากก่อนหน้านี้และทำให้ราคาทองคำในอินเดียไม่เพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุดค่าเงินรูปีหยุดอ่อนค่าในเดือน ก.ค. – ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้มีความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนในกองทุน ETF ทองคำ ยังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือน ส.ค. โดยปริมาณการถือครองทองคำผ่านกองทุน ETF ทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 2,457 ตัน รวมถึงความต้องการถือทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกยังมีการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงจากค่าเงินสกุลหลักของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ ยูโร และเยน ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยต่ำและมีปัญหาหนี้ภาครัฐในระดับสูง โดยในช่วงครึ่งปีแรก ธนาคารกลางมีการซื้อทองคำรวมถึง 254.2 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 25% จากปีที่แล้ว จากปัจจัยทั้งหมดนี้จึงทำให้ราคาทองคำมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทิสโก้ เวลธ์ จึงยังคงมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำ และเชื่อว่าแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและสินค้าเกษตร และภาวะดอกเบี้ยต่ำทั่วโลกจะเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี โดยคงเป้าหมายราคาทองคำปีนี้ไว้ที่ 1,950 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จึงแนะนำซื้อสะสมทองคำ โดยอาจรอจังหวะซื้อหลังจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 12 ก.ย. ซึ่งราคาทองคำมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง หากเฟดไม่มีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
ด้านนายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Theeranat Rujimethapass, Managing Director of TISCO Asset Management Co.,Ltd.) กล่าวถึงผลงานกองทุนทองคำของทิสโก้ ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์” ว่ามีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจต่อผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างมาก โดยผลงาน 8 เดือนแรก (1 ม.ค. -31 ส.ค. 55) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.19% ซึ่งสูงที่สุดในตลาด ขณะที่ดัชนีราคาทองคำในสกุลเงินบาท ซึ่งเป็นตัวชี้วัดผลงานของกองทุน ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 4.48% พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพด้านการให้คำแนะนำในการลงทุนของทิสโก้ได้เป็นอย่างดี
โดย กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ มีนโยบายลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (Stock Exchange of Hong Kong "SEHK") ที่มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ นอกจากนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ ยังมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (hedging) ทำให้แม้ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งขึ้น 0.66% กองทุนจึงได้รับผลกระทบจากค่าเงินน้อยมาก ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนที่ได้จากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
“กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลด์ ฟันด์ เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำ โดยเรามีทีมที่ปรึกษาให้ที่สามารถให้คำแนะนำการลงทุนแก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ที่ผ่านมากองทุนนี้จึงได้รับการตอบรับทีดีจากลูกค้ามาโดยตลอด และมั่นใจว่าจะยังคงได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง” นายธีรนาถ กล่าว
สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4
-กภ-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit