กรุงเทพฯ--24 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
เปิดใจ “คนสร้างยักษ์” เอ็กซ์ ชัยพร พานิชรุทติวงศ์แอนิเมเตอร์สายเลือดไทย ฝีมือระดับโลกผู้ร่วมสร้างบ้านอิทธิฤทธิ์ แหล่งผลิตฝัน ร่ายเวทมนตร์ให้กับภาพยนตร์
Q: ในแวดวงแอนิเมชั่นแล้วพี่เอ็กซ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการมานาน ในฐานะแอนิเมเตอร์ไทยผู้เคยคว้ารางวัลจากต่างประเทศมากมาย และยังทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักศึกษาเพื่อสร้างนักแอนิเมเตอร์รุ่นใหม่ๆ มาประดับวงการอีกด้วย อยากให้ช่วยเล่าถึงที่มาของการทำงานในเส้นทางสายแอนิเมชั่น ก่อนจะมาถึงการทำงานในเรื่องยักษ์สักนิด X: สวัสดีครับ ผมชัยพร พานิชรุทติวงศ์ ผมมีหน้าที่เป็นโคไดเร็คเตอร์ และก็เป็นแอนิเมชั่นไดเร็คเตอร์ รับผิดชอบทั้งหมดเกี่ยวกับแอนิเมชั่นของเรื่องยักษ์ครับ ครั้งแรกที่สนใจผมสนใจแอนิเมชั่น ก็คือหลังจากเรียนปริญญาตรีคณะมัณฑนศิลป์ ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมัยนั้นยังไม่มีวิชาแอนิเมชั่น พอเรียนจบผมก็ทำงานได้สักพัก แต่วันหนึ่งไปเห็นตัวอย่างหนังเรื่องเดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King) ก็ตกใจมาก ประทับใจมากรู้สึกทึ่งไปกับภาพที่เห็น วันรุ่งขึ้นไปลาออกเลยครับ (หัวเราะ) แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ก็ตอนนั้นวัยรุ่นหน่อย อยากไปเจอผู้กำกับที่ทำไลอ้อน คิง ก็ไปอเมริกาเลย ก็เป็นความฝันของเด็กๆ ครับ (หัวเราะ) ผมไปศึกษาต่อปริญญาโทด้านดิจิตอล อาร์ตที่ มหาวิทยาลัย โอเรกอน ตอนที่เรียนอยู่ผมก็ทำผลงานส่งประกวด Siggraph ซึ่งเป็นการประกวดผลงานแอนิเมชั่นประเภทนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยทั่วโลกครับ อันนี้ก็ได้รางวัลชนะเลิศมาและก็มีได้รางวัลแอนิเมชั่นโลก World Animation Celebration อีกด้วยครับ หลังจากกลับมาจากอเมริกา ก็มีบริษัทแอนิเมชั่นไทยติดต่อมาหลายบริษัทครับ หลังจากกลับมา ผมก็ทำงานสายนี้มาตลอดเกือบ 20 ปี แล้ว งานที่ทำก็มีไตเติ้ลของเวิร์คพอยท์เกือบทุกตัว งานสองมิติที่น่าจะพอคุ้นๆ กันก็เป็นกบ One-2 Call วันทูคอลที่ออกมาจากกะลา และงานด้านภาพยนตร์ก็เป็น CG SUPERVISOR ให้กับหนังมาประมาณสิบสามเรื่อง ล่าสุดก็มีตุ๊กกี้ เจ้าหญิงขายกบ, สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก, 30+ โสด ON SALE ครับ และหลังจากนั้นก็มาเปิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เพื่อทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ยักษ์” เป็นเรื่องแรกครับ”
Q: คิดว่าอะไรที่เป็นเสน่ห์ของแอนิเมชั่น ทั้งๆที่รู้ว่าการจะทำให้เสร็จสมบูรณ์เรื่องหนึ่งนั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ทุ่มเทสร้างจนเสร็จออกมาได้ X: เพราะมันเป็นศาสตร์ที่เราสามารถทำให้ตัวละครที่เราคิดนั้นเกิดชีวิต เคลื่อนไหวได้ขึ้นมาได้ และมันเป็นการรวมศาสตร์ทางศิลปะทั้งหมดเพื่อสร้างขึ้นมา หรืออีกอย่างหนึ่งคือใครๆ ก็สามารถเป็นผู้กำกับด้วยตัวเองได้ เหมือนเราสามารถใส่ตัวละครเข้าไปในแอนิเมชั่นโดยไม่ต้องกำหนดคนอื่น อย่างถ้าเรากำกับหนังคนแสดง เราจะต้องกำหนดคนให้เป็นอย่างที่เราต้องการ แต่แอนิเมชั่นเราใส่ความเป็นตัวเราเองลงไปในตัวละครที่เราออกแบบ จนทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ตัวการ์ตูนที่เรากำหนดเองมันจะน่าเกลียดหรือน่ารักก็เป็นตัวเราที่เราดีไซน์ขึ้นมาเอง เสน่ห์ของมันอยู่ที่เราสร้างโลกที่เรากำหนดเองได้ครับ
Q: หลังจากที่ไปเรียนและทำงานอยู่ต่างประเทศอยู่นาน รู้จักพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ จนมาทำงานร่วมกันได้อย่างไร X: ครั้งแรกที่รู้จักพี่จิกผมรู้จักผ่านผลงานของพี่จิกเขาครับ ผมเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาบ้าง แต่ผมไปอยู่ต่างประเทศนานเหมือนกัน พอกลับมาเสร็จปุ๊บ มีคนชวนว่าเดี๋ยวคุณจิก-ประภาสจะมาคุยด้วย ยอมรับว่าผมไม่เคยเห็นหน้าพี่จิกเลย รู้แค่ว่าเขาเป็นนักคิดนักเขียน ไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหาร เวิร์คพอยท์ ก็เลยไม่เกร็งตอนคุย (หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นข้อโชคดีของผม พอไม่เกร็งผมก็เล่าเรื่องการ์ตูนไปเรื่อยๆ และก็คุยกันเรื่องทำแอนิเมชั่น พอคุยเสร็จเพื่อนๆ ก็ชื่นชมตื่นเต้นกันมากว่าจะได้ทำงานกับพี่จิก ผมก็เลยลองหาหนังสือเขามาอ่านเรื่องแรกรู้สึกจะเป็นเชือกกล้วยมัดต้นกล้วย ต่อไปก็เริ่มคุยเกี่ยวกับการทำแอนิเมชั่นกับพี่จิก ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียดีมาก และโชคดีว่าลายเส้นการ์ตูนของผมไปตรงใจพี่จิกพอดีครับ
Q: พอทราบไหมว่าพี่จิกถูกใจลายเส้นของเราตรงไหน และทำไมถึงทำงานเข้ากันได้ดี X: เราได้เริ่มคุยกันก็เพราะ ผมวาดภาพประกอบให้กับพี่จิกในหนังสือหลายๆ เรื่อง ตั้งแต่ เรื่อง สุธี, แม่เภา อภินิหารพระดิน, นิทานล้านบรรทัด, มังกรไฟไม่เรียนหนังสือ และพอเริ่มร่างแบบคาแร็คเตอร์เรื่องยักษ์ พี่จิกก็พูดขึ้นมาว่า ตัวคาแร็คเตอร์เอ็กซ์เหมือนใครนะ ก็นึกกันขึ้นมาได้ว่าน่าจะเป็นคุณอา รงค์ (ณรงค์ ประภาสะโนบล) อารงค์ก็คือคนที่เขียนทาร์ซานกับเจ้าจุ่น ในหนังสือ ชัยพฤกษ์การ์ตูน แต่ชอบวาดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กละ จังหวะการเขียนหรือบางอย่างจึงใกล้กันมาก น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ได้มาแบบไม่รู้ตัว บวกกับผมเขียนการ์ตูนอเมริกาด้วยแต่ก็ชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมันจึงออกมาผสมผสานกัน แต่หลักๆ พี่จิกบอกว่าอารมณ์ชัยพฤกษ์ซึ่งพี่จิกเองก็ชอบการ์ตูนของอารงค์เช่นกัน เราจึงเข้ากันได้ดีครับ
Q: คิดว่าอะไรเสน่ห์ลายมือหรือเอกลักษณ์ของพี่เอ็กซ์ X: มันน่าจะอยู่ที่ตัวละครของผมมักจะเป็นตัวละครที่ไม่สมบูรณ์ พี่จิกว่าเป็นตัวละครป่วย (หัวเราะ) มันเป็นการ์ตูนที่ไม่ค่อยสมประกอบผมชอบตรงนั้น ชอบความไม่สมดุล อย่างแขนเล็กขาเล็กต่างกัน ตาห่าง ถ้าดูจริงๆ นะคาแร็คเตอร์ที่ผมชอบออกแบบ ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นมันจะเป็นหมารองบ่อน แต่สำหรับของผม ผมทำให้มันเป็นพระเอก ทำให้มันพิเศษขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องยักษ์มีตัวละครกุมภกรรณที่ถูกใจพี่จิกมาก เพราะเป็นตัวละครที่แขนใหญ่มากขาเล็ก ขาเสียเดินไม่ค่อยดี เป็นคนไม่ปกติ และอีกเรื่องหนึ่งคือผมเป็นคนชอบวางโครงสีของภาพรวมทั้งหมดครับ ผมจะวางโครงสีว่าในเรื่องนี้ ใช้สีไหนดี วางสีสันลงไปในแต่ละจุด จุดเด่นของผมอีกอย่างคือการวางโครงสีครับ
Q: เรื่องยักษ์นี้เรียกได้ว่าเป็นผลงานเปิดตัว “บ้านอิทธิฤทธิ์” อยากให้ช่วยเล่าหน่อยว่า กำเนิดบริษัทบ้านอิทธิฤทธิ์ เป็นมาอย่างไร X: บ้านอิทธิฤทธิ์เกิดขึ้นมาได้เพราะพี่จิก ประภาส ครับ มันเริ่มจากพี่จิกอยากทำหนังแอนิเมชั่น ผมกับพี่จิกเคยคุยกันมาก่อนเพราะว่าแกชอบสไตล์อาร์ตกับแอนิเมชั่นของผม ก็เลยคุยกันว่าเราจะมาเปิดบริษัทกันที่ทำการ์ตูนกันดีไหม ตอนแรกชื่อบริษัท ชื่อว่า “ฤๅษี” จากนั้นก็คุยกันเรื่องยักษ์ ก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรไทยๆ มี หนุมาน มียักษ์ อีกอย่างผมรู้สึกว่าแอนิเมชั่นหรือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ มันทำขึ้นมาเพื่อให้คนเชื่อจากสิ่งที่ไม่มีมาก่อน มันเหมือนเป็นเวทมนต์ เป็นอิทธิฤทธิ์ ก็เลยได้ชื่อว่า “บ้านอิทธิฤทธิ์” แรกๆ บ้านอิทธิฤทธิ์ยังไม่เป็นที่รู้จัก ลูกค้าก็แซวว่าขี่ม้ามาหรือป่าวเพราะเป็นบ้านอิทธิฤทธิ์ (หัวเราะ) ตอนนี้บ้านอิทธิฤทธิ์ก็เกิดได้ประมาณแปด เก้าปีแล้วครับ การทำงานหลักๆ ของบ้านอิทธิฤทธิ์คือทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องยักษ์ครับ แต่ในช่วงที่ยักษ์กำลังมีการพัฒนาบทหรือพัฒนาคาแร็คเตอร์ ก็จะมีงานโฆษณา งานสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ติดต่อเข้ามา แต่บ้านอิทธิฤทธิ์จริงๆ สร้างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นโดยเฉพาะ และเรื่องแรกก็คือเรื่องยักษ์นี่แหละครับ
Q: ช่วยเล่าที่มาของเรื่องยักษ์สักนิด ทำไมถึงมาลงตัวที่เรื่องนี้ได้ X: ที่มาที่ไปของยักษ์มันมาจากหุ่นยนต์ที่พี่ออกแบบให้เวิร์คพอยท์นานมากแล้วถ้าจำได้จะเป็นตอนจบของรายการเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่งที่เดินมาแล้วแปลงแขนเป็นอาวุธสงคราม มันเอากองขยะมาประกอบจนเขียนคำว่าเวิร์คพอยท์ ตอนจบปุ๊บ พอพี่จิกก็เห็นตัวนี้เขาก็พูดว่าเออมันน่ารักดีนะ เอ็กซ์อยากทำหนังหุ่นยนต์ไหม หุ่นยนต์สงครามอะไรที่มันสนุกเล่าไปมามันก็เป็นรามเกียรติ์ รามเกียรติ์ทำไงให้เป็นหุ่นยนต์หรือว่ารามเกียรติ์มันมีหลายภาคมีตั้งนับล้านภาค ญี่ปุ่นก็มี จีนก็มี เราก็รู้สึกว่ารามเกียรติ์มันมีตายเกิดตายเกิดเป็นล้านๆ ถ้าตายแล้วเกิดใหม่แล้วเป็นหุ่นยนต์ก็น่าจะดีนะและเราก็เลยเอาตรงนั้นมา และตัวที่หุ่นยนต์สังเกตว่าหุ่นยนต์หุ่นกระป๋องส่วนใหญ่ในเรื่องจะเป็นล้อเดียวเหมือนไตเติ้ลเวิร์คพอยท์ตอนจบตอนนั้นนะครับ ตัวหุ่นที่เป็นตัวนักสู้หรือตัวที่มันเป็นวรรณะสูงขึ้นมาเนี้ยจะเดินได้สองขา เราดีไซน์ก่อนหนังเรื่องโรบ็อท Robots (2005) อีกนะครับ แต่พอโรบ็อทออกมาปุ๊บเราก็ต้องเดินหน้าต่อ เพราะว่าเราทำไปแล้ว และเรามานั่งคุยกันว่าถ้าเกิดเป็นปลาทำสัตว์ใต้ทะเลก็เหมือนกับไฟดิ้ง นีโม (Finding Nemo -2003) ทำสัตว์ป่าก็เหมือนมาดากัสการ์(Madagascar -2005) ทำการ์ตูนสัตว์น่ารักก็เหมือน กังฟู แพนด้า ( Kung Fu Panda -2008) และเราทำหุ่นยนต์เนี้ยคนก็ว่าเหมือนโรบ็อท แต่จริงๆ เราทำขั้นตอน Pre – Production ไปปีหนึ่งแล้วครับ เราก็เลยเดินหน้าต่อเพราะว่ามันก็ไม่เหมือน เนื้อเรื่องเราก็ไม่ได้คล้ายกันเลยครับ
Q: ตอนแรกที่รู้ว่าพี่จิกอยากทำรามเกียรติ์รู้สึกยังไง แล้วส่วนตัวรู้สึกยังไงกับรามเกียรติ์ X: ผมรู้สึกว่าคงไม่ใช่ทศกัณฐ์ที่มีกล้ามน่ะ (หัวเราะ) เพราะว่าผมเคยทำภาพประกอบให้พี่จิก ผมรู้ว่าพี่จิกจะไม่ออกอะไรที่เป็นกล้ามๆ ดุดันเป็นคนจริง มันจะไม่ใช่สไตล์พี่จิก พอมาคุยว่าเป็นหุ่นกระป๋องสู้กับทศกัณฐ์ มันก็น่าจะสนุกขึ้น แต่ครั้งแรกพี่จิกพูดพี่ก็รู้แล้วว่าไม่น่าจะใช่รามเกียรติ์ที่ดุดัน ไม่ใช่เป็นกล้ามเนื้อไม่ใช่คน ผมรู้สึกว่าตื่นเต้นกับไอเดียนี้นะครับโดยเฉพาะกับตัวหนุมาน เพราะมีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่างๆ ยืดหางยาวพันภูเขาได้ผม รู้สึกว่าหนุมานมีเสน่ห์ ทศกัณฐ์ก็มีเสน่ห์ แต่ถ้าเกิดผมทำแอนิเมชั่นผมก็จะไม่ไปอิงกับเรื่องราวต้นฉบับมาก ผมคิดว่ามันจะไม่สนุกถ้าอิงเยอะๆ ชนิดถ้าเป็นทศกัณฐ์ก็ต้องเป็นตัวใหญ่มีกล้ามๆ อะไรอย่างนี้ แต่ผมจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวเสมอ ผมมองเห็นมันเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลย
Q: ยากไหมกับการแปลงรามเกียรติ์มาเป็นแอนิเมชั่น X: ยากครับ ยากเพราะว่ามันต้องมาอิงกับบทเดิม คาแร็คเตอร์เดิมบ้างนิดหน่อย แล้วบทที่เรามาเขียนใหม่เนี่ยเราสร้างมาจากศูนย์เลย เราต้องดีไซน์ฉากจะเป็นอย่างไร ยักษ์จะเป็นยังไง พี่จิกก็ถามเหมือนกันว่าเอ็กซ์เห็นฉากหินที่ลากไปเหลี่ยมหรือคมหรือกลม ผมก็ต้องบอกว่าต้องเป็นหินเหลี่ยมเพราะตอนที่เห็นมือยักษ์ที่ถูกลากไปกับหินเหลี่ยมเวลา หินมันจะคมจะบาดเหล็กด้วยมันจะดูสะเทือนใจขึ้น แล้วผมจะไปออกแบบให้พี่จิกเห็นด้วยว่าสภาพของหินผาที่พูดถึงมันเป็นยังไง รายละเอียดมากครับ (หัวเราะ)
Q: พอรู้โจทย์แล้วคิดไหมว่าจะเป็นงานที่ต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องนานถึงหกปี X: ปกติแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจะใช้เวลาประมาณนี้อยู่แล้วครับ เพราะว่าหนังอย่าง Brave ของ Pixar ก็ใช้เวลาประมาณนี้ ห้าถึงจ็ดปี เพราะว่ามันเป็นแอนิเมชั่น ดูของฝรั่งส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ตกใจเลยนะเตรียมใจแล้วมากกว่า หนังแอนิเมชั่น 2D บางเรื่องใช้เวลานานถึงสิบปีก็มี แต่ผมไม่ได้กังวลนะเพราะว่ามันเป็นหุ่นยนต์ ทิศทางในการทำเรามีชัดเจนอยู่แล้ว หกปีนี้ก็จะมีช่วงที่ต้องพัฒนาเรื่องต่างๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งเรื่องเครื่องมืออุปกรณ์ ,แอนิเมเตอร์ที่จะรับมาทำก็ต้องมาทดลองงานกันก่อนว่าทำไว้ได้อย่างที่เราวางแผนไว้หรือไม่ และก็ทำบทด้วยทำควบคู่กันไป กว่าจะเรียนรู้ระบบที่ทำให้มันเร็วขึ้นหรือให้มันตอบโจทย์กับบทที่เขียนมาลงตัวก็ใช้เวลาประมาณสามปี ค่อยๆ พัฒนากันไป
Q: เรื่องราวของเรื่อง “ยักษ์” นั้นบอกเล่าถึงอะไรบ้าง X: คุยกันเริ่มแรกเป็นเรื่องรามเกียรติ์ครับ แต่เราไม่ทำรามเกียรติ์ เราจะไปทำหุ่นยนต์ที่มีกลิ่นไอเป็นรามเกียรติ์ มันเป็นเรื่องราวของมิตรภาพหลังจากที่ทศกัณฑ์กับหนุมานสู้กัน ทั้งสองสู้กันในสงครามยิ่งใหญ่และก็เกิดระเบิดขึ้น จากรามที่ยิงศรลงมาเพื่อนฆ่าทศกัณฑ์ ทำให้ทุกอย่างหายเกลี้ยง ยกเว้นหนุมานกับทศกัณฐ์ พอเวลาผ่านไปทั้งสองตื่นขึ้นมาทั้งสองคนนี้จำไม่ได้เลยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร แต่ตอนที่สู้กัน โซ่ของหนุมานไปปักที่ทศกัณฑ์ และเนื้อเหล็กของทั้งสองนั้นเป็นเหล็กสงคราม เหล็กพิเศษที่ไม่สามารถที่จะตัดได้ ทำให้ทั้งสองต้องตัวติดกันโดยมีโซ่เชื่อมโยงไว้อยู่ไปไหนไม่ได้ต้องไปด้วยกัน ทั้งสองเลยออกเดินทางหาวิธีที่จะตัดโซ่แยกออกจากกันให้ได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนขึ้นมา แต่ในระหว่างที่เดินไปเนี้ยหนุมานดันจำความได้ครับ ว่าตัวเองเป็นทหารเอกของรามและก็รู้หน้าที่ว่าต้องเอาทศกัณฐ์ไปฆ่าไปที่ลานประหารที่รามกำหนดไว้แล้ว เพื่อที่จะให้จบสงครามอันนี้ไป ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดคำถามแล้วว่าจะเลือกอย่างไหนระหว่าง มิตรภาพหรือหน้าที่
Q: ช่วยเล่าขั้นตอนการทำงานของการสร้าง “ยักษ์”สักหน่อยว่ากว่าจะออกมาเสร็จสมบูรณ์จะต้องมีวิธีการสร้างอย่างไรบ้าง X: ขั้นตอนการผลิตนี้ให้จินตนาการว่าแอนิเมชั่นทรีดีก็เหมือนหุ่นดินน้ำมันปั้นน่ะครับ และก็เริ่มสเก็ตดินสอก่อน จากนั้นก็เป็นการขึ้นโมเดล ต่อด้วยการใส่แกนกระดูก ซึ่งเรียกว่า Rigging ขั้นตอนนี้คือการทำให้แกนกระดูกลิงค์กับตัวโมเดล เพื่อให้โมเดลสามารถขยับได้ จากนั้นก็ลงสีที่โมเดลใส่รายละเอียดเสร็จทุกตัว เราก็เอาตัวนี้ไปวางในฉาก เพิ่มฝุ่น เพิ่มบรรยากาศเรียกว่าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กซ์ พูดง่ายๆ ว่ามันก็เหมือนหุ่นปั้น แต่ปั้นด้วยคอมพิวเตอร์ทุกอย่าง จากนั้นเราก็พากย์เสียงมา พอพากย์เสียงมาปุ๊บเราก็ให้แอนิเมเตอร์มา ขยับปากตัวละครตามเสียงคนพากย์และเราก็เอาหุ่นตัวนี้ไปเล่นในฉาก ซึ่งขั้นตอนการพากย์นี้ เราถ่ายวีดีโอนักแสดงที่มาพากย์ไว้เพื่อให้แอนิเมเตอร์ได้ดูอารมณ์ของตัวละครเป็นไกด์ไว้ให้ก่อน ดูอารมณ์เสร็จมันเป็นหน้าที่ของแอนิเมเตอร์ที่จะนำมาทำให้เกิดการเคลื่อนไหว อย่างเช่น เราจะมีภาพของพี่หนุ่มสันติสุข ที่พี่จิกบอกว่าไหนลองเล่นเป็นทศกัณฐ์ที่น่ากลัวซิ สายตาของพี่หนุ่มจะเปลี่ยนไปเลย พอพี่หนุ่มลองกลับมาเป็นทศกัณฑ์แบบเอ๋อๆ ที่ลืมว่าตัวเองเป็นใครความจะเสื่อม การเล่นของพี่หนุ่มก็จะกลายเป็นคนเอ๋อๆ เราก็จะบันทึกการแสดงของผู้พากย์ให้แอนิเมเตอร์ดูเป็นต้นแบบครับ แต่สุดท้ายแอนิเมเตอร์กำหนดคาแร็คตอร์เองครับว่าจะให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกเป็นอย่างไร ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแอนิเมชั่นครับ เพราะหน้าที่ของผู้กำกับ ผมกับพี่จิกจะมาคอยดูว่าการเคลื่อนไหวมันควรจะเป็นอย่างไรเช่น เวลาเอ๋อมันควรจะยกมือแบบนี้หรือเปล่า มันควรจะหลังงุ้มไหม เป็นหน้าที่ของการกำกับอีกทีหนึ่ง
Q: จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือการได้นักแสดงมืออาชีพมาเป็นต้นแบบตัวละครต่างๆ ช่วยเล่าถึงการทำงานขั้นตอนนี้สักนิด X: ในเรื่องนี้ผมกับพี่จิกจะทำงานกันแบบประสานงานกันตลอดกันครับโดยผมเป็นคนออกแบบคาแร็คเตอร์มาก่อน ส่วนพี่จิกจะหานักแสดงมาให้เข้ากับตัวละคร จากนั้นก็จะมาปรับให้สมบูรณ์ขึ้นเพิ่มเติมจุดเด่นของดาราแต่ละคนมาใส่ต่อ อย่างเช่นตัวหนุมาน ผมออกแบบเป็นหุ่นกระป๋องก่อนเพื่อที่จะให้พี่จิกดู พอเราได้เสนาหอยมาปุ๊บ ก็รู้สึกเอ๊ะมันใกล้เคียงกับเสนาหอยมาก แต่รู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป ก็เลยออกแบบเพิ่มเติม เราจะเห็นว่าเสาไฟบนหัวของหนุมานจะหักๆ เหมือนทรงผมของพี่หอยเลย อย่างพี่เหมี่ยวที่เป็นนกสดายุพี่ก็จะออกแบบง่ายที่สุดเลย ออกแบบมาใกล้ๆ กับพี่เหมี่ยวคือผิวดำนิดๆ (หัวเราะ) ผมก็เป็นทรงม้าก็คือตรงกับพี่เหมี่ยวพอไปให้พี่จิกดูตรงใจพอดี แต่ตัวที่ออกแบบยากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือหนุมานนั่นเอง เพราะหนุมานตอนที่เราออกแบบมาครั้งแรกนี้ยไม่มีความเป็นฮีโร่ ผมก็เลยเอาแบบหัวโขนหนุมาน ลองมาใส่ดูและปรับหน้าให้ดูหักหน้าดูคมขึ้น บวกกับผมหยิกๆ ของ เสนาหอย ทำให้หนุมานแตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น มีความเป็นฮีโร่เพิ่มขึ้น ส่วนตัวเขียวก็ออกแบบไม่ยากเท่าไร เพราะว่าราชายักษ์ตัวต้องใหญ่ ผมออกแบบขาเขาเล็กเพื่อที่จะให้เขาดูตัวใหญ่ขึ้น เวลาเขาเงยหน้าขึ้นมา เขาดูเป็นราชายักษ์ แต่พอก้มมาปุ๊บเขาก็เหมือนคนอ้วนๆ น่ารักๆ ได้
Q: คาแร็คเตอร์ของเรื่องยักษ์เป็นอย่างไรบ้างและแต่ละตัวมีวิธีการออกแบบมาอย่างไร X: ตัวทศกัณฑ์เขาเป็นจอมราชายักษ์มาก่อน หลังจากนั้นเกิดความจำเสื่อมก็จะกลายเป็นเอ๋อๆ ตัวละครนี้ผมออกแบบให้ช่วงบนใหญ่ และขาเล็ก เวลาเขาเป็นทศกัณฑ์ก็จะดูผงาด ดูยิ่งใหญ่ แต่เป็นน้าเขียวก็จะแสดงออกแบบหลังค่อม หงอๆ งอตัว ดังนั้นมันก็จะเป็นทั้งตัวเอ๋อได้ด้วย ตัวน่ากลัวก็ได้ ผมออกแบบยักษ์รวมๆ มาจากหลายอย่างครับ หน้าท้องจะออกแบบมาจากท้องแมลงครับ เป็นปล้องๆ ข้อดีคือ มันสามารถงอแล้วโมเดลไม่ทับกัน หนุมานออกแบบยากสุด แก้หลายรอบ ตอนแรกออกแบบมาแล้วมันไม่มีความเป็นฮีโร่ เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี พอดีว่าพี่จิกก็เอาเสียงพากย์ของเสนาหอยมา ปุ๊บลงตัวเลย เลยเอาทรงผมที่เสนาหอยที่เป็นทรงเดดร็อคมาทำให้แตกต่างจากหุ่นยนต์ตัวอื่น เพราะว่าหุ่นยนต์พวกนี้ทั้งโลกจะถูกบังคับด้วยรามและก็มันจะมีเสาเดียว หนุมานจะแปลกกว่าคนอื่นคือมีสามเขาหักลงมาข้างหนึ่ง ส่วนคิ้วตอนแรกไม่ใช่เป็นคิ้วตัดปกติแต่ดูแล้วไม่เป็นฮีโร่เลย ผมเลยลองหยิบลายจากหัวโขนหนุมานมาลองดัดแปลงดู เป็นกึ่งๆ ลายไทยนิดๆ เหมือนเป็นเหล็กที่โดนตัดออกมาเป็นลายไทย เออมันได้แฮะ เพราะมีความเป็นฮีโร่ เวลาโกรธหรือเวลาสู้จริงๆ เวลาที่ต้องแสดงอารมณ์จริงๆ มีคิ้วทีมันหักๆ อย่างนี้มันจะเพิ่มอารมณ์ให้ได้มากกว่า คิ้วตัวนี้ออกแบบยากสุดครับ น้องสนิมตัวนี้ออกแบบเป็นตัวการ์ตูนที่น่ารัก แต่ไม่มีเพื่อนและก็ขี้แพ้นิดๆ ครับ ออกแบบหลายรอบเหมือนกัน ตอนแรกไม่มีปานที่หน้า แต่พอไม่มีมันดูเป็นปกติเกินไป เลยเพิ่มปานขึ้นมา เพราะสนิมมันกินตัวเองนิดหน่อย มีขี้มูกนิดๆ เป็นคราบเพราะว่าชอบจาม ตัวสนิมออกแบบยากเหมือนกัน เพราะว่าหุ่นยนต์ที่เป็นผู้หญิงด้วยน่ารักด้วยทำยาก ก็เลยมากำหนดด้วยตา ด้วยโครง ด้วยสีให้มันสีเบาลงมานิดนึงเป็นชมพูส้ม ถ้าชมพูเกินไปก็หวานไปจะดูไม่สู้ชีวิตก็เลยใส่สีส้มให้หมดเลย สนิมเป็นเด็กที่จามแล้วอะไรที่เป็นเหล็กโดนจามใส่จะเป็นสนิมทันที แต่ถ้าจามโดนเหล็กสงครามอย่างยักษ์จะไม่เป็นสนิมซึ่งก็มีส่วนสำคัญกับเรื่องด้วยต้องไปลองดูครับ กุมภกรรณ เป็นหุ่นยนต์ยักษ์ หุ่นตัวนี้ทำอาชีพปาหี่ขายของ ที่แขนมันจะมีวิทยุคาสเซ็ทเทปอยู่ครับ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เห็นหรือเปล่า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นของเก่า มันจะใส่เทปและก็ฟังเพลงของมันตลอดเหมือนคนไม่ปกติ ชอบสะสมอาวุธ เป็นคนศรัทธาทศกัณฐ์มาก ถึงขั้นสักรูปทศกัณฐ์ที่หน้าอก เหมือนเราชื่นชมใครเราก็สักยันต์เลย แต่รอยสักของโลกหุ่นยนต์ จะไม่เหมือนกับของคนสักของหุ่นจะเอาเหล็กมาแล้วก็ยิงตะปูติด ตัวกุมภกรรณข้างหลังจะสักยันต์เก้ายอดด้วยเป็นลายเลขเก้าเหมือนคนที่สักยันต์ทั้งตัว ผมตั้งใจใส่กลิ่นอายความเป็นไทยลงไปด้วย แต่ที่ไม่ทำรอยสักลงไปในเหล็กเลยเพราะมันจะดูน่ากลัวไป กุมภกรรณออกแบบง่ายหน่อย เพราะออกแบบไม่ได้อิงดารา ผมกับพี่จิกมีความคิดตรงกันว่าคาเร็คเตอร์กุมภกรรณต้องเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พูดแล้วน้ำลายจะไหล พี่ก็เลยออกแบบให้น็อตที่กรามปากมันหลุดอันหนึ่ง มันจะหลุดแล้วมันก็ดูดน้ำลายมันขึ้นมา แขนขามันก็ไม่เท่ากัน ใหญ่ข้างเล็กข้างข้าง แต่ออกมามันก็น่ารักดีนะ (หัวเราะ) นกสดายุ เราออกแบบไว้แต่แรกว่าตัวนกสดายุต้องเป็นนกดำ และหาคนพากย์ผิวสีคล้ำที่เป็นสีดำเพราะวางโครงสร้างสีทั้งหมดไว้ มีครบทุกสีแล้ว ทศกัณฑ์สีเขียว หนุมานสีม่วง กุมภกรรณสีแดงน้องสนิมเป็นสีส้มชมพู ขาดอีกสีเลยใช้สีดำ และพอได้พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) มาตรงเป๊ะพอดี ผมเลยออกแบบทรงผมเป็นหน้าม้านิดๆ ผมว่าออกแบบอันนี้ง่ายสุดแล้ว นกสดายุ ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือมาจากสงครามครั้งก่อนยังไม่ตายกลับถูกขายต่อๆ มาอยู่ที่ยุคนี้ เป็นอาวุธสงครามของรักของหวงที่กุมภกรรณสะสมไว้ มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งก็คือจะเป็นหุ่นมีใบพัดบินได้ แต่ต้องไขลาน ไขลานปุ๊บก็จะขยับได้ บินได้ ถ้าเกิดลานหมดก็จะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นซึ้งเมื่อเวลามันถูกจำกัดด้วยการไขลาน ก็ช่วยให้หนังตื่นเต้นขึ้น ซึ่งจุดรายละเอียดต่างๆ ในเรื่องนี้ออกแบบเพื่อรองรับเนื้อเรื่องไว้ตั้งแต่แรกครับ ก๊อก ตัวนี้ออกแบบไม่ยากมากครับเพราะว่าคาแร็คเตอร์ชัดเจนว่าต้องเป็นพ่อค้าที่ขายของเก่ง พูดมาก มีเล่ห์เหลี่ยม การออกแบบของผมจะเน้นไปที่ดวงตาโตๆ ลึกๆ แขนขาเล็กๆ ลีบๆ ดูเป็นคนขายของ และพอได้คุณแจ๊ป เดอะ ริชแมนทอย เข้ามาพากย์เสียงผมก็ใช้ลักษณะโครงหน้าของเขาเข้าไปรวมด้วย หัวของตัวนี้จะแปลกจากตัวอื่นตรงที่มีหัวที่เรียวยาวยื่นไปด้านหลัง ให้มีจุดเด่นและที่พิเศษกว่าตัวละครอื่นก็คือ ตัวนี้จะเป็นหุ่นตัวเดียวที่มีไฝ เพราะผมเอามาจากโหวงเฮ้งของคนที่พูดเก่ง ก็เลยเติมไฝไปแถวๆ ปาก และเจ้าก๊อกก็จะชอบเปลี่ยนอะไหล่ไฝของเขาชอบเอาตัวหุ่นแมลงมาติดเป็นไฝ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนขี้งกครับ นักไต่เขา ตัวนี้เป็นตัวละครพิเศษครับ ตัวนี้ เราได้พี่โน้ส อุดม แต้พานิช มาพากย์ ตอนแรกผมออกแบบมาก่อน โดยมีไกด์มาก่อนว่าอยากได้แบบไหน และพอเอามาลองเทียบแล้วยิ่งเหมือนคุณโน้สเลย ต้องลองไปติดตามดูครับว่าเหมือนยังไง
Q: ความยากง่ายของการออกแบบคาแร็คเตอร์ X: ตอนแรกพี่ออกแบบหนุมานตัวเล็กเกินไป ยักษ์ตัวใหญ่มาก เพราะผมเข้าใจว่ายักษ์มันต้องตัวใหญ่ ตอนนี้มันวางกล้องไม่ได้เพราะพอไปจับหนุมานปุ๊บไม่เห็นยักษ์เลย เพราะว่าผมดีไซน์หนุมานไม่ถึงหัวเข่า มันเลยโต้ตอบกันไม่ได้กล้องมันต้องผ่านหลังยักษ์อย่างเดียวเพื่อมาหนุมาน ผมต้องเลยขยายขึ้นมาให้มันใกล้ๆ กันหน่อย อันนี้มันเลยกลายเป็นข้อปัญหาจากที่เราไม่รู้มาก่อน คาแร็คเตอร์หาเสียงยากสุดคือยักษ์ เพราะว่ายักษ์ต้องมีทั้งความน่ากลัว เสียงต้องใหญ่ แต่พอติงต๊องก็ต้องเสียงน่าสงสารด้วย หามาหลายคนมากจนในที่สุดมาเจอพี่หนุ่ม พอพากย์เสร็จพี่จิกเรียกเข้ามาดู พี่จิกว่าใช่พี่ก็ว่าใช่ ทำให้ใส่การเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ช่วงแรกเสียงยังไม่ลงตัว แอนิเมเตอร์ก็ทำการเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะอารมณ์มันไม่ได้ จังหวะการพูดถ้าช้าหรือเร็วกว่านี้จะทำยาก เพราะว่าถ้าเกิดช้ากว่านี้ปุ๊บ แอนิเมเตอร์เขาเรียกว่ามันจะย้วย ภาพมันจะช้า ดังนั้นจังหวะการพูดการให้อารมณ์ของดารานี่สำคัญกับแอนิเมเตอร์เหมือนกัน เพราะว่าเราทำงานตามเสียงพากย์ครับ
Q: แสดงว่าเสียงพากย์มีความสำคัญมากกับเรื่องนี้ X: มีความสำคัญมากครับ ตอนที่ทำก็แอนิเมเตอร์ก็จะเริ่มเข้าใจล่ะ ตอนทำซีนแรกๆ จะยาก พอซีนหลังๆ แอนิเมเตอร์จะเริ่มอินกับความสัมพันธ์ของตัวละครจริงๆ เพราะว่าตอนพากย์พี่จิกให้ดารามาพากย์ด้วยกันเลย โต้ตอบกันจริงๆ แล้วพอมันออกมาปุ๊บแอนิเมเตอร์เริ่มจะเข้าใจในความสัมพันธ์ ว่าเขาโกรธกันจริงๆ เขางอนกันจริงๆ จะทำแอนิเมชั่นได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
Q: นอกจากตัวละครหลักแล้ว ยังมีตัวละครอื่นอีกไหม X: จริงๆ แล้วคาแร็คเตอร์ทั้งหมดไม่ได้มีแค่ห้าตัวนะครับ มีอีกเป็นพันตัวเลย มีทั้งที่เป็นหุ่นยนต์ที่เหลือจากสงครามหุ่นที่น่ารักๆ เป็นชาวเมืองต่างๆ ก็มี ผมจะดีไซน์มาแยกออกมาอีกที หุ่นประชาชนทั่วไปในเรื่องมักจะมีล้อเดียว สองล้อก็จะมีฐานะขึ้นมาหน่อยสามารถจะซื้ออะไหล่มา ถ้าตัวไหนดีมากๆ มีเงินเยอะก็สามารถเปลี่ยนเป็นสองขาได้ แต่สองขาไม่ใหญ่ ในเรื่องจะมีฉากที่เล่าว่ามีการขุดเจอราชายักษ์และเอามาขายชาวเมืองก็ตื่นเต้นกันใหญ่เพราะว่าเหล็กดีมาก แต่ทุกตัวที่มาก็อยากจะเอาอะไหล่มาเปลี่ยนให้ตัวเองครับเราก็ต้องดีไซน์มาเยอะ และเวลาที่ตัวละครเดินทางไปแต่ละเมืองเราก็จะเห็นดีไซน์ของหุ่นที่ไม่เหมือนกัน เมืองแต่ละเมืองก็จะมีสัญลักษณ์บาอย่างง เช่นเมืองที่เป็นเชียงกง เมืองนี้ก็จะเป็นเมืองที่เป็นสนิมๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ และก็พอเข้าไปโรงไฟฟ้าก็จะเป็นอีกเมืองหนึ่งก็จะเป็นอีกสีหนึ่ง ตรงนี้ก็จะใช้เวลานานอยู่ มีออกแบบไว้ ประมาณเกือบพันตัว ครับ ก็มีเอามาใช้สลับๆ กัน
Q: อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ที่ไม่แพ้ตัวละครเลยก็คือฉาก และบรรยากาศในเรื่อง ในโลกหุ่นยนต์ของเรื่อง “ยักษ์” นี้มีฉากไหนเป็นฉากเด่นน่าสนใจบ้าง X: ในเรื่องนี้มีฉากเยอะครับ ฉากที่ใช้เวลาทำนานที่สุดจะเป็นฉากมหาสงครามครับ ที่ใช้เวลานานเพราะว่ามันเป็นฉากแรกและเราเริ่มลองทดลองการทำครั้งแรก ใช้เวลาประมาณครึ่งปีสำหรับฉากแค่สี่นาทีนะครับ ในฉากนี้เราจะเห็นหุ่นยนต์เยอะมาก มีการสร้างพวกสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์มากมายเพราะเป็นฉากโชว์ด้วย เรนเดอร์นาน เพราะว่ามันจะมีทั้งหินแตก ทั้งฝุ่น แสง ฉากนี้เราสร้างเพราะว่าต้องการให้เห็นความโหดร้ายของสงครามก่อนที่จะให้เห็นว่าสงครามมันไม่ดียังไงนะครับ เราก็เลยดีไซน์มาให้มันมีสีสันความเป็นสีส้ม สีแดง สีอะไรที่มันเป็นสงครามและก็มีการสูญสิ้นทั้งหมดเพราะว่าสงคราม และหลังจากนั้นมาหากันว่าเรามาหยุดสงครามกันยังไงในอนาคตในเรื่องครับ ฉากต่อไปคือฉากเชียงกง เป็นตลาดที่ใช้ขายอะไหล่ให้หุ่นยนต์ตัวอื่นได้มาซื้อเปลี่ยน ฉากนี้ผมได้ไอเดียมาจากตลาดจริงๆ จากตลาดเซียงกงที่ขายพวกอะไหล่รถยนต์ เครื่องยนต์ต่างๆ ในบ้านเรา โดยผมออกแบบเริ่มจากท้องฟ้า สีของบรรยากาศ จะให้ความรู้สึกตอนเช้าๆ ที่เรากำลังจะไปตักบาตร พื้นดินด้านใต้เซียงกงนั้นจะ เต็มไปด้วยเศษเหล็ก หลังจากที่เกิดการระเบิดจากสงครามครั้งใหญ่ดินก็จะทับถมพวกซากต่างๆ ไว้ ทำให้มีอาชีพขุดของเก่าขาย ตอนเราสร้างฉากนี้ เราก็ต้องสร้างดินหรือหินคลุมเหล็กอยู่ข้างล่าง มันก็จะสร้างยากนิดนึงเพราะว่าในดินเราจะซ่อนเหล็กไว้ด้วย เวลาลากหุ่นยักษ์ขึ้นมาจากดินก็ต้องมีเศษเหล็กติดขึ้นมาทำให้เกิดความซับซ้อนในการสร้าง และเนื่องจากการเป็นตลาดก็ต้องมีตัวละครเยอะ ฉากนี้จะมีตัวละครสมทบเยอะมากเลยครับ ต่อไปเป็นฉากที่เรียกว่าฉากยักษ์ตื่นครับ ในเรื่องฉากนี้พอราชายักษ์ตื่นขึ้นหลังจากที่หลับมานานมันก็จะเกิดความสับสน อลหม่าน เพราะมันทำลายเมืองแบบไม่ตั้งใจ ชาวเมืองก็เลยโกรธและออกไล่ล่า เป็นฉากที่สนุกสนานและ น่ารักครับเพราะตัวยักษ์จะดูเอ๋อๆ ฉากนี้ก็สร้างกันนานครับ เพราะเราเริ่มสร้างจากทุกอย่างเป็นศูนย์ มีทั้งตึกรามบ้านช่องมากมาย และตัวละครชาวเมืองเยอะไปหมด ที่ต้องใช้เวลาเพราะต้องใส่การเคลื่อนไหวให้ตัวละครทุกตัว ให้มันวิ่งตามๆ กัน มีการแสดงอารมณ์ที่สีหน้าไปด้วย และฉากนี้มันมีการเคลื่อนไหวฉากหลังมันก็เลยต้องเปลี่ยนไป เลยจะยากกว่าฉากที่อยู่นิ่งๆ แล้วตัดฉากไป ฉากปาหี่ของกุมภกรรณ ฉากนี้เป็นฉากเปิดตัวของกุมภกรรณกับน้องสนิม เป็นการเล่าเรื่องแบบละครเวทีมิวสิคคัลฉากนี้ใช้เวลาทำนานเหมือนกัน เพราะมีหุ่นยนต์ที่ใช้หลายร้อยตัวมาดูการแสดงปาหี่ การจัดแสงต่างๆ ได้ไอเดียมาจากงานคอนเสิร์ตครับ แต่ฉากนี้ใช้เวลาจัดแสง จัดไฟ ค่อนข้างยากเพราว่ากุมภกรรณเป็นสีแดง แต่แสงเป็นสีเขียวและมันเป็นสีที่ตัดกัน ใช้เวลาจัดนานกว่าจะลงตัวสวยงาม ต้องใส่ใจเรื่องการจับคู่สีกับอารมณ์ของภาพ บางภาพเราจัดไปปุ๊บมันมืดไปเด็กไม่น่าจะชอบเราก็จะเพิ่มไฟให้สว่างขึ้นมาอีก ส่วนเรื่องการใส่การเคลื่อนไหวของฉากนี้ต้องดูเสียงเพลงประกอบด้วยครับเพราะเป็นฉากมิวสิคคัลเลยต้องทำให้เข้ากับเพลง ยากตรงที่เราต้องทำให้หุ่นเหล็กให้ดูเป็นทั้งการ์ตูนด้วยเป็นทั้งเหมือนจริงด้วย แต่การที่มีเพลงเข้ามานั้นเป็นผลดีเลยครับ ถ้าเกิดมันมีเพลงเข้ามาอยู่ในฉากนั้นมันจะทำให้ แอนิเมเตอร์รู้อารมณ์ของเรื่อง และก็การเคลื่อนไหวของปากที่ถูกเพลงกำหนดไว้ได้ง่ายขึ้น มันจะง่ายขึ้นจากการพากย์ธรรมดา แต่มันยากตรงที่ว่าถ้ามันถูกเพลงกำหนดไว้แล้วการเคลื่อนไหวมันจะเร็วหรือช้าเนี้ย แอนิเมเตอร์จะต้องเรียนรู้กันเองด้วย และผมจะไปช่วยดูอีกทีหนึ่ง ฉากฟาร์มแม่เหล็ก ฉากนี้ใช้การออกแบบง่ายๆ ครับ ถ้าพูดถึงฟาร์มแล้ว ในความคิดแรกของหลายคนมันต้องเป็นฉากใหญ่ ตอนแรกฟาร์มแม่เหล็กที่เราจินตนาการมันต้องมีเครื่องปั่นไฟฟ้าเยอะมาก แต่ทีนี้ผมลองมาเปลี่ยนการออกแบบให้มันน้อยลง ผมก็เลยใช้เป็นแม่เหล็กเกือกม้าครับ เป็นแม่เหล็กอันใหญ่ๆ อันเดียวเลยก็สื่อความหมายได้แล้ว แม่เหล็กนี้ไว้ใช้เปลี่ยนเหล็กให้กลายเป็นแม่เหล็ก และใช้ผลิตกระแสไฟไฟฟ้าให้กับเมืองหุ่นยนต์ เมื่อหุ่นยนต์ที่เข้าใกล้แม่เหล็กก็จะถูกดูดเข้าไป ฉากนี้เป็นฉากที่น่าตื่นเต้นน่ารอชมอีกฉาก ฉากตัดโซ่ ในเรื่องนี้จะเห็นสถานการณ์ที่เผือกและเขียวพยายามจะตัดโซ่ออกจากกันหลายครั้งคนดูจะได้สนุกไปกับสถานการณ์หลากหลายที่ทำให้ตัวละครทั้งสองเป็นฮีโร่เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบไม่ได้ตั้งใจ และสร้างความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปตลอดการเดินทาง แต่เบื้องหลังการสร้างนั้นยากเหมือนกันครับเพราะมันเปลี่ยนฉากเยอะ ฉากไหนที่มันเกิดการเปลี่ยนฉากเร็วมันจะส่งผลทั้งการขึ้นโมเดลของเมือง ฉากนี้มีประมาณหกถึงเจ็ดฉากมันเลยต้องเปลี่ยนเร็ว ใช้เวลาในหนึ่งฉากแค่ไม่ถึงหนึ่งนาที แต่ใช้แรงในการทำงานในการสร้างฉากเยอะ ฉากหนึ่งใช้เวลาเฉลี่ยแล้วประมาณ 4-6เดือน บางฉากก็ปีหนึ่งก็มีครับ
Q: คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้อยู่ที่ไหน และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้มีความน่าใจกว่าหนังแอนิเมชั่นทั่วไป X: เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ไม่เหมือนใครน่าจะอยู่ที่บท เป็นสิ่งแรกที่ผมอยากทำเลย ทางทีมงานของเราชอบบทก่อนเลยมันเลยทำงานกันแบบรู้ทิศทาง และบทที่พี่จิกเขียน มันแข็งแรงพอที่จะมาทำการ์ตูน แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้มันออกมาสมบูรณ์มากขึ้น แล้วคาแร็คเตอร์ที่ผมนำไปให้พี่จิกดูมันเข้ากันได้พอดี มันรองรับกัน ผมเลยรู้สึกว่าอาร์ตไดเร็คชั่นมันตรงกับบท เราก็เลยเริ่มมาสร้างดีไซน์สร้างโมเดล เราก็ใช้อาร์ตไดเร็คชั่นพวกความเป็นไทย พวกบรรยากาศท้องฟ้าอารมณ์ของการใส่บาตรตอนเช้าผมเอาอันนี้ใส่ไปด้วย อาจจะไม่มีลายไทยจ๋านะ เราใส่ความเป็นไทยอย่าง เช่น รอยสักยันต์ของหุ่นยนต์แต่ละตัว บางตัวถ้าสังเกตให้ดีมีเสือเผ่นด้วย ตัวเสือเผ่นนี้พี่จิกมาพากย์ด้วย (หัวเราะ) เรื่องแสงสีเราก็ศึกษาเอาความเป็นสากลกับความเป็นไทยมาผสมกัน โปรเจ็คนี้มันเปิดโอกาสให้ผมทำอะไรที่มันไม่ปกติ มันไม่ปกติคือมันไม่ใช่การ์ตูนตาใส มันไม่ใช่การ์ตูนที่มันดิสนีย์ทั่วไปอ่ะ หรือที่เราเคยเห็นว่าการ์ตูนมันต้องน่ารัก จริงๆ การ์ตูนเราก็น่ารัก แต่เป็นแบบไม่ปกติแบบป่วยๆ นิด (หัวเราะ) ไอ้ตัวที่มันไม่น่าเป็นพระเอกมันเป็นพระเอกได้ นอกจากนี้พี่ว่าองค์ประกอบภาพของเรื่องนี้มันจะเปิด Space (พื้นที่) ให้คนดูหายใจได้ อย่างฉากที่ตัวละครหลักมันเดินแล้วมีโซ่ติดกันอยู่จะเห็นพื้นที่เป็นท้องฟ้ากว้างๆ หรือ ฉากหลังเป็นทะเลทราย ผมจะออกแบบวางองค์ประกอบกึ่งๆ สไตล์ญี่ปุ่นบวกกับทางอเมริกานิดๆ แต่ก็ไม่ได้ไปด้านไหนด้านหนึ่งเป็นกลิ่นอายมามากกว่า และผมว่า เรื่องนี้มันไม่ใช่การ์ตูนนะ มันเป็นหนัง เหมือนอย่างหนังคนแสดงนี่แหละ ผมเคยคุยกับพี่จิกนะว่าการ์ตูนเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนคน มันเป็นการ์ตูนคนแสดง เราจะทำการเคลื่อนไหวอิงจากคนจริงๆ ครับ หมายถึงการเคลื่อนไหวมันจะเป็นตามจริง เช่น ยักษ์วิ่ง-เดินก็เดินหนักๆ ช้าๆ จริงๆ ยักษ์เศร้าก็เศร้าจริงๆ มันจะเป็นงานที่ไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กมาก เราจะไม่ให้การเคลื่อนไหวดูเป็นการ์ตูนเกินไป แต่ถ้าอันไหนเป็นฉากสนุกๆ เราจะทำการเป็นเคลื่อนไหวเป็นแบบการ์ตูนไว้บ้างเช่นฉากร้องเพลง แต่อะไรที่แสดงอารมณ์เยอะๆ จะให้ผมจะให้แอนิเมเตอร์อิงจากจากการเคลื่อนไหวของคนพากย์ให้ใกล้เคียงที่สุดครับ ถึงจะเป็นหุ่นแต่เราต้องทำคนเชื่อก่อนว่าตัวนี้มันไม่ใช่แค่แอนิเมชั่นนะ มันเป็นหุ่นที่มีชีวิตจริงๆ มีการเคลื่อนไหวแบบคนจริงๆ มีอารมณ์มีความรู้สึกต่างๆ มีโกรธกัน มีงอนกัน มีสู้กัน มีความเจ็บปวด เป็นหนังที่จะเล่าถึงความรู้สึกของเพื่อนเน้นความสัมพันธ์ อารมณ์สูงมาก
Q: บ้านอิทธิฤทธ์ มีทีมงานกี่คน และคนทำงานยังไงบ้าง X: บ้านอิทธิฤทธิ์ก็มีทีมงานประมาณสามสิบกว่าคนนิดๆ และรวมแม่บ้านแล้วด้วย (หัวเราะ) งานหลักของเราคือเราทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นครับ และโปรเจ็คแรกก็เรื่องยักษ์ครับ แต่ตอนนี้เรากำลังร่างโปรเจ็คใหม่อยู่ ซึ่งระหว่างเรากำลังพัฒนาบทของหนังแอนิเมชั่น เราก็จะรับทำงานโฆษณาที่เป็น CG บ้าง เพื่อหาเงินมาจะทำความฝันของพวกเรา (หัวเราะ) เราอยากทำหนังใหญ่ เราก็ต้องเอารายได้จากหลายๆ ทางมาทำให้โปรเจ็คที่สองของเราเกิดขึ้นด้วยตอนนี้ ทีมงานของเราราเรียกว่าน้อยมากถ้าเทียบกับเมืองนอกครับ แต่ศักยภาพของบ้านอิทธิฤทธิ์ไม้แพ้กันเพราะเราทำงานแบบสับเปลี่ยนได้ ผมรู้ว่าทีมงานคนไหนมีศักยภาพด้านไหนบ้าง สมมุติว่าคนนี้สร้างโมเดลเสร็จปุ๊บ คนนี้ผมรู้ว่าสามารถจะใส่ลิงค์กระดูกให้แอนิเมเตอร์ได้ ก็จะสับเปลี่ยนเขามาช่วยทำงานตรงนี้ต่อ และเอาคนอื่นมาสลับงานแทนกันได้ สามสิบคนนี้สามารถจะทำหนังใหญ่ได้เรื่องหนึ่ง ผลงานเราไม่แพ้ต่างชาตินะ แต่คนเราน้อยกว่า แต่เราใช้ความสามารถทางศิลปะช่วยด้วย ซึ่งผมว่ามันทำได้นะโดยที่คนไม่ต้องเยอะ
Q: หนังจากหนังแอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ออกฉาย มีเตรียมผลงานถัดไป บ้างแล้วรึยัง X: ตอนนี้เราก็กำลังทำผลงานเรื่องที่สองอยู่ครับ กำลังอยู่ในขั้นตอนออกแบบคาแร็คเตอร์กันอยู่ หลังจากที่เราทำยักษ์เราก็จะเรียนรู้ประสบการณ์มาพัฒนากับหนังเรื่องต่อไปครับ แอนิเมชั่นที่กำลังจะทำขึ้นก็เป็นบทจากพี่จิก ประภาส เช่นเดิมครับ แต่เราจะทำด้วยเทคโนโลยีสูงขึ้น อะไรที่เคยทำไม่ได้เมื่อ หกปีที่แล้วตอนนี้เราก็ทำได้แล้ว ทั้งเรื่องเทคโนโลยีและก็บุคลากรก็จะมีพัฒนาขึ้นด้วย เพราะเราก็มีประสบการณ์กันมาแล้วครับ
Q: เรื่องยักษ์นี่ ขึ้นชื่อกันมากว่าได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ มากมาย สิ่งที่ได้จากการทำงานเรื่องนี้คิดว่าเป็นอะไรบ้าง X: สิ่งที่ผมได้จากการทำหนังเรื่องนี้ก็คือได้ร่วมงานกับคนเก่งๆมากมาย อย่างเช่น พี่จิกเขามีฝีมือการเขียนบท และการแก้ปัญหาที่แม่นยำมากครับ เรื่องนักพากย์ก็เยี่ยม ถ้าคนพากย์ พากย์เสียงแบบไม่ได้อารมณ์ เราก็จะทำแอนิเมชั่นไม่ได้ขนาดนี้ ทั้งคนแต่งเพลงทำเพลง ฝ่ายประสานงาน ทุกๆ ฝ่ายเลย มันทำให้ผมทำงานดีขึ้นด้วยและโตขึ้นด้วย การทำงานกับคนเก่งๆ มันทำให้ตัวเราพัฒนาขึ้นเยอะและเร็วมากด้วย ผมก็ซึมซับการเรียนรู้ไปด้วยว่าการทำงานอันนี้เราไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน เราก็ศึกษามาจากคนนี้ คนที่มีศักยภาพบางอย่างมารวมกัน โดยที่เราไม่ต้องใช้เงินทุนเยอะหรือสูงมากถ้าเกิดคนเก่งๆ มาทำงานกัน คือเราจะประหยัดทั้งเงินและเวลาด้วย และเราจะได้เรียนรู้ด้วย คือทุกส่วนเลยคนไม่เท่าฝรั่งแน่ๆ แต่คนเก่งๆ มารวมกันเนี่ย แต่ละคนเก่งในสายแต่ละสาย ทำให้งานมันเร็วขึ้น และงานมันตรงที่เราคิดเยอะขึ้น ทำให้บ้านอิทธิฤทธิ์ทำงานง่ายขึ้นด้วย
Q: หนังได้ไปฉายโชว์ ที่เมืองคานส์ และไปโปรโมทตามประเทศต่างๆ มาแล้วหลายครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้างที่หนังได้รับการยอมรับจากต่างชาติ X: ผมก็ดีใจครับที่คุณภาพของหนังของเราฝรั่งเขายอมรับ คุณภาพมันสูงพอที่ออกต่างประเทศได้ ตอนไปฉายโชว์ที่ญี่ปุ่นก็มีคนมาคุยด้วย ไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นนักเขียนการ์ตูนดังเลย เขาบอกว่าอยากจะมาร่วมงานด้วย อยากทำงานด้วย เขาชอบการเคลื่อนไหวของตัวยักษ์ เขาก็พูดภาษาญี่ปุ่นว่าเห็นเราทำดี เห็นแล้วมีไฟกลับไปเขียนการ์ตูนต่อด้วย เราก็ปลื้มครับ
Q: คำนิยามของคำว่า “ยักษ์” ของพี่เอ็กซ์หมายถึงอะไร X: หากผมคิดถึงยักษ์ จะคิดถึงยักษ์ที่ตัวใหญ่ๆ มีบารมีสูงๆ มีอำนาจ แอบคิดว่าบุคลิกของผมใกล้กับตัวนี้เหมือนกันนะ (หัวเราะ) เพราะว่ามันจะมีความดุร้าย และก็อ่อนโยนด้วย จริงๆ ก็ใกล้ๆ กันกับตัวที่อยู่ในเรื่องนี้
Q: ยักษ์ตัวแรกที่รู้จัก เป็นยักษ์อะไร X: น่าจะเป็นทศกัณฐ์ครับเพราะส่วนหนึ่งเรียนด้วย แต่ทศกัณฐ์ของผมจะเป็นยักษ์ที่ตัวใหญ่มากใหญ่กว่าวรรณคดีครับ
Q: ในหนังเรื่องนี้มีประเด็นแกนหลัก เกี่ยวข้องกับมิตรภาพ หากอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง “มิครภาพและ หน้าที่” จะเลือกอย่างไร X: ผมเลือกทั้งสองอย่างได้ไหม (หัวเราะ)
Q: คิดว่าคนเราจะสามารถเปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม X: ได้ครับ ถ้าเราตัดทุกอย่าง เข้าไปคุยกับศัตรูดูบางทีอาจจะดีกว่าที่เราคิดก็ได้ เพราะว่าเราคิดกันเอง บางทีเราคิดว่าคนนี้เป็นศัตรูเพราะว่าอาจจะโหงวเฮ้งไม่ตรงกับเรา หรือว่าโหงวเฮ้งแบบนี้เคยทำร้ายเรามาก่อน (หัวเราะ) แต่ถ้าเข้าไปคุยมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดครับ
-นท-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit