กรุงเทพฯ--9 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
จุดกำเนิด “คน-โลก-จิต”
มันเริ่มจากที่เราได้จัดโครงการ Thailand Script Project ครั้งที่ 2 ที่ผมทำร่วมกับคุณเป็นเอก (รัตนเรือง) แล้วน้องภัทรา (พิทักษานนท์กุล) ที่เขียนบท “คน-โลก-จิต” เขาก็ส่งบทเข้ามา แล้วก็ได้รางวัลชนะเลิศ กรรมการหลาย 10 ท่านคัดเลือกมาแล้วก็ได้รางวัลสูงสุด แล้วผมเองก็ได้อ่านแล้วคิดว่ามันพัฒนาได้ เพราะมันมีความน่าสนใจมากอยู่ในตัวเรื่องราวของมัน
ในขณะเดียวกันผมเองก็ได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อที่มีอยู่ในเมืองไทย ผมรู้สึกว่าปัจจุบันเกิดคดีที่แปลกๆ เกิดขึ้นมากมาย มีคดีที่ตั้งแต่เด็กที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยพบ ผมรู้สึกว่าคนมีความโหดขึ้นเรื่อยๆ ในสภาพทางจิตใจหรืออาจจะเกิดจากสภาพทางสังคม เศรษฐกิจ ทางการเมืองทุกอย่าง ผมว่าบ้านเราอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด เพราะฉะนั้นผู้คนก็จะเครียดแล้วก็มีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นเท่าที่ประเมินดูจากตามข่าวตามสื่อต่างๆ ผมรู้สึกว่าคนปัจจุบันนี้ค่อนข้างที่จะมีการแสดงออกแปลกกับสิ่งที่เราเคยเจอนะครับ เป็นเรื่องระหว่างครอบครัวบ้าง เป็นเรื่องระหว่างชุมชนบ้าง เป็นเรื่องระหว่างสังคมเล็กๆ บ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อก่อนเวลาคนทะเลาะกันลุกขึ้นมาตีกันแค่นั้นก็จบ แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนโหดเหี้ยมขึ้น เอะอะมีการฆ่า เอะอะมีการทำร้ายกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่าหลังๆ เนี่ยคนเราเริ่มจะรู้สึกว่าเหมือน คือหนึ่งห่างไกลพระพุทธศาสนา สองขาดการยับยั้งชั่งใจ ก็เคยคิดเสมอว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ก็ได้ไปคุยกับคุณหมอทางจิตวิทยาแล้วก็อ่านหนังสือก็ได้พบว่า เหมือนกับว่าปัจจุบันนี้มันเกิดความวิปริตเกิดขึ้นในทั้งทางปฏิกิริยาเคมีในสมอง ในร่างกายของเราเอง บางคนไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร เกิดความเครียดเลยทำให้สมองของมนุษย์มันผิดและบิดเบี้ยว มันเพี้ยนไปจากปกติ ซึ่งปัจจุบันนี้มันเพี้ยนไปไกลมาก มันบิดไปไกลมาก คือคนมีการแสดงพฤติกรรมออกที่แปลกประหลาดมากแบบที่เราคิดไม่ถึงว่าคนจะทำได้ มีหลายๆ เรื่องเป็นแบบนั้น ก็เลยผนวกกันจากความสงสัยต่างๆ จากสื่อต่างๆ ที่ผมเคยได้รับบวกกับสคริปต์ที่ชนะเลิศเรื่องนี้บังเอิญมาเจอกันพอดี ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ราควรจะบอกควรจะแจ้ง เราควรจะเตือนให้คนไทยทั่วไปได้ทราบว่าเราเริ่มมีความผิดเพี้ยนทางจิต เพียงแต่ว่าใครจะสามารถควบคุมได้มากน้อยแค่ไหน คือหมายถึงความผิดเพี้ยน ความบิดเบี้ยวมันเพิ่มปริมาณมากขึ้นในตัวเรา แต่ว่าเราก็ต้องพยายามที่จะควบคุมมันให้ได้มากขึ้น มีสติมากขึ้น มีความคิดพิจารณากับทุกๆ เรื่องมากขึ้น นับหนึ่งถึงร้อยมากขึ้น เรื่องนี้ไอเดียก็จะเป็นการเตือน เป็นการเล่าให้ฟังว่าคนเรามีความผิดเพี้ยนไปมากแค่ไหน ไอเดียมันเริ่มมาจากบ้าน สังคมที่เรียกว่าครอบครัวนะครับ จนถึงสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ชั้นตั้งแต่ขนาดเล็กจนใหญ่ ก็ได้นำมาพัฒนาบทกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ สุดท้ายผมก็เขียนมาเป็นร่างสุดท้ายนี้
ใช้เวลาพัฒนาบทนานมากน้อยแค่ไหน
ต้องบอกตามตรงว่าผมชอบสคริปต์ที่ชนะเลิศนี้มาก เพียงแต่ว่าความซับซ้อนของเรื่องมันยังไม่มากพอนะครับ ผมก็เอาบทนั้นมาเป็นบรรทัดฐานหรือแม่แบบแล้วผมก็พัฒนาไป ศึกษา research ข้อมูลต่างๆ ทั้งหนังสือ จากผู้รู้ต่างๆ ที่เกี่ยวกับจิตวิทยานะครับ นำเอาความรู้เหล่านั้นหรือสิ่งที่ได้จากการ research เหล่านั้นมาใส่ไว้ในภาพยนตร์ค่อยๆ ใส่ไป ยิ่งใส่เข้าไปมันก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้น แล้วมันก็มีไอเดียเกิดขึ้นมากมายในระหว่างที่เราทำบท พอได้ไอเดียตรงนั้นมาปุ๊บ เออ...ปมนี้มันน่าสนใจ แก้กันสักยี่สิบครั้งได้มั้งกว่าจะลงตัวว่าเป็นบทนี้ เรื่องราวความสลับซับซ้อนของจิตใจของมนุษย์มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อเรื่องว่า “คน-โลก-จิต” มันเป็นเรื่องของคน เรื่องของโลกใบนี้ เรื่องของจิตใจ สามอันนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไร ในภาพยนตร์พยายามจะพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องของสามสิ่งนี้ซึ่งมันมาประกอบกันอยู่ในสังคมนี้นะครับ ยิ่งทำไปก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องยอมรับว่าระหว่างการถ่ายทำเราก็แก้บทไปด้วย เพราะว่าเราก็ไม่เคยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับคนที่สภาวะทางจิตใจที่มันผิดเพี้ยน เราก็ไม่ได้ไปอยู่กับเขาเป็นประจำหรือพบเห็นเขาประจำ เพียงแต่ว่ามันเริ่มมีความละเอียดอ่อน พอนักแสดงมาอ่านบทเสร็จแล้วก็สวมบทบาทนั้นๆ บางคนมันมีบางอย่างที่เรานึกไม่ถึง พอเราเห็นอย่างนั้นเราก็ปรับแต่ไม่ใช่เปลี่ยนบทนะครับ คือปรับบทให้เข้ากับตัวของนักแสดง หรือเราเห็นแง่มุมบางอันที่มันสนุกกว่าถ้าสามารถจะบิดไอ้เรื่องราวเหล่านั้นให้มันผิดเพี้ยนลงไปอีกหน่อย เราก็เติมเข้าไปตลอดระหว่างถ่ายทำด้วยครับ สนุกมากครับ
จากวันที่ตัดสินประกวดมาจนถึงการพัฒนาบทใช้เวลาถึง 1 ปีเลยครับ เพราะมันต้องการข้อมูลน่ะครับ เพราะเรื่องเกี่ยวกับสภาวะทางจิตของมนุษย์มันมีความซับซ้อนอยู่มาก มันพริ้วไหวได้ตลอดเวลา มันไม่นิ่ง ทุกอย่างมีผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกเสมอ มันเลยต้องไปค้นคว้าข้อมูลต่างๆ ทั้งเรื่องยา เรื่องการรักษา ประเภทต่างๆของคนที่มีปัญหาทางด้านสมองหรือสภาวะทางจิตอะไรแบบนี้นะครับ เลยต้องใช้เวลารีเสิร์ชนาน ต้องอ้างอิงถึงความเป็นจริงได้ คนต้องเชื่อถือเราได้ เราอยากทำหนังเรื่องนี้ให้มันเป็นเรียลิสติกจริงๆ เพื่อที่จะได้ให้ประโยชน์กับคนดูว่าสภาวะทางจิตมันเกิดจากอะไรได้บ้าง วิธีการแก้ไขมันควรจะเป็นยังไง
เรื่องราวของ “คน-โลก-จิต”
เล่าง่ายๆ เลยคือ มันเกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญขึ้นในกรุงเทพฯ นี่นะฮะ ก็เป็นเหมือนข่าวที่เราเคยดู เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันนำพาตัวละคร 4 ตัว เข้ามาเจอกัน มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วต่างคนก็มีปมที่บิดเบี้ยวทางใจ เนื่องจากทางครอบครัวบ้าง สภาวะทางสังคมบ้าง ทางการงานบ้าง ที่มันเกิดความเครียด ความเพี้ยน อาจจะเห็นภาพหลอน ซึ่งต่างๆ เหล่านี้เราได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งนั้น 4 คนนี้ก็มารวมตัวกันแล้วพยายามช่วยกันหาทางแก้ไขสภาวะการของแต่ละคนๆ ให้มันคลี่คลายออกไปทั้งทางดีและร้าย บางคนมันไม่แน่นอน จากสถิติจากข้อมูลจากบันทึกคดีที่เคยมี มันอาจจะแก้ไขไปในทางที่ดีได้ หรือบางรายยิ่งแก้ไขก็ยิ่งอาจถลำลึกลงไปอีกได้ เรื่องนี้ก็จะบอกทั้งสองทางครับ
ก็จะเป็นตัวอย่างของความบิดเบี้ยวของผู้คนที่อยู่ในเมืองหลวงหรือทั่วประเทศจริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ว่าในเรื่องนี้จะพูดถึงเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ เพราะว่าในกรุงเทพฯ ความเครียดมันเยอะ การแข่งขันของทุกอย่างมันสูงมาก คนสามารถที่จะหลุดหรือสามารถที่จะ uncontrol ความรู้สึกของหัวใจหรือสมองของเราเนี่ยมีโอกาสที่จะหลุดจากตรงนั้นได้ง่ายกว่า ผมก็เลยถือเอากรุงเทพฯ เป็นตัวอย่างของการแสดงความบิดเบี้ยวผ่านตัวละครทั้งสี่คนในภาพยนตร์เรื่องนี้นะครับ จริงๆ แล้วในสี่คนนี้ทุกคนก็มีความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวในความรู้สึกของตัวเองกันทุกๆ คน แต่ว่าแต่ละคนก็แตกต่างกันไปจากทางบ้านบ้าง จากทางสังคมบ้าง จากทางสิ่งแวดล้อมบ้าง ก็นำเสนอให้รู้สึกถึงว่าคนเราถ้าไม่สามารถควบคุมความรู้สึกหรือความคิดให้ดี อะไรที่มากระทบกับความรู้สึกเราเราต้องป้องกันให้ดีนะ ถ้าเราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เราก็จะหลุดออกไปได้ ในขณะเดียวกันบางครั้งเราก็ไม่รู้ตัวนะครับว่าเราได้ทำพฤติกรรมบิดเบี้ยวแบบนั้นใส่คนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัว “คน-โลก-จิต” ก็เหมือนตัวอย่างที่เราแสดงให้เห็นว่าในโลกเรามันเกิดอะไรขึ้นบ้างแล้วคุณควรจะระวังอย่างไรครับ จริงๆ แล้วหนังเรื่อง “คน-โลก-จิต” มันเป็นเรื่องของความรู้สึก มีแต่การแสดงออกบิดเบี้ยวของสมองและจิตใจ แล้วความบิดเบี้ยวมันก็ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ทั้งปัญหาครอบครัวอย่างที่เกริ่นไปแล้ว จนกระทั่งถึงปัญหาเรื่องส่วนตัวแล้วก็ขยายไปใหญ่ขึ้น โดยมีคดีฆาตกรรมเป็นจุดที่ทำให้ทุกคนมาเจอกัน การสืบสวนคดีความ การที่ทุกคนพยายามเข้ามาช่วยเหลือกัน แต่ความสัมพันธ์กันของตัวละครแต่ละตัวมันซับซ้อนมากกว่านั้น คดีความการสืบสวนมันทำให้ทุกคนมาเจอกัน แต่หลังจากนั้นการที่ทุกคนได้เจอกันแล้วมันทำให้ทุกคนได้ค้นพบตัวเองขึ้นเรื่อยๆ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันเติบโตมา สิ่งที่เป็นอยู่ ชีวิตที่ดำเนินไปอยู่ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า หรือการใช้ชีวิตของแต่ละคนมันไปกระทบ มีผลกระทบต่อใครบ้าง มันก็เหมือนคนในสังคม ผมรู้สึกว่าในประเทศเราเองทุกๆ อย่างมันเหมือน connect กันหมด ใครจะทำอะไรอย่างหนึ่งมันส่งผลให้คนอื่นเสมอๆ นะครับ เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่ภาพยนตร์จะพูดถึงก็คือว่า ก่อนที่เราจะลงมือทำอะไร ลงมือพูดอะไรขอให้เราตั้งสติดีๆ เพราะว่าหลายๆ ครั้งที่เราทำหรือพูดอะไรลงไปโดยไม่ตั้งใจ มันส่งผลกระทบถึงคนไม่ใช่แค่คนเดียว มันส่งผลเป็นโดมิโน่กระทบไปถึงสังคมและประเทศได้
ผมรู้สึกว่าความน่าสนใจมันอยู่ที่ตัวละครแต่ละตัวมันดำเนินชีวิตไปอย่างไร มีความสลับซับซ้อนทางความคิดและจิตใจอย่างไร หนังเรื่องนี้เป็นการนั่งเฝ้ามองตัวละครทั้งสี่ตัว ซึ่งผมจะให้ตัวละครทั้งสี่ตัวเป็นตัวแทนของคนในเมืองหลวงหรือในประเทศไทยนี้ครับ
ไซโคทริลเลอร์เป็นอีกแนวที่ท้าทายในการกำกับ
ใช่ครับ แนวนี้ไม่เคยกำกับเลยครับ คือขณะที่รู้สึกกับเรื่องราวความผิดเพี้ยนของมนุษย์ประจวบกับได้สคริปต์ที่ชนะมา ก็รู้สึกดีใจมากเลยว่าเราได้พบทางอีกทางของเราแล้ว มันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยเล่าแล้วก็ไม่เคยไปทำหนังประเภทนี้นะครับ เมื่อมีโอกาสได้ทำก็รู้สึกดีใจมากว่าเราได้ทำอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้คิดภาษาภาพใหม่ๆ อีกแล้ว เราได้ค้นหาวิธีการเล่าหนังใหม่ๆ อีกแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสนุกเวลาทำหนัง เวลาที่ได้เจออะไรใหม่ๆ แบบนี้
การเตรียมตัวในการกำกับแนวใหม่ๆ ในเรื่องนี้
สำหรับผมก็อย่างที่บอกครับ ก็ต้องหาข้อมูลมากมาย และสำคัญที่สุดเลยเราต้องเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังจะทำ ถ้าเราไม่เข้าใจซะแล้ว เราก็ไม่อาจอธิบายสิ่งที่ต้องการถ่ายทอดให้กับตัวละครได้เมื่อมีคำถามเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการเขียนคาแร็คเตอร์ตัวละครแต่ละตัวออกมา มันต้องเกิดจากการเอาเคสต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับคนๆ นี้ หรือบางทีก็เอา 4-5 เคสมารวมให้คาแร็คเตอร์คนนี้ไป เพราะฉะนั้นการที่เราจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ เราต้องอาศัยความเข้าใจ การรีเสิร์ช การสอบถามคนที่เขารู้หรือประสบกับเหตุการณ์อย่างนี้ การเตรียมตัวก็เลยจะต้องทำทุกอย่างให้พร้อมที่จะตอบตำถามตัวเองเวลาที่เราต้องการดีไซน์ช็อตต่างๆ ของหนัง ดีไซน์ภาพ ดีไซน์เฟรม เฟรมนี้มันจะบอกอะไร มันจะพูดถึงอะไร หรือกระทั่งสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เอามาใช้ในหนัง มันก็ต้องเกิดจากกระบวนการเข้าใจก่อน รู้ว่าภาพในหัวของคนๆ นี้จะออกมาเป็นยังไง เขาจะเห็นเป็นแบบที่เขาคิด เพราะฉะนั้นเราต้องคิดแทนตัวละครทุกตัว และดีไซน์สัญลักษณ์ทุกตัวออกมาให้เข้ากับสิ่งที่เขาคิดอยู่มนหัวอย่างแท้จริง เพราะส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้จะไม่พูดออกมา ถ้าคนเหล่านี้เป็นคนที่พูดออกมา เขาจะไม่เป็น เขาจะไม่มีสภาวะอย่างนี้ เพราะเขาได้พูดคุย ได้ระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา แต่คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจากที่ผมรีเสิร์ชมามักจะไม่พูด จะเก็บไว้ข้างใน บางคนเก็บจนกระทั่งซ่อนมันไว้เลย ไม่พยายามคิดถึงมัน แล้วก็กดความรู้สึกอันนั้นเอาไว้ กดเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ แล้วก็ไม่พูดมันออกมา ไม่อธิบายให้ใครฟัง นั่นทำให้คนเหล่านั้นมีสภาวะหรือสภาพการณ์ทางจิตหรือทางประสาทที่มันบิดเพี้ยนไปได้
ระยะเวลาในการเตรียมงานสร้าง
พอดีเรื่องนี้เป็นหนังยุคปัจจุบัน ไม่ใช่หนังพีเรียดเก่าๆ เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้การทำงานพรีโปรดักชั่น (Pre-Production) มันไม่ค่อยยากมาก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การทำความเข้าใจกับบท กับคาแร็คเตอร์ของตัวละคร คือนอกจากเราจะเวิร์คช็อปนักแสดงแล้ว เราก็ยังต้องเวิร์คช็อปนักแสดงด้วย เราก็จะมีการอ่านบทกันทั้งทีมงาน 60 คน ทุกคนมานั่งด้วยกันและอ่านบทไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะทำความเข้าใจให้ตรงกัน ตรงไหนใครไม่เข้าใจก็จะต้องถามให้เข้าใจ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะอินเนอร์ อย่างเช่น กำลังเล่นหนัง นั่งอยู่เฉยๆ บางคนไม่เข้าใจว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วจะแสดงออกตรงนั้นยังไง ซึ่งจริงๆ การแสดงออก มันไม่จำเป็นต้องออกท่าทางอย่างเดียว แต่สภาพภายในจิตใจมันกดช้ำอยู่ในใจ บางทีมันไม่ได้แสดงออกมาข้างนอกให้ได้เห็นกัน เราเห็นบางคนปกตินั่งเหม่อลอยเฉยๆ เนี่ย เราก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่จริงๆ เขาอาจจะมีความทุกข์ หรืออาจจะมีความสุขอะไรก็ได้อยู่ในนั้น เพราะฉะนั้นผมอยากทำให้ทีมงานเข้าใจในเรื่องราว ในตัวละครเหล่านี้ไปด้วยว่าบางทีมันเป็นอินเนอร์ของนักแสดง มันไม่ได้ถูกแสดงออกมา
ซึ่งตรงจุดนี้มันช่วยให้การถ่ายทำลื่นไหลไปได้ง่ายขึ้น
ใช่เลยครับ เหมือนกับผมถ่ายหนังทุกๆ ครั้ง คือการถ่ายหนังบนโต๊ะ คือนั่งอยู่ด้วยกันแล้วก็พูดถึงปัญหาแต่ละฉากว่าฉากนี้เขาเข้าใจยังไง ทีมกล้องควรจะรับนักแสดงยังไง ไฟควรจะเป็นลักษณะยังไง แม้กระทั่งว่าวันนี้เราจะกินอะไรกันดี อย่ากินข้าวกะทินะ เดี๋ยวท้องจะอืด คือมันต้องคุยกันหมดครับ เราพยายามจะแก้ปัญหาในกองถ่ายที่คิดว่ามันอาจจะเกิดขึ้นได้ เราก็แก้ปัญหามันซะก่อน วันนี้จะเป็นแกงจืด วันนี้จะดำน้ำ มีถ่ายซีนใต้น้ำนะ เราก็ควรทานอาหารเบาๆ ควรจะทานน้ำเยอะๆ เด็กเสิร์ฟน้ำจะเสิร์ฟน้ำยังไง คือทุกอย่างเราจะคุยกัน จอดรถที่ไหน เปลี่ยนเสื้อผ้ายังไง ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ปัญหาที่เราคิดว่าจะเกิดขึ้นมันถูกแก้ไขไปแล้ว แล้วเราก็แค่ไปเผชิญปัญหาหน้าโลเกชั่น เช่น ฝนตก น้ำท่วม อะไรอย่างงี้ ปัญหาที่เราต้องแก้เฉพาะหน้า เราก็ตั้งปัญหาขึ้นมาบนโต๊ะว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราก็ช่วยกันแก้ไปครับ
การแคสติ้งนักแสดงหน้าใหม่
ตอนแรกก็คิดอยู่ในใจว่า โอ้โห บทเรื่องนี้มันต้องอาศัยการแสดงชั้นสูงนะครับ เพราะมันต้องเข้าใจในบทบาทตัวละครจริงๆ แต่ทีนี้พอมาคิดไปคิดมาแล้วเนี่ย การที่จะทำให้คนดูเชื่อว่านักแสดงที่คุ้นหน้าคนนั้นๆ มีสภาวะทางจิตแบบนั้นแบบนี้เนี่ย มันอาจจะยากกว่าเราปั้นนักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาให้เป็นตัวละครนั้นๆ ให้คนดูเชื่อถือได้มันอาจจะง่ายกว่า เพราะเขาไม่รู้จักตัวละครตัวนี้ แล้วถ้านักแสดงหน้าใหม่สามารถจะถ่ายทอดเรื่องราว บุคลิกภาพ คาแร็คเตอร์ของแต่ละตัว ปมปัญหา สภาวะทางจิตของแต่ละคนออกมาได้ ผมว่าคนดูจะเชื่อได้มากกว่า
คือผมรู้สึกว่าถ้าเราใช้นักแสดงที่คนรู้จักอยู่แล้ว มันอาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือของตัวละครแต่ละตัวมันลดลง ผมรู้สึกว่าถ้าจะเล่าเรื่องนี้ให้มันดูจริงจังขึ้น มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เราควรที่จะใช้คนที่ไม่มีใครรู้จักเลยดีไหม หรือรู้จักบ้างแต่ไม่มากนัก มีคาแร็คเตอร์หรือบุคลิกลักษณะที่สามารถเป็นได้ ไม่ใช่เขาไม่หล่อไม่สวย เวลาแคสติ้งเราจะนึกถึงภาวะบางอย่างที่เขาแสดงออกไป เขาอาจจะแสดงความรักที่อาจจะไม่เหมือนใคร เขามีวิธีของเขาแบบนี้ ซึ่งต่างจากคนปกติทั่วไปส่วนใหญ่ คนที่อาการการแสดงแบบนี้มีเป็นจำนวนน้อยในประเทศ เพราะฉะนั้นผมถึงอยากได้คนใหม่ๆ นักแสดงใหม่ๆ มาแสดงและก็พยายามที่จะสวมบทบาทเหล่านั้นให้สมจริงสมจังที่สุด
และที่สำคัญนักแสดงหน้าใหม่ก็จะมีเวลามากมายที่จะเวิร์คช็อป ที่จะซ้อมทำความเข้าใจกับตัวละคร กับบทบาทที่ได้รับต่างๆ เนี่ยมากพอ สำคัญอย่างยิ่งเราต้องเวิร์คช็อปในแง่ของวิชาชีพ ทุกคนต้องไปดูคนที่เขาทำอาชีพนี้จริงๆ ในแต่ละบทบาท ต้องไปดูว่าแต่ละคนคาแร็คเตอร์เป็นยังไง เขาจะต้องเป็นคนๆ นั้น เพราะฉะนั้นเขาจะต้องถ่ายทอดความเป็นคนๆ นั้นได้ ความเป็นนักจิตวิทยาทางบวกต้องเป็นยังไง การพูด การมองโลก การเข้าใจ จากการสะกดจิตตัวเองให้คิดบวกทำบวกทุกอย่างต้องทำยังไง มีคาแร็คเตอร์แบบไหน ยิ้มยังไง มันต้องศึกษาทุกๆ อย่าง
หรืออย่างตัวละครอีกตัวหนึ่งที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์แบบคุณหมอพรทิพย์ เขาก็จะต้องเรียนรู้การออกไปพิสูจน์หลักฐาน ไปพิสูจน์ศพต้องทำยังไง ต้องดูว่าเขาทำอะไรกันบ้าง แต่งตัว ทำผม เสื้อผ้ายังไง คือทั้งหมดเขาต้องเรียนรู้ ผมเชื่อว่านักแสดงใหม่เขามีเวลาให้เรามากพอ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะไปทำเวิร์คช็อปแบบนี้ก็จะมีสูง ถ้าเป็นนักแสดงปกติเขาก็อาจจะมีเวลาให้เราไม่พอที่จะทำอย่างนี้ เราก็ต้องไปทำการบ้านให้เขาเยอะ ผมว่ามันจะไม่เต็มที่เท่าอย่างนี้ แล้วการแคสติ้งนี่เราแคสจากคนเป็นร้อยๆ นะครับ การคัดเลือกแต่ละคนมามันต้องมีความเหมาะสมในบทบาทของแต่ละคนจริงๆ
คาแร็คเตอร์หลักในเรื่อง “คน-โลก-จิต”
คาแร็คเตอร์ของ “เขื่อน” รับบทโดย “น้องแบงค์” (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) จะเป็นนักจิตวิทยาที่ฉลาด แต่ในความฉลาดนั้นเขาแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในจิตใจของเขา มันมีความบิดเบี้ยวทางจิตใจมาตั้งแต่เด็กและโตขึ้นในอีกแบบหนึ่ง เขาพยายามจะหลีกหนีตัวเอง เขาก็ต้องสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อจะลบปมด้อยของตัวเอง อันนี้คือตัวเขื่อนที่เป็นอยู่ และน้องแบงค์เนี่ยเขาเป็นเด็กที่ใหม่มาก เขาหน้าตาดี หน้าตาหล่อ ซึ่งตรงนั้นเป็นจุดหนึ่งที่เราคิดว่าคนที่มีสภาพจิตใจที่ดี คิดบวกทำบวก เขาน่าจะมีบุคลิกภาพแบบนี้ หล่อ คมสัน ดูแลตัวเอง มีความเนี้ยบอยู่ในตัวเอง ที่สำคัญที่สุดคือเขาสามารถจะถ่ายทอดอารมณ์หลายๆ ด้านได้ ทั้งด้านการพูดการจาที่มั่นใจกับคนอื่น รอยยิ้มที่งดงามของเขา ขณะเดียวกันเขาสามารถถ่ายทอดอีกมุมหนึ่งของเขาออกมาได้ ผมรู้สึกคาแร็คเตอร์ของเขาแปลกกว่าคนอื่นที่แคสติ้งมา เขามีการแสดงออกที่แข็งๆ เหมือนเขาต่อต้านอะไรบางอย่างอยู่ ผมรู้สึกเสมอเวลาที่ผมคุยกับเขา เขาจะมีอาการเหมือนพยายามที่จะต่อต้าน มีบางสิ่งบางอย่างที่ต่อต้านอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา ด้วยการพูดที่แปลกๆ พูดแล้วเหมือนไม่ใช่คนปกติ แม้กระทั่งอาการที่เขาแสดงออก เช่น เวลาที่เราอยากให้เขาแสดงออกให้เราดูว่าไหนคุณรักแม่แค่ไหน แทนที่เขาจะบอกว่าแม่ดียังไง แต่เขานั่งเฉยๆ แล้วก็น้ำตาไหลออกมา ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมว่ามันแปลกออกไป แตกต่างออกไปจากคนทั่วไปที่เขาจะเป็น เขาไม่พูดถึงแม่เลย เขาหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงใครๆ แต่เหมือนทุกอย่างมันออกมาจากข้างในเขา มันเหมือนว่าเขามีอะไรอยู่ข้างใน อยู่ดีๆ เขาก็นั่งแล้วน้ำตาไหลแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ผมว่ามันมีความแปลกในตัวเขาซึ่งน่าสนใจ ซึ่งมันเป็นผลดีในแง่การแสดง มันไม่ปกติหรือปกติแต่ไม่เคยเห็นบ่อยๆ ในคนทั่วไป ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคาแร็คเตอร์ทั้งสี่คน มันทำให้หนังสมบูรณ์โดยตัวเอง
คาแร็คเตอร์ “เทียน” ที่รับบทโดย “น้องป๊อปปี้” (บุญยิสา จันทราราชัย) เป็นนิติวิทยาศาสตร์ คือหนึ่งคนที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์ เราสังเกตได้ว่าเกือบทุกคนจะมีคาแร็คเตอร์ของตัวเองชัดเจน ซึ่งตัวน้องป๊อปปี้เองเขาก็มีความเป็นผู้ชายสูง ซึ่งเราต้องการมาต่อกรกับนักจิตวิทยาได้ แล้วก็มีความมั่นใจมาก แล้วก็ไม่ค่อยอ่อนหวานนุ่มนิ่ม แต่กลับมาดมั่นแข็งแรง เชื่อมั่นในตัวเอง อันนี้คือบุคลิกภาพที่เราวางไว้เลย แล้วพอเราได้น้องป๊อปปี้มา แล้วเรามาทำแคสติ้งก็ใช่เลย ตรงกับสิ่งที่เราอยากได้เลย มันมีฉากที่ต้องถกเถียงด้วยวาจากับผู้ชาย เขาก็เอาอยู่ และทำให้เราเชื่อได้ ก็อย่างที่บอกนะครับ เขาก็มีภาวะบางอย่างอยู่ลึกๆ ในจิตใจของเขา เขาก็เลยมีความเป็นผู้ชายสูง
น้องป๊อปปี้เป็นผู้หญิงที่ไม่เหมือนผู้หญิง เขามีคาแร็คเตอร์ที่ขัดแย้งกับหน้าสวยๆ หวานๆ ของเขา โดยตัวเขาเองจะมีวิธีการแสดงออกที่มีความแข็งอยู่ในตัว เหมือนทุกอย่างมันเก้งก้าง มันไม่ลงตัวไปซะหมดในตัวเขา ทั้งที่ดูรวมๆ ถ้าเราเห็นน้องป๊อปปี้นั่งอยู่เฉยๆ หรือเดินมาแล้วผ่านเราไปถือว่า เขาเป็นผู้หญิงที่สวยคนหนึ่ง พอได้คุยกับเขาแล้วได้รับรู้วิธีการคิดของเขาโดยการสัมภาษณ์ การพูดคุยกับเขาจะรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้มีความแข็งๆ อยู่ในตัวขัดกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมาก แล้วเขาก็จะมีความซับซ้อนในแง่คิดของเขา ถ้าสมมติผมบอกให้เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่ทำให้แม่เขาตายนะ เขาจะรู้สึกยังไง เขาก็จะบอกว่ามันคงติดตัวเขาไปจนเขาตาย ขณะเดียวกันเขาจะไปสาเหตุจริงๆ ของการตายอันนั้นว่าทำไมเขาถึงทำให้แม่ตาย คือวิธีการของป๊อปปี้ตอนเราคุยกันครั้งแรกๆ เขาก็จะไปค้นหาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจะค้นหาความจริงให้ได้ก่อนที่เขาจะรู้สึกว่าเขาควรจะเสียใจหรือเขาควรจะรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์นั้น เป็นพวก perfectionism ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบถึงจะเชื่อ นี่คือคาแร็คเตอร์ของเขา ซึ่งในเรื่องเขาจะเล่นเป็นนิติวิทยาศาสตร์ในกองสอบสวนคดีพิเศษ เขาจะต้องลงไปชันสูตรศพ เขาจะต้องลงไปเป็นคนที่วิเคราะห์รูปแบบการตายของแต่ละคนโดยละเอียด แม้กระทั่งเวลาของการตาย วันของการตาย หลักฐานต่างๆ เพราะฉะนั้นผมว่าเขาเหมาะมากในสิ่งเขาเป็นคนชอบค้นหาความจริง เพราะฉะนั้นมันก็เข้ากับคาแร็คเตอร์ของตัวเทียนมากๆ เลย
คาแร็คเตอร์ของ “กวาง” รับบทโดย “น้องแม็กกี้” (อาภา ภาวิไล) ตอนแรกก็รู้สึกว่า น้องเขาดูวัยรุ่นมากๆ ดูทันสมัยมากๆ แต่ในความเป็นวัยรุ่นทันสมัยมากๆ เขาก็มีบุคลิกที่ตรงกับคาแร็คเตอร์กวางมากๆ เช่นกัน เป็นวัยรุ่น เป็นนักศึกษา ตอนแรกผมนึกว่าเขาจะอ่อนแอจนเอาบทนี้ไม่อยู่ แต่พอมาแคสติ้งจริงๆ แล้วเนี่ย ผมกลับต้องไปเปลี่ยนบทผม เพราะว่าเขาเข้าใจตัวละครตัวนี้มากจริงๆ เขาเข้าใจมัน เขาตีความ แล้วมันก็มีอีกมุมนึงที่ผมไม่เห็น ผมคิดไม่ถึง เพราะเราเป็นผู้ชาย บางทีเราก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดแบบผู้หญิงซักเท่าไหร่ เขามีความละเอียดอ่อนมากกว่าเรา พอเขาเล่นเนี่ย แล้วเราต้องกลับไปแก้บท แล้วเราก็เอาคนนี้แหละ กลับไปแก้บทให้ตรงกับคนๆ นี้มากกว่า แล้วเขามีส่วนลึกๆ ซ่อนอยู่ และสามารถดึงเอาโมเมนต์นั้นออกมาได้ แล้วเราก็กลับไปแก้บทให้เข้ากับตัวเขา
ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นลูกคุณอรุณ ภาวิไล แล้วก็มาทราบตอนหลัง อ้าว จริงเหรอ ซึ่งจริงๆ แล้วผมเคยทำโฆษณาตั้งแต่เขายังเด็กๆ ถ่ายขนม แล้วก็ไปทั้งครอบครัวมีทั้งคุณตุ๋ย คุณจอย ลูกสาว ก็ไปกันทั้งครอบครัว แล้วก็ถ่ายโฆษณากันที่เกาะเสม็ด เออก็ดี ก็กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นความบังเอิญโดยแท้ ก็ดีครับ ซึ่งเราก็มาปรับบุคลิกเขาให้เป็นอีกแบบ ปรับทรงผม การแต่งหน้า ให้เขาไปลดหุ่น ให้เหมือนกับเด็กสมัยใหม่ที่มั่นใจในเปลือกนอก แต่ข้างในอ่อนเหลวเลย เขาต้องเล่นเป็นเด็ก Broken Home ครอบครัวแตกร้าว คุณพ่อฆ่าคุณแม่ตาย ซึ่งทำให้เขามีสภาพทางจิตค่อนข้างแย่ แล้วเขาก็รับบทนั้นได้ดี คือเป็นคนที่ข้างในเนี่ยโหยหาความรัก โหยหาอะไรบางอย่างเพื่อทดแทน เติมชีวิตตัวเองตลอดเวลา แล้วเขาก็ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เราจะเห็นผู้หญิงที่บอบบาง แล้วคาแร็คเตอร์ที่เราวางไว้ก็จะเป็นผู้หญิงที่บอบบาง อ่อนไหวง่ายกับทุกสิ่งที่มากระทบหมด ขณะเดียวกันก็พยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งโดยรูปลักษณ์ภายนอกจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งมาก ฉันกล้าฉันแกร่งฉันเที่ยวฉัน flirt กับทุกคนไปเรื่อย แต่จริงๆ แล้วในใจเปราะมากพร้อมที่จะแตกตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นที่ข้างนอกดูแข็งแต่ข้างในอ่อนปวกเปียกเลย สภาพทางจิตจะไหลไปกับสภาพเหตุการณ์แวดล้อมตลอดเวลาเลย แม้กระทั่งอยู่กับตัวเองถ้านึกอะไรขึ้นมาได้ก็จะรู้สึก hurt รู้สึกเจ็บกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งต้องยอมรับมากๆ ว่าน้องแม็กกี้ทำตรงนี้ได้ดีมาก คือข้างนอกเขาจะดูเป็นคนเซ็กซี่ดูเป็นคนที่คร่ำหวอดอยู่กับแวดวงสังคมต่างๆ ในที่เที่ยวโน่นนี่ เป็นตัวแทนของวัยรุ่นในปัจจุบันนี้เลย ข้างนอกก็ดูเป็นคนเซ็กซี่ เป็นคนเปรี้ยว แต่งตัวเก่ง ย้อมสีผม ใช้ของดีๆ แต่จริงๆ แล้วข้างในมันเปราะบางมาก ซึ่งตัวละครตัวนี้ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ชัดที่สุดในการที่จะเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าผมได้คุยกับน้องๆตอน research หลายคนมากที่เป็นแบบนี้ คือข้างนอกพยายามที่จะแสดงออกฝืนกับความรู้สึกของจิตใจข้างในจริงๆ ไว้ พวกนี้หลายคนไม่เคยกอดพ่อกอดแม่เพราะรู้สึกการแสดงออกแบบนี้มันไม่ใช่ แต่จิตใจข้างในรักพ่อรักแม่มาก แต่ด้วยวัย ด้วยความคิดของเขา ด้วยเปลือกของเขา เขารู้สึกว่าการแสดงออกแบบนั้นมันไม่ควร ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเขากล้าที่จะแสดงออก ถ้าเขากล้าที่จะไปกอดคุณพ่อคุณแม่ได้เนี่ย เขาจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาก แต่พวกนี้เขาจะไม่อบอุ่นเพราะเขาสร้างกำแพงกับตัวเองไว้ เพราะเขาจะรู้สึกว่ามันจะดูยังไงนะไปกอดพ่อกอดแม่เขาไม่ทำกันหรอก เพราะเขาสร้างกำแพงกั้นตัวเองกับทุกอย่างไว้ กั้นตัวเองกับครอบครัว กั้นตัวเองจากความรู้สึกความปรารถนาดีกับคนอื่น เขาจะรู้สึกว่าเขาต้องทำตัวเองให้เชื่อมั่นทำให้เป็นที่ยอมรับของทุกคนในสังคม แต่จริงๆ แล้วในใจของคนพวกนี้เปราะบางมาก ก็ต้องยอมรับว่าน้องแม็กกี้ทำบทบาทนี้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สมบูรณ์
สุดท้ายคือคาแร็คเตอร์ “คีย์” รับบทโดบ “บีม ศรัณยู” ที่มีประสบการณ์ทางการแสดงมาแล้ว ซึ่งคนนี้ต้องยอมรับว่าผมเลือกจริงๆ เพราะว่าเขาตรงกับคาแร็คเตอร์มากๆ แล้วก็เคยทำงานกันในละคร “ตะวันเดือด” ก็เลยรู้สึกว่าใช่ แล้วบีมเวลาทำงานจะจริงจัง เขาอินกับคาแร็คเตอร์มาก เล่นหนังเล่นละครถ้าไม่สั่งคัทเขาจะไม่หยุดเล่นเลย เป็นคนที่ตั้งใจเล่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็อินอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราก็รู้สึกว่าทำงานด้วยแล้วมีความสุข ทำงานด้วยแล้วชอบคนที่มีความตั้งใจสูงมากๆ เขาเป็นคนที่มีสองด้านจริงๆ ยิ่งตัวละครตัวนี้ที่เป็นเขาก็มีสองด้าน คือหนึ่งดูจากหน้าตา ดูจากคาแร็คเตอร์เขาเป็นคนที่ดุดัน มุ่งทะลุ ใช้ความรุนแรงโดยคาแร็คเตอร์เขาเป็นยังงั้น ซึ่งเราก็ไม่พยายามที่จะปรับเขา ผมหมายความว่า ผมเลือกตัวละครตัวนี้เพราะเขาเป็นยังงั้น ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกดูเหมือนจะโหดๆ เหี้ยมๆ แต่ภายในบีมเป็นคนที่ร้องไห้ได้ตลอดเวลา คือเมื่อมีอะไรใหญ่ๆ มากระทบใจเขา เขาจะร้องไห้ได้ทันที คือจากที่เราทำงานร่วมมา ผมจะเข้าใจดีว่าจริงๆ แล้วจะคล้ายแม็กกี้แต่คนละแบบ แม็กกี้ออกแนวสาวเซ็กซี่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นตัวแทนของสมัยใหม่ แต่บีมเนี่ยเป็นผู้ชายที่แข็งกร้าว เล่นปืน เล่นรถ คือเป็นผู้ช้าย...ผู้ชาย แต่คือจริงๆ แล้วในใจของบีมกระทบง่ายเหมือนกัน บีมเป็นคนที่มีหลอดแก้วอยู่ในจิตใจของตัวเองเหมือนกัน หลอดแก้วที่เปราะบางพร้อมจะแตก เขาเป็นคนที่จริงจังถ้าเขารักใครเขาก็จะรักมากแต่ในความรักมากมันก็จะทำให้แก้วในใจเขาเปราะบางขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมจะแตก ถ้าแตกเมื่อใดใจเขาจะสลายเลยนะครับ ในคนที่เขาจริงจังก็จะเป็นแบบนี้ คือเขาจะอ่อนไหวกับสิ่งที่เขารักใครมากๆ เขารู้สึกจะทุ่มเทมากๆ จิตใจเขาก็จะยิ่งเปราะบางเท่านั้น เมื่อกระทบมันแตกง่ายมันก็จะเสียใจมากเช่นกัน บีมเป็นคนแบบนั้น แล้วก็คีย์ในตัวละครก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ตอนนั้นที่ผมเลือกบีมมาไม่ต้องมีตัวเลือกเลย ผมเขียนบทให้เขาเล่นเลย ผมเขียนเป็นตัวเขาเลย ผมนึกหน้าเขาออก นึกคาแร็คเตอร์ นึกการแสดง นึกทุกอย่าง นึกชีวิตเขาออกก็เขียนให้เป็นเขาเลยครับ แม้กระทั่งรถยนต์ที่เขาใช้ในภาพยนตร์ก็เป็นรถยนต์ของเขา เพราะผมรู้สึกว่าเขาเป็นตัวเขามาก
ถึงแม้ทั้งสี่คนจะมีบุคลิกที่ตรงกับตัวละครมากน้อยแค่ไหน แต่พี่อุ๋ยก็ส่งน้องๆ ไปเรียนพื้นฐานการแสดงด้วยเช่นกัน
การเรียนการแสดงเป็นเรื่องสำคัญ คือผมมีความคิดอย่างนี้เสมอ เหมือนกับเวลามีคนหลายคนเดินมาหาผมว่าอยากเป็นนักแสดงทำไงดีจะต้องไปทำหน้าไหม ไปเปลี่ยนทรงผมไหม ต้องไปฟิตหุ่นไหม ผมบอกว่าให้ไปเรียนการแสดงครับอับดับหนึ่ง คือการเข้าใจในการแสดงออก การเข้าใจในตัวละครด้วยการศึกษาการเรียน มันจะทำให้คุณรู้จักในตัวละครของคุณมากขึ้น หลักใหญ่ๆ เลยคุณจะต้องสามารถถอนตัวจริงๆ ของคุณออกไปก่อน แล้วก็เอาตัวละครมาใส่ในชีวิตคุณ ที่สำคัญอย่างยิ่งถ้าคุณไม่เรียนคุณกลับบ้านไปด้วยตัวละครตัวนั้น คุณอาจจะเศร้าหมอง หมองหม่นได้ในชีวิตจริง เวลามาเรียนแล้วคุณต้องรู้จักเอาตัวละครเข้า และขณะเดียวกันเมื่อทำงานเสร็จคุณต้องรู้จักเอาตัวละครนี้ออกไปด้วย ไม่งั้นมันจะติดกลับไปแล้วหลายคนเป็น ซึ่งผมทำงานกับหลายๆ คนเป็นแบบนี้ กลับบ้านไปแล้วอาเจียนออกมาเพราะรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้โดนกดดันเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการเรียนการแสดงนอกจากจะเข้าใจพื้นฐานการแสดงและการวอร์มอัพตัวเองแล้ว ก่อนเริ่มการแสดงก็ต้องมีการวอร์มอัพ วอร์มอัพตัวเองเสร็จ ก็ต้องหยิบตัวละครที่อยู่ในหนังมาใส่ตัวเอง ถอดตัวเองออกไป แล้วก็เมื่อทำงานเสร็จก็ต้องถอดตัวละครตัวนี้ออกไปด้วย แล้วก็เข้าใจระดับพื้นฐานการแสดงว่าสามารถที่จะเพิ่มได้เมื่อผมอยากให้เพิ่ม ลดได้ถ้าผมอยากให้ลด ลดยังไงเพิ่มยังไงการเรียนการแสดงจะทำให้เขาเข้าใจตรงนี้
โชคดีที่ได้ “หม่อมน้อย” มาช่วยเราตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจ็คต์นี้ ทุกคนได้ไปเรียนตั้งแต่เบสิคพื้นฐานจนถึงขั้นสูงแต่เป็นคอร์สแบบรวดเร็วนิดนึงก็เรียนกันอยู่ประมาณเดือนครึ่ง ซึ่งพวกเขาก็ไปเรียนอยู่ตลอดอาทิตย์ละ 2-3 วัน นอกจากพื้นฐานวอร์มอัพทางการแสดง ความเข้าใจในการแสดงทุกอย่าง ทัศนคติทางการแสดง แล้วเขาก็ยังเคี่ยวข้นเรื่องบทบาทคาแร็คเตอร์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณพี่น้อยด้วยครับ เพราะว่าพี่น้อยเองก็ไม่ค่อยมีเวลา แกก็ยุ่งกับหนังใหม่ของตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นพี่น้อยท่านก็มีเวลาให้เราไม่มาก แต่ในเวลาไม่มากนั้นก็เป็นหลักสูตรเข้มข้นก็อัดกันเต็มที่เท่าที่ได้เลยครับ ก็ได้ผลมากมาย และรู้สึกว่ามีประโยชน์กับน้องๆ และเรื่องนี้มากๆ ทำให้ทุกคนแข็งแรงขึ้นอย่างทันตาเห็น
การร่วมงานกับทีมนักแสดงหน้าใหม่ตั้งแต่วันแรกจนปิดกล้องพี่อุ๋ยได้เห็นพัฒนาการด้านการแสดงของน้องๆ อย่างไรบ้าง
ต้องเรียกว่ามหาศาลเลย ด้วยความเป็นน้องใหม่ในวงการหลายคนอาจจะเคยเล่นอะไรมาบ้าง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเลย อาจจะมีโฆษณาบ้าง มิวสิควิดีโอบ้าง ซึ่งมันก็ไม่แสดงทางอารมณ์หรือสภาพทางจิต ผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ขนาดมืออาชีพก็เรียกว่ายากหิน เพราะฉะนั้นเนี่ยผมเข้าใจดีว่าหนังเรื่องนี้เล่นยากมาก คือเป็นการแสดงออกที่ซับซ้อนมาก หน้ายิ้มแต่ว่าหัวใจปวดร้าว หัวใจปลื้มปิติแต่หน้าต้องเศร้าสลด มันคล้ายๆ อย่างนั้นเลยนะครับ ผมว่าสำหรับน้องๆ ทุกคนแล้วเป็นนักแสดงใหม่ สิ่งที่เขามีมากที่สุดสำหรับเราก็คือเวลา อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด ผมไม่สามารถที่จะถ่ายหนังเรื่องนี้ได้โดยนักแสดงมีเวลาให้ผมอาทิตย์ละ 1-2 วัน ไม่สามารถไปเรียนการแสดงได้ ไม่สามารถไปเวิร์คช็อปได้ ไม่สามารถไปทำความเข้าใจกับนักแสดงด้วยกันได้ ผมจะทำงานเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ หรือได้ก็ไม่ดีไม่สมบูรณ์แน่ แต่น้องๆทั้งสี่คนนี้ถึงจะไม่มีประสบการณ์การแสดงมากมายนัก แต่ขณะเดียวกันเขามีเวลา เขามีความตั้งใจ แล้วเขาทุ่มเท อันนี้คือเรื่องสำคัญ
เพราะฉะนั้นวันแรกหลังจากที่เขาเรียนการแสดงกันเสร็จแล้ว เราได้ทำการเวิร์คช็อปด้วยกันสามวันที่ต่างจังหวัด เพราะผมชอบไปทำเวิร์คช็อปกับนักแสดงที่ต่างจังหวัดเพราะเขาจะได้อยู่ด้วยกัน อยากให้เขารู้จักกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ให้เขาสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ให้เขารู้จักกันว่าใครเป็นใคร ใครยังไง ให้เขาพูดคุยกัน สลายพฤติกรรมที่เคยมีมาทั้งหมด แล้วมาอยู่ร่วมกัน แล้วทุกๆ วันเราก็มาแสดงหนังไปด้วยกัน ก็เล่นไปตั้งแต่เริ่มเรื่องจนกระทั่งจบเรื่อง เราก็เห็นความตะกุกตะกัก เราก็เห็นการพูดไม่ชัดบ้าง เราก็เห็นพฤติกรรมหลายๆ อย่าง ซึ่งการอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันทำให้เรามีเวลาที่จะสังเกตเขา ใครเป็นยังไง ใครไปถึงไหน ใครมีพัฒนาการถึงไหนบ้าง แนะนำไปแล้วทำได้มั้ย ก็ต้องยอมรับว่าเคี่ยวจนข้นจริงๆ ฮะ ร้องห่มร้องไห้กันเลยทีเดียว เพราะเรื่องนี้มันยาก ผมก็ไม่สามารถปล่อยมือน้องๆ ไปเผชิญชะตากรรมกับตัวเองได้ ยูเล่นดียูก็เกิด ยูเล่นไม่ดียูก็ตาย ผมไม่สามารถทำอย่างงั้นได้ เพราะว่ามันยากจริงๆ ผมก็ต้องอยู่กับเขาตลอดเวลาทุกนาที จับมือกันเล่นหนังไปด้วยกัน ให้กำลังใจเขาอยู่ตลอดเวลา คือสิ่งที่เราทำร่วมกันอยู่สามวันเต็มๆ ซึ่งมันได้ประโยชน์มาก เหมือนกับทุกคนได้เล่นหนังเรื่องนี้ไปแล้วหนึ่งรอบก่อนเปิดกล้องโดยไม่มีทีมงานไม่มีกล้อง มีแต่พวกเรากันเองแค่นักแสดง ผม และผู้ช่วยเท่านั้นเอง
แต่แน่นอนครับ พอไปเข้ากล้องวันแรก ทุกคนสั่นเป็นเจ้าเข้าเลย ปากสั่น ไม่รู้จะเอามือไปไว้ที่ไหน มันลืมทุกอย่างหมดเลย มันลืมตั้งแต่การวอร์มอัพ ลืมการถอดใส่ตัวแสดง มันลืมว่าต้องพูดยังไง เคยเล่นยังไงไว้ก็จำไม่ได้ ก็คือวันแรกเราเสียเวลาไปกับเรื่องนี้มาก แต่ว่าก็สนุกดีฮะ เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับพวกเขาและผม ซึ่งผมมันก็ไม่สั่นหรอก เพราะไม่ได้ทำงานเรื่องแรก แต่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ได้ทำงานกับพวกเขาที่เพิ่งเล่นหนังเรื่องแรก ต้องยอมรับว่าแรกๆ ผมก็จะเครียดมาก เฮ้ย...มันจะเอาหนังเราอยู่มั้ย มันจะสามารถรับคาแร็คเตอร์นี้ได้มั้ย พวกเขาเองก็เกร็งไปหมด ทีมงานเต็มกองไปหมด เดินกันขวักไขว่ เดี๋ยวแต่งหน้าทำผม ใส่เสื้อผ้า ต่อบท เอาข้าวมาให้กิน เขาไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อน เขาก็เลยตื่นกอง เหมือนสัตว์ทุกชนิดที่ไปที่ที่ใหม่ อย่างหมาไปบ้านใหม่ก็วิ่งจนทั่วบ้าน มันก็เป็นลักษณะปกติของคนที่เจออะไรใหม่ๆ แต่พอเครียดไปได้ครึ่งวัน ครึ่งวันหลังผมก็เริ่มขำไปกับเขา พยายามให้เขารีแล็กซ์ ไม่ควรไปเครียดกับเขาด้วย ทางที่ดีก็คือควรไปให้กำลังใจ ทำให้เขาผ่อนคลายมากกว่า ก็ใช้วิธีเดินกอดคอคุยกัน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ จำได้มั้ยเราเคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ก็ค่อยๆ ทำให้เขาสงบลงสบายใจขึ้น นั่นก็คือวันแรกๆ ที่เหมือนกับไก่ตื่น พอถึงครึ่งทางก็จะมี half way party เลยครึ่งทางผมก็รู้สึกว่าเขาสนิทกับทีมงาน พูดเล่นหัวกันได้ ผมก็รู้สึกได้เลยว่าทั้งสี่คนนี่เปลี่ยนไปละ เมื่อถึงครึ่งทางทุกคนก็ได้หมดละ หลังจากครึ่งทางนั้นไปก็มีแต่ความสนุก เราก็ทำงานได้อย่างเต็มที่
และเรื่องนี้ผมจะค่อนข้างถ่ายเรียงตามเรื่องนะครับ ซึ่งปกติเราไม่มีทางที่จะถ่ายเรียงตามเรื่องได้ ผมบอกผู้ช่วยเลยว่าให้ทำคิวให้ค่อนข้างเรียงตามเรื่องไป เพราะว่า หนึ่งนักแสดงใหม่มันยากอยู่แล้ว มันยากสำหรับนักแสดง แล้วมันก็ยากสำหรับผมด้วย อย่างที่บอกว่านี่เป็นสไตล์ใหม่ของผม ถ้าผมเล่าแบบกระโดดข้ามไป ถ่ายท้ายๆ เรื่องขึ้นมาก่อน ผมก็อาจจะคอนโทรลมันไม่ได้ ผมจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เนี่ยไอ้สภาวะทางจิตของตัวละครแต่ละตัวมันถูกพัฒนาไปถึงไหน เพราะฉะนั้น นี่จึงเหมือนเป็นกฎเป็นระเบียบอันหนึ่งของการทำงานเรื่องนี้เลยว่า พยายามจะถ่ายเรียงตามเรื่อง ค่อยๆ เรียงตามเรื่อง ให้เขาค่อยๆ เข้าใจไปพร้อมๆ กัน ผมก็ทำความเข้าใจไปพร้อมกับตัวแสดงในแง่การแสดงออกทางจิตของแต่ละคนๆ ไป ก็เลยทำให้ครึ่งหลังของการทำงานค่อนข้างจะลื่นไหลและเข้มข้น ทุกคนเข้าใจแล้วว่าใครเป็นใคร หมดความตื่นกลัว หมดความอาย แล้วก็ทำงานกันเต็มที่ขนาดที่ว่าดึกดื่นแล้ว จะเจอกี่เทคทุกคนก็ไม่มีบ่น ไม่มีอาการ ทุกคนรู้สึกว่าสนุกกับมันและเข้าไปอินกับบทบาทตัวละคร เช่นฉากหนึ่งของบีมกับแบงค์ที่ต้องโต้ตอบกันหนักๆ ในฉากท้ายๆ เรื่อง พูดโต้ตอบกันยาวมาก แล้วมันก็มีอุปสรรคโน่นนี่ทำให้เขาต้องถ่ายกันอยู่ไม่ต่ำกว่าสี่เทคใหญ่ๆ ซึ่งต้องใช้พลังงานมากๆ ซึ่งตอนถ่ายนั่นก็ห้าทุ่มไปแล้ว ซึ่งผมถ่ายกันยาวๆ ไม่มีตัด ซึ่งต้องใช้พลังงานมหาศาลมาก เสร็จแล้วทุกคนก็แทบอาเจียนกันไปเลย ผมก็เห็นเลยว่า ยิ่งเขาเข้าใจมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งใส่พลังปะทะกันเต็มที่ จนเรารู้สึกได้ถึงพลังที่เขาปล่อยออกมาเล่นกันอย่างเต็มที่ ผมรู้สึกว่าอันนี้เป็นอันที่เข้มข้นมาก ซึ่งผมรู้สึกว่าผมได้อะไรจากตัวละครสองตัวนี้มากๆ เลยในฉากนั้นเพราะเขาใส่กันอย่างเต็มที่ เหมือนเขาเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ไม่เหมือนเป็นบีมเป็นแบงค์เลยครับ เรื่องนี้ในแง่กำกับมันยากจริงๆ ผมตัดสินใจอะไรแปลกๆ ใหม่อยู่เยอะเลย บางอย่างมันไม่เข้าปาก บางอย่างมันไม่เหมาะ บางอย่างมันหลุดจากคาแร็คเตอร์ตัวละครเราก็ต้องปรับกันตลอดเวลา เราต้องตั้งใจดูมันอย่างจริงๆ และปรับเดี๋ยวนั้นจริงๆ เพราะมันไม่ใช่หนังรักที่คนดูจะรู้ว่าเดี๋ยวมารักกันก่อน แล้วก็เดี๋ยวมีรักสามเส้าคือมันพอเข้าใจอะไรที่ง่ายๆ อยู่ แต่เรื่องสภาวะทางจิตมันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ คือเราก็ต้องสำรวจตัวละครไปตลอดเวลาด้วยว่าเขาหลุดออกจากตรงนั้นรึเปล่า เอ๊ะ ทำไมเป็นอย่างงี้ ไม่เห็นเหมือนที่เราคิดเลย แล้วมันดีหรือไม่ดี เป็นอันที่ผมต้องชั่งใจ เพราะผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เราต้องตัดสินใจให้ตัวละครของเราเป็นยังไง เพราะบางทีเขาเล่นมามันไม่เหมือนกับที่เราวางว่าควรจะเป็นอย่างงี้ แต่เขาเล่นมาแล้วกลับให้เรารู้สึกอีกแบบหนึ่ง ซึ่งมันไม่มีถูกมีผิดนะครับ เราก็ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงอะไรทำนองนี้ เพราะเรื่องสภาพทางจิตใจมันเขียนเป็นบทไม่ได้ ต้องให้เขาขุดคุ้ยความรู้สึกออกมาเองให้เราตัดสินใจว่าใช่หรือไม่ใช่ ไอ้ความยากของมันจึงเกิดการเรียงซีนเกิดขึ้น เพราะว่าสภาวะของคนพวกนี้มันบกพร่อง มันเว้าๆ แหว่งๆ ไอ้ดีกรีของการขาดวิ่นบิดเบี้ยว มันจะต้องค่อยๆ เพิ่มขึ้น คือถ้าผมไปเริ่มต้นจากทางท้าย ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องตั้งตัวเลขไว้ที่เท่าไหร่ในตอนท้าย เพราะฉะนั้นแล้วนี่ ผมจึงต้องถ่ายเรียงๆ ไปเพื่อให้รู้ว่าความบิดเบี้ยวมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไอ้การขาดวิ่นมันจะขาดขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ต้องนั่งดูว่าจังหวะที่เราจะให้เขาขาด ให้เขาบิดมันอยู่ที่ตรงไหน มันมากพอหรือยังหรือมันน้อยไปมั้ย มันเป็นเรื่องยากจริงๆ ครับ ผมต้องยอมรับว่า นักแสดงทุกคนเขามีเวลาให้เราเต็มที่ ทำให้เราสามารถถ่ายทำกันอย่างต่อเนื่องได้ นอกจากเรียงฉากแล้ว เรายังถ่ายต่อเนื่องทุกวันๆ เพราะฉะนั้นเขาก็ยังอินตัวละครอยู่ทุกวันๆ ผมก็เข้าใจอยู่ทุกวันๆ แล้วผมก็สามารถจดโน้ตของผมไปได้เรื่อยๆ พอมันถ่ายได้ต่อเนื่องแล้วเนี่ย มันก็ทำให้ผมคำนวณได้ง่าย เข้าไปกำกับได้ง่าย เข้าไปดูแลความรู้สึกของเขาได้ง่ายว่ามันต่อมาอย่างนี้ๆ ถ้าผมได้ถ่ายเขาอาทิตย์ละครั้งสองครั้งผมคงแย่ หนึ่งคือเขาคงจำไม่ได้ เขามีคิวน้อย แสดงว่าเขาไปทำอย่างอื่นละ เล่นละคร เล่นหนังอย่างอื่น ซึ่งจะหลุดจากคาแร็คเตอร์ไปแล้ว กว่าจะกระชากเขากลับมาใหม่ ในแต่ละอาทิตย์ๆ เนี่ย ผมว่ามันไม่เวิร์คแน่ ก็ต้องขอบคุณนักแสดงและทีมงานทุกท่านที่ใส่พลังกันเต็มที่ม้วนเดียวจบมาให้ผม ทำให้มันสมบูรณ์แบบจริงๆ ครับ
ซึ่งการทำงานแบบนี้มันจะได้ความสดใหม่ไปด้วย
ถูกต้องครับ ทุกคนจะกลับบ้านพร้อมการบ้าน พรุ่งนี้เขามาก็ต้องเอาการบ้านมาส่ง คือการส่งการบ้านก็เช่น เขาคิดว่า ตัวละครตัวนี้ที่จะถ่ายต่อไปอาการมันจะเป็นยังไง รู้สึกยังไง ข้างในเขาคิดอะไรบ้าง แล้วเขาจะแสดงออกมายังไง นี่คือการบ้านที่ผมให้เขากลับไปทุกวัน ซึ่งการบ้านนี้ผมอาจจะไม่ได้ใช้มันเลยก็ได้ เพราะผมอยากให้เขายังคงอยู่กับตัวละครตัวนั้นไป และยังคงทำความเข้าใจกับมันอยู่ เมื่อเช้าขึ้นมาทุกคนก็จะมาบอกว่ามันเป็นอย่างงี้ๆ ซึ่งบางทีมันอาจจะใช้ได้ บางทีอาจจะใช้ไม่ได้ บางทีอาจหลุดไปไหนไม่รู้ เป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งไปเลยก็ได้ ซึ่งผมก็รู้สึกว่ามันก็ดีนะ ทำให้ตัวละครตัวนี้มันไม่นิ่ง มีความเคลื่อนไหวในความรู้สึกของตัวละครอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเขาอาจจะหลุดไปเลยก็ได้นะฮะ โดยเฉพาะอย่างแบงค์ เขาใหม่เอี่ยมเลยในเรื่องการแสดง มันทำให้บางครั้งเขากลับมาตอนเช้าเขาเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย กว่าจะเรียกกลับมาได้เนี่ยเกือบเที่ยง มันเหมือนกับว่า เขาบอกว่าเขาไปคิดกับมัน ทำการบ้านๆ มากๆ เข้า เขารู้สึกเตลิดไปเลย เขาหายไปเลย ไอ้ตัวละครที่เล่นมามันหายไปเลย เหมือนกับใครเตะปลั๊กหลุด ฮาร์ดดิสก์เจ๊งเลย blank สมชื่อเลย ไม่มีอะไรอยู่ในหัวมันเลย เขาไม่รู้เป็นอะไร เขาไม่เข้าใจทำไมเป็นอย่างงี้ อยู่ดีๆ มันก็หายไปหมดเลย เอาบทมาอ่านยังไงก็ไม่เข้าไป เออมันก็เป็นเรื่องที่แปลก ผมรู้สึกว่า เออ น้องแบงค์นี่สงสัยเป็นตัวจริง (หัวเราะ) คือมันมีภาวะอย่างนั้นจริงๆ แล้วก็เป็นภาวะที่พวกเราตกใจมากๆ ไม่ควรหรอก คนเราไม่ควรจะหายไปขนาดนั้นได้ คืออย่างน้อยมันก็ต้องมีอะไรเหลืออยู่ในหัวบ้าง แต่เขาบอกว่า ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ แม้กระทั่งคาแร็คเตอร์ ท่าเดินที่เราเคยคุยกันไว้ หายไปหมดเลย คือเขาจำอะไรไม่ได้เลย เมมโมรี่มันคงเต็ม เขาก็เลยลบมันไป ซึ่งพองานเสร็จแล้วมานั่งนึกย้อนดู เออมันก็ดีเหมือนกันนะ เราก็เหมือนกับมานั่งสตาร์ทอะไรกันใหม่ๆ อีกครั้งหนึ่ง การทำอะไรซ้ำๆ มันอาจจะทำให้ได้เห็นรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ นี่หมายถึงเสร็จแล้วนะ แต่ระหว่างถ่ายก็กลุ้มใจเหมือนกันนะฮะ บ้า มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมทุกอย่างมันหายไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ผมไม่เคยเจอนะ ก็ดีได้เจออะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคใหญ่ เพราะว่าในที่สุดครึ่งวันเขาก็กลับมาได้ เราก็สามารถ restore เมมโมรี่กลับมาได้ในที่สุด
นอกจาก 4 ตัวหลักแล้วยังมี “อาสุเชาว์” และ “พี่ดี้ ชนานา” ด้วย
พี่สุเชาว์ เล่นเป็น “พ่อของกวาง” คาแร็คเตอร์เป็นทหารใกล้จะเกษียณ ก็มีลูกเล็กเหมือนเป็นลูกหลง จริงๆ แล้วแกเป็นคนที่รักลูกแกมาก แต่ก็อย่างที่บอกนะครับ ไม่ว่าจะด้วยสภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจก็ตาม ทางอะไรก็ตาม ภายนอกที่บีบคั้นจิตใจเขา จนเขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ไม่สมควรลงไป ก็คิดถึงพี่เชาว์เพราะว่ามันเป็นบทที่ค่อนข้างหนัก เพราะเป็นตัวละครที่ส่งผลกระทบต่อตัวละครที่แวดล้อมทุกคนเพื่อจะนำพาชีวิตเขาต่อไปไม่ว่าจะเป็นปัญหาก็ตาม ประเด็นปมต่างๆ ความแตกร้าวทางจิตใจก็ตาม ความบิดเบี้ยวทางจิตใจอะไรต่างๆ ก็ตาม มันเกิดจากตัวละครตัวนี้
ส่วน พี่ดี้ ชนานา เล่นเป็น “แม่ของเขื่อน” ซึ่งเป็นตัวละครที่เขื่อนเนี่ยยึดไว้ในจิตใจ คือเขารักแม่เขามาก ด้วยความที่เขารักแม่เนี่ย ทำให้เขาต้องการแม่ตลอดเวลา คือหลายๆ ครั้งบางคนเนี่ย หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็ตาม ทุกคนต้องการการยึดเหนี่ยวทางจิตใจ คือ หนึ่งคนไม่เชื่อศาสนาซะแล้ว ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ไม่ได้ไหว้พระ ไม่ได้โน่นนี่นั่น เขาก็ต้องหาอะไรยึดเหนี่ยวอยู่ดี บางคนก็จะห้อยเหรียญ บางคนก็จะห้อยผ้าถุงแม่ บางคนก็จะห้อยฟันพ่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นทุกคนมันจะมีสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ เพราะฉะนั้นตัวเขื่อนก็จะใช้แม่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ มีอะไรก็จะคุยกับแม่เขา เพื่อจะสร้างประเด็นที่เขาบอกว่า Positive Thinking คิดบวกทำบวก เขาก็จะถามแม่เขาตลอดเวลาว่า สิ่งที่เขาทำอยู่มันถูกแล้วใช่มั้ย เขาคิดอย่างงี้มันถูกแล้วใช่มั้ย เขาก็จะมีแม่ที่เล่นโดยพี่ดี้ ชนานาเนี่ยยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่ตลอดเวลาครับ
ใช้กรุงเทพฯ เป็นโลเกชั่นหลักในการถ่ายทำ
ผมอยากให้กรุงเทพฯ เป็นตัวแทนของอาการนี้ของเรื่องราวเหล่านี้ เพราะว่าเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เนี่ยมันพร้อมที่จะทำให้คนเราหรือใครก็ได้ โดยเฉพาะผมจะรู้สึกเสมอว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ผมจะรู้สึกว่ามันไม่ไหว รู้สึกว่ามันกดดัน เครียด แล้วมันก็มีสภาวะทางความคิด สภาวะจิตใจที่มันบิดเบี้ยวสูง มันพร้อมที่จะทำให้ผมบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา ผมเคยอยากจะตะโกนลั่นในห้างดังๆ ห้างหนึ่ง มันรู้สึกว่าหนวกหูมาก มันวุ่นวายมาก เมื่อเราจะไปซื้ออาหารในร้านอาหารสักร้านหนึ่งมันก็มีคนวิ่งหือมาแหวกหน้าเรา คือผมรู้สึกว่ามันต้องแย่งกันกินแย่งกันอยู่แย่งอะไรกันขนาดนี้เหรอ มันมีเสียงตะโกนโฆษณา มันมีเสียงเพลงบ้าๆ บอๆ ดังๆ แล้วใครจะฟัง ผมมีความรู้สึกว่าไม่ได้ยินสักอย่าง มันมีแต่ความรกหูอยู่ในนี้ มันทำให้คลื่นสมองผมมันสูงมาก การอยู่ในเมืองมันไม่เวิร์คเลย เพราะฉะนั้นผมคิดว่านี่แหละมันเป็นโมเดลของซิตี้ที่ควรจะเป็นสภาวะความบิดเบี้ยวและขาดวิ่นทางจิตใจได้สูงมากคือที่นี่แหละ ผมเองไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ บ้านผมเองอยู่ต่างจังหวัด ถึงจะเป็นจังหวัดนนทบุรีก็เหอะก็ยังดีกว่าที่นี่ (หัวเราะ) นานๆ มีโอกาสเข้ากรุงเทพฯ ทีไรก็ยังโดนบังคับให้เข้าไปอยู่ในเมือง ในห้าง ซึ่งคนเยอะๆ เนี่ยเรารู้สึกว่าไม่ไหวทุกทีเลย มันจะแย่ สภาวะทางจิตมันจะแย่มากๆ มันต้องมีสมาธิมากๆ แล้วก็เหมือนกับเราต้องทำสมาธิให้อยู่กับตัวเองให้ได้ตลอดเวลา พยายามจะไม่ได้ยินอะไร ไม่เห็นอะไร มันหมายถึงเมืองสมมติ เมืองตัวอย่างที่มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ครับ
นอกจากความโดดเด่นทางด้านการแสดงแล้ว เรื่องของภาพก็เป็นอีกความโดดเด่นหนึ่งของเรื่อง
โดยทางภาพเราดีไซน์ให้ภาพทุกภาพที่เกิดขึ้นในหนังเนี่ยมันไม่นิ่ง มันเหมือนกับสภาพจิตใจของคนเมืองนี้แล้วไม่นิ่ง กล้องจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลามากบ้างน้อยบ้าง แต่จะไม่มีกล้องนิ่งๆ เลยในหนังเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจะเกิดการดีไซน์การเคลื่อนไหวของกล้อง และขณะเดียวกันกล้องจะเคลื่อนไหวผ่านสิ่งที่ทำให้ภาพของคนนั้นมันบิดเบี้ยวไปตามวัตถุต่างๆ อาทิเช่น ภาพที่มันมีกระจกวางทับเหลื่อมซ้อนกันอยู่ เมื่อกล้องผ่านกระจกเหล่านั้นแล้วข้างหลังเป็นคนเนี่ย คนนั้นจะมีอาการเพี้ยนๆ จากรูปทรงที่เป็นปกติ จะมีวิธีการเล่าแบบนี้เสมอๆ หนึ่งคือไม่นิ่ง สองคือมีอาการบิดเบี้ยวเมื่อคนๆ นั้นเกิดสภาวะทางจิตที่บิดเบี้ยวแล้วก็ขาดวิ่นจะมีภาพลักษณะแบบนี้นำเสนออยู่ เป็นเหมือนกับทำให้รู้ว่าบางครั้งคนเรามองเห็นตัวตนกันอยู่อย่างนี้ แต่จริงๆ แล้วข้างในมันบิดไปแล้วนะ มันเพี้ยนไปแล้วได้นะ คือสภาพข้างนอกอาจจะยังดีอยู่ มันสามารถบิดเบี้ยวไปได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นผมก็จะมีอุปกรณ์ในการทำภาพบิดเบี้ยวต่างๆ กระจกทรงโค้ง แท่งปริซึม ต่างๆ ติดอยู่ในกองถ่ายอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราพร้อมที่จะทำภาพที่มันบิดเบี้ยวได้อยู่สม่ำเสมอ มันเหมือนกับว่าภาพคนปกติแล้วกล้องก็จะผ่านสิ่งที่ทำให้บิดเบี้ยวไป มันก็จะเห็นได้ว่าสภาพของคนเราที่มองเห็นด้วยตาที่เขาเป็นปกติอยู่นี้ เมื่อเขาเริ่มพูดอะไรบางอย่าง เมื่อเขาเริ่มแสดงอะไรบางอย่าง มันมีความบิดเบี้ยวภายในแสดงออกมามันก็จะผ่านรูปทรงการบิดเบี้ยวเพี้ยนจากคนปกติไป
แล้วอันที่สามที่เราดีไซน์ไว้ของ เรื่องของการเข้าและออกทางสภาวะทางจิต สังเกตจะเห็นว่าผมจะมีรูท่อให้กับนักแสดงเสมอ ทุกอันจะเป็นกล่องเป็นรูเป็นปล่อง เหมือนอุโมงค์เมื่อคุณเข้าไปในอุโมงค์นั้นได้คุณก็จะเห็นปลายทางที่มีแสงๆ อยู่ที่ว่าคุณจะออกไปได้หรือเปล่า จะเห็นว่าผมมีภาพแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ภาพที่มันเห็นถึงการเข้าไปอยู่สภาวะบางอย่าง แล้วคุณจะทะลุมันออกไปได้หรือไม่ มันก็เหมือนปล่องคุณเข้าไปทุกคนอยู่ในปล่องในช่วงหนึ่งของสภาพจิตอาจจะเข้าไปอยู่ในปล่องนี้ อยู่ที่ว่าคุณจะออกจากปล่องนี้ที่มันทึบทึม มันก็จะเห็น มันก็จะไม่ปกติ อันนี้ก็จะเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ทางภาพไว้กับบรรยากาศและงานทางโปรดักชั่นดีไซน์ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องมีสามสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลาทั้งเรื่อง เพื่อจะให้คนผู้ชมเห็นชัดทางความคิดมากขึ้นนอกจากบท นอกจากการแสดง แล้วยังมีการดีไซน์ทางภาพเพื่อให้เห็นความคิดที่ชัดเจนที่เราอยากบอกกับคนดู
ระดับความแรงของเนื้อหาที่สะท้อนออกมาทางภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ผมอยากจะบอกว่าจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ถ้าจะพูดทั่วไปแล้วมันเป็นหนังไซโค-ทริลเลอร์ คือมีการฆาตกรรม มีการซ่อนเงื่อนอะไรต่างๆ เอาไว้ แต่ผมชอบดูหนังแบบนี้ แล้วดูหนังแบบนี้มาเยอะมาก แล้วผมรู้สึกว่าส่วนใหญ่แล้วจะออกมาในโทนที่ใกล้ๆ กันหมดเลย คือมีความทึบทึม อับ มืด ดำแล้วก็โหดร้าย โหดเหี้ยม แล้วก็องค์ประกอบทุกอย่างมันพยายามที่ทำให้มันเกิดสภาวะแบบนั้นกับหนังหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา แต่หนังของผม ผมอยากจะบอกว่ามัน sweet มาก คืออยากทำให้มันแตกต่าง อยากให้มันคอนทราสต์ ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นมั้งเวลาที่เราจะเห็นใครฆ่ากันแล้วมันจะต้องหนักหน่วง ภาพมันจะต้องดิบเถื่อนแล้วก็ทึบทึมอยู่ตลอดเวลา ผมรู้สึกว่าถ้ามันงามล่ะ เพราะว่าคนที่มีจิตใจที่บิดเพี้ยน ผิดเพี้ยน ขาดวิ่น ผมเชื่อการที่เขาจะฆ่าใครสักคนมันไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องไม่ดีหรือเขาไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องที่โหดร้าย แย่ ต่างในสายตาคนอื่น ผมว่าถ้าเราจะแสดงสภาพวะทางจิตใจของเขานะไม่ใช่ของคนถูกกระทำ ของผู้กระทำคือคนที่เรียกว่าอยู่ข่ายสภาวะทางจิตที่บกพร่องเนี่ย ผมว่าเขาอาจจะมีความงาม เขาอาจจะฆ่าด้วยงาม เขาอาจจะมีเพลงประจำของเขาอยู่ในหัวของเขาเวลาเขาลงมือปฏิบัติการอะไรบางอย่าง ในระหว่างนั้นเขาอาจจะมีศิลปะในการที่จะทำแบบนั้น เขาอาจจะมีสุนทรียศาสตร์ของเขาในการที่เขาจะดำเนินการฆ่าใคร หรือเล่นสภาวะทางจิตกับใคร ความโหดเหี้ยมของเขาอาจจะแสดงด้วยความสุข ด้วยความงามของเขา เพราะฉะนั้นผมเลยมองเรื่องนี้แตกต่างออกไป
ผมเชื่อว่าการแสดงออกของคนเหล่านี้ขัดแย้งกับสิ่งที่โลกนี้เป็น คือถ้าเขาเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่ดีไปด้วยเนี่ย เขาคงไม่ทำ ผมว่าเขาทำเพราะรู้สึกว่ามันดี มันงาม มันมีความสุข ผมก็เลยใช้วิธีการแสดงออกของเขาเพลงไพเราะ เพลงเพราะๆ แล้วภาพสวยๆ ไม่ต้องทึบทึมมาก แล้วก็มีความงามอยู่ในนั้น มีการดีไซน์เสื้อผ้า มีการดีไซน์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในฉาก ในเซ็ตก็มีการดีไซน์อย่างสวยงาม สีก็ขาวไม่ต้องทึบทึม ไม่ต้องไปฆ่ากันในท่อมืดๆ ดำๆ หรือในโรงงาน ความงามมันเกิดได้ทุกที่ แล้วอีกอย่างหนึ่งผมไม่อยากให้คนดูรู้สึกอึดอัดกับการฆ่า อึดอัดกับหนังแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนปฏิเสธหนังทำนองแบบนี้ เพราะว่าเขารู้สึกว่ามันโหด พอเขาไปดูแล้วรู้สึกมันฝังใจเขาอยู่ แต่สำหรับเรื่องนี้ผมไม่ใช่เลย หนังผมจะสวีท ผมจะทำให้หนังเรื่องนี้ให้มันมีความหวานอยู่ในนั้น คือใครก็ดูได้ เด็กก็ดูได้ แต่ว่าดูด้วยความเข้าใจ มันมีเรื่องราวอื่นๆ ที่มันสามารถจะแสดงสภาวะแบบนั้นได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ความโหดเหี้ยม ผมพยายามเลี่ยงฉากแบบนี้ เลี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดหรือที่จำเป็นที่สุด แต่บางอันต้องการความชัดเจนก็เอาให้มันชัดเจนไปเลย สภาพศพก็เอาให้มันชัดไปเลย แต่ถ้าเป็นไปได้ผมก็จะเลี่ยงไป เลี่ยงเป็นการเล่าไปแทน หรือเป็นการใช้สัญลักษณ์บางอย่างแทน เพื่อจะไม่ให้หนังเรื่องนี้ดูแล้วมันรู้สึกหดหู่เกินไป ผมอยากให้ดูด้วยความเข้าใจสนุกกับมัน เพลงเพราะ ภาพสวย สนุกกับมันไป แล้วก็เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการป้อนเข้าไปให้คุณเข้าใจกับโลกใบนี้
ความน่าสนใจโดยรวมของเรื่องนี้
สำหรับผมสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า หลายๆ ครั้งเนี่ยเราชอบพูดกันว่า คนนั้นเป็นโรคจิต คนนี้เป็นโรคจิต แต่บางครั้งเราไม่ได้เข้าใจเขาหรอกฮะว่า มันมีต้นกำเนิดมาจากอะไร โรคจิตจริงๆ มันไม่ใช่โรคหรอกฮะ คนที่เขาเป็นสภาวะทางจิตที่มันล้มเหลวบิดเบี้ยวเนี่ย เขาไม่ได้เป็นโรคอะไร เขาไม่ได้เป็นเอดส์ หรือโรคอะไร มันไม่เหมือนกัน แล้วมันก็เยียวยาได้ แค่พูดอะไร 2-3 ประโยคเนี่ยมันก็สามารถฟื้นคืนมาได้เลยนะครับ บางเรื่องที่มันคาใจ แล้วเรื่องมันไม่ถูกอธิบายเนี่ย คาใจมาเป็น 10 ปี แต่พอเราเข้าใจเขา เราอธิบายเขาแค่ 2-3 ประโยคเนี่ย เรื่องทั้งหมดมันคลี่คลายออกมาเลย เขาก็ปกติได้เลยทันทีมันไม่ใช่โรคร้ายแรง เพียงแต่ว่าถ้ายิ่งกดซ้ำหรือยิ่งเพิ่มอะไรเข้าไปในสภาวะจิตอย่างงี้อีก มันก็อาจจะปริแตกได้ จากการแตกของมันก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคนว่า ออกมาในลักษณะไหนๆ ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าถ้าเราเข้าไปพิจารณาหรือโฟกัสกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งจริงๆ มันสามารถเกิดขึ้นได้หมดกับใครก็ได้ทั่วๆ ไป ถ้าเราโฟกัสไปที่คนกลุ่มนี้ซะหน่อย เราก็จะเข้าใจเขามากขึ้น ขณะเดียวกัน เราก็จะหันมาเข้าใจตัวเราเองได้มากขึ้นด้วยว่า เราได้เก็บอะไรมันไว้หรือเปล่า ความแตกร้าวทางครอบครัว หรือสภาพจิตใจเราเป็นยังไง เราหันหากันบ้างหรือเปล่า เรารักกันพอหรือยัง หรือว่าเราได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยอยากทำมาก่อนในชีวิตแล้วหรือยัง เช่น เราเป็นลูกผู้ชายแข็งขัน เป็นชายชาติทหาร แต่ว่าไม่เคยกอดแม่เลยอะไรอย่างนี้ คือมันก็จะทำให้ทุกอย่างมันคลี่คลาย แล้วก็ทำให้โลกนี้น่าอยู่มากขึ้น เราก็จะรักกันมากขึ้น
อยากจะบอกผมอ่านเจอมามีคนบอกว่า ในทุกๆเมืองหลวงของโลกใบนี้ มีเดินมา 100 คน คุณไม่รู้หรอกว่านั่นจะมีคนที่มีสภาวะผิดเพี้ยนทางจิตอยู่ประมาณ 98 คน เหลือ 2 คนเท่านั้นที่จะไม่เป็น อาจจะเป็นพระ แต่ผมว่าทุกคนในโลกใบนี้สามารถที่จะเข้าสู่สภาวะบิดเบี้ยว ผิดเพี้ยน ขาดวิ่นทางจิตใจหรือสมอง อย่างที่ผมบอกไปว่าด้วยเคมี ด้วยสภาวะแวดล้อมต่างๆ ด้วยความเครียด ด้วยสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น ทำให้จิตของใจของเรามันบิดเบี้ยวได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอก อยากจะเตือน อยากจะเล่าให้ทุกคนได้รับทราบถึงสภาพความผิดเพี้ยน เพื่อจะให้เราสำรวจตัวเองบ้าง ว่าเรามีอาการแบบนั้นหรือเปล่า บางครั้งเรารู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเรารู้สึกเราก็อาจจะเริ่มต้นจากการควบคุมมัน พยายามทำมันให้อยู่ อาจจะไปนั่งสมาธิที่บ้านเอง หรืออาจจะพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมามากขึ้น ว่าอะไรมันดี-ไม่ดีหรืออะไรมันควร-ไม่ควร ภาพยนตร์ “คน-โลก-จิต” อยากจะพูดเรื่องนี้กับคุณด้วยความสวีท ในภาพยนตร์ไซโค-ทริลเลอร์แบบหวานๆ ก็อยากจะให้คุณเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับใครก็ได้ อย่าประมาท แล้วก็อย่าเพิกเฉยกับเรื่องแบบนี้ครับ
มันก็จะสะท้อนตรงกับชื่อเรื่อง คือ มันจะเป็น “คน-โลก-จิต” หรือ “จิต-โลก-คน” ก็ได้นะฮะ จะปรับยังไงก็ได้ ผมรู้สึกว่าชื่อนี้มันเหมาะสม อยู่ที่ว่าเราจะอธิบายมันยังไงก็ได้ หรือจริงๆ แล้วคนกับโลกมันคืออะไร มันทำให้สภาวะจิตใจมันเป็นยังไง ผมว่าสามอย่างนี้มันสอดคล้องกันอยู่ครับ
-นท-
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit