ทิสโก้ มั่นใจเศรษฐกิจเอเชียมาแรง แนะขยับสัดส่วนลงทุนหุ้นจีน – ไทย เปิดโอกาสเพิ่มผลตอบแทน

30 Oct 2012

กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป

ทิสโก้ เวลธ์ ประเมินเศรษฐกิจโลกปีนี้โต 3.3% จับตาเศรษฐกิจ “สหรัฐฯ-ยุโรป” อ่อนแอต่อเนื่อง ชี้เศรษฐกิจเอเชียยังแข็งแกร่ง อัพเดตกลยุทธ์ลงทุนท้ายปีตลาดหุ้นยังน่าสนใจ แนะหุ้นจีนโดดเด่นสุดเหมาะลงทุนเพิ่ม ด้านหุ้นไทยรับอานิสงส์สภาพคล่องล้น เงินทุนไหลเข้า ประเมินดัชนีปีหน้า 1,450 จุด บลจ.ทิสโก้ ชู “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ” และกองซีรีย์ “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส” ตอบโจทย์ลงทุน เปิดโอกาสรับผลตอบแทนเพิ่ม ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Dr.Kampon Adireksombat, Senior Economist, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2556 ว่า ยังคงมีความเสี่ยงจากวิกฤติในยูโรโซนต่อเนื่องไปจากปีนี้ เพราะแนวทางการแก้ปัญหายังไม่ได้รับการตอบรับจากสเปน รวมถึงยังมีความเสี่ยงทางการเมืองในอิตาลี และเยอรมัน ที่จะมีการเลือกตั้งในปีหน้า

สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ความเสี่ยงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังที่กำลังจะหมดลงในช่วงปลายปีนี้ (Fiscal Cliff) และหนี้สาธารณะที่มีโอกาสจะชนเพดานหนี้ในช่วงปลายปีนี้ยังคงมีอยู่ แต่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่ามาตรการลดภาษีและรายจ่ายส่วนใหญ่น่าจะได้รับการต่ออายุหรือหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงการยกเพดานหนี้น่าจะสามารถทำได้ทัน อย่างไรก็ตาม ความผันผวนน่าจะมีค่อนข้างมากหลังการเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พ.ย. นี้ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะมีความคาดหวังให้รัฐบาลรีบแก้ปัญหาดังกล่าวให้เร็วที่สุด

ในปี 2013 เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียน่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น และเป็นภูมิภาคหลักที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจจีนน่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงเดือน มีนาคม 2556 ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี 2556 น่าจะขยายตัวได้ 4.5% ภาคการส่งออกน่าจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่การบริโภคและการลงทุนในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมีนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายเป็นตัวสนับสนุน โดย TISCO ESU มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.75% จนถึงกลางปี 2556 และจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ (Miss Vorasinee Sangvornvetphan, Wealth Strategist, TISCO Wealth) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาถือว่าสามารถให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่น เนื่องจากการออกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องในประเทศต่างๆ ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น และการเคลื่อนย้ายเงินทุนจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นนับว่ามีความน่าสนใจที่สุด โดยตลาดหุ้นที่โดดเด่น คือตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ และเมื่อดูข้อมูลผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังในตลาดหุ้นเอเชียตั้งแต่ปี 1975 พบว่า ผลตอบแทนเฉลี่ย 1 ปี และ 3 ปี สูงถึง 30% และ 90% ตามลำดับ

โดย ทิสโก้ เวลธ์ ยังคงแนะนำการเพิ่มสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยแนะนำตลาดหุ้นจีนเป็นอันดับแรก เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แม้จะชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ก็ยังว่าถือว่ามีความโดดเด่น อีกทั้งราคาหุ้นจีนยังอยู่ในระดับที่ถูกมาก ทั้งในแง่ของ P/E และ P/BV ดังนั้นจึงคาดว่าจีนจะยังเป็นเป้าหมายต้นๆ ของการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งคาดว่าการเปลี่ยนผู้นำจีนในช่วงปลายปีนี้จนถึง มี.ค. 56 จะส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจจีนเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมา ในช่วงถ่ายโอนอำนาจและมีผู้นำใหม่เข้ามา มักจะเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในจีน ซึ่งส่งผลบวกโดยตรงต่อตลาดหุ้นจีน

สำหรับตลาดหุ้นไทยก็มีความน่าสนใจในการลงทุนเช่นกัน โดย TISCO Wealth ประเมินดัชนีหุ้นไทยปีหน้าไว้ที่ 1,450 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ ราคาน้ำมันที่น่าจะเริ่มขยับขึ้น และจะส่งผลต่อราคาหุ้นไทยโดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน มากกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดหุ้นไทยทั้งหมด รวมถึงการที่สภาพคล่องของตลาดโลกที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และคาดว่าส่วนใหญ่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชียนั้น ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย ขณะที่ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในอันดับต้นๆ นอกเหนือจากการลงทุนในตลาดหุ้น และในช่วงปลายปีนับว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นที่จะมีปัจจัยสนับสนุนราคาให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุน ยังคงเน้นให้น้ำหนักในการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและจีน โดยสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมคือ ลงทุนในตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ไม่เกิน 60% และที่เหลือ 40% ให้ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) กล่าวว่า เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้บริหารจัดการกองทุนมืออาชีพ ทิสโก้จึงมุ่งเน้นและคัดสรรผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างตรงจุด ในการสร้างความมั่งคั่งด้วยผลตอบแทนในระดับที่น่าพึงพอใจ และในภาวะปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นนับเป็นทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นกองทุนที่ตอบโจทย์การลงทุนดังกล่าว ที่ บลจ. ทิสโก้ แนะนำ คือ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ” (TISCO High Dividend Equity RMF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี SET High Dividend 30 Index เป็นหลัก เฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลืออาจลงทุนในตราสารทางการเงิน ตราสารแห่งหนี้อื่นๆ หรือเงินฝาก ซึ่งเป็นกองทุนที่เปิดซื้อขายทุกวันทำการ รวมถึงกองซีรีย์อย่าง “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส (TISCO Special Bonus Fund)” ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และ/หรือเงินฝากในประเทศและต่างประเทศ และจะมีการลงทุนในตราสารแห่งทุนในประเทศไม่เกิน 30% โดยในกรณีที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ กองทุนจะป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ซึ่งทิสโก้จะมีการเปิดเสนอขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุน และโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดี

“ทั้งสองกองทุนมีความโดดเด่นที่ต่างกัน โดย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ” เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการออมเงินระยะยาวเพื่อไว้ใช้หลังเกษียณอายุ และต้องการกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้น โดยมุ่งหวังผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือกำไรส่วนเกินทุนจากการลงทุน จึงเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์การลงทุนดังกล่าวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งผู้ลงทุนยังได้ประโยชน์ในการหักลดหย่อนภาษีอีกด้วย ขณะที่ กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่สูงนัก แต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อนั่นเอง และที่ผ่านมากองทุนดังกล่าวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี” นายสาห์รัช กล่าว โดยผู้สนใจกองทุนดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

-กภ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net