จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จับมือสมาคมเภสัชกรรมชุมชน แนะวิธีดูแลผู้ป่วยเบาหวาน พร้อมเผยเคล็ดลับการเลือกเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดในงาน “ไม่แก่ ไม่ตาย จากเบาหวาน”

19 Jun 2012

กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์

เบาหวาน จัดได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพยอดฮิตอันดับต้นๆ ของคนไทย และมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีสาเหตุหลากหลายทั้งเกิดจากพันธุกรรม รวมถึงวิธีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป แม้เบาหวานจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติและมีความสุข เพียงแค่รู้จักการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานอย่างถูกวิธีแบบบูรณาการ ได้ถูกถ่ายทอดแก่เภสัชกรและ ผู้ประกอบธุรกิจร้านยาจำนวนกว่า 150 คน ทั่วประเทศ ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ในงานประชุมวิชาการ หัวข้อ “ไม่แก่ ไม่ตาย จากเบาหวาน” ซึ่งจัดโดย บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการดูแลสุขภาพ นำโดย ภก. นรเทพ เอี่ยมแก้ว ผู้อำนวยการแผนกไลฟ์สแกน ฝ่ายเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์ ร่วมกับสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) โดยได้รับเกียรติจาก ดร. นพ. พัฒนา เต็งอำนวย อายุรแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท 2 และอาจารย์หลักสูตรเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ รศ. ดร. ภก. เนติ สุขสมบูรณ์ อาจารย์สาขาเภสัชกรรมคลินิก ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรักษาโรคเบาหวานอย่างถูกต้อง เคล็ดลับการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงเคล็ดลับการเลือกเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยสาระและความบันเทิง เมื่อผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมสนุกกับการเล่นเกมส์ จับรางวัลหน้างาน และได้มีโอกาสตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด และวัดความดันด้วยผลิตภัณฑ์ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ทั้งยังได้รับคำแนะนำเรื่องสัดส่วนการรับประทานอาหารที่ถูกวิธีจากเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อการมีสุขภาพและรูปร่างที่ดี ก่อนจะเข้าสู่ช่วงการบรรยายให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวานบนเวที

ภญ. ช้องมาศ นิติศฤงคาริน นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน กล่าวว่า “สมาคมมีแนวโน้มการพัฒนาการดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังให้มีคุณภาพมากขึ้น การจัดอบรมให้ความรู้เรื่องโรคเบาหวานในครั้งนี้ เป็นการเปิดแนวทางใหม่ๆ ที่ทันสมัย และเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเพราะเรากำลังสนับสนุนให้ร้านยาเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพของประเทศ ซึ่งเภสัชกรต้องมีคุณภาพสามารถให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสนับสนุนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ครั้งนี้ จึงมีคุณานุปการอย่างยิ่งต่อวงการเภสัชกรรมและประชาชน ในการดูแลรักษาและป้องกันโรคเบาหวานซึ่งเป็นโรคที่สิ้นเปลือง ทั้งจากค่ายา และการรักษาโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น และมีแนวโน้มจะเกิดกับประชากรที่มีอายุน้อยลง”

ดร. นายแพทย์ พัฒนา เต็งอำนวย อายุรแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท 2 และอาจารย์หลักสูตรเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ฝากเคล็ดลับการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานแบบบูรณาการว่า “จุดประสงค์สำคัญของการรักษาเบาหวาน หรือ หัวใจสำคัญที่จะไม่แก่ ไม่ตายจากเบาหวาน คือ การป้องกันภาวะแทรกซ้อน การรักษาเบาหวานจึงไม่ใช่แค่การใช้ยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่คือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์แบบองค์รวม ทั้งการดูแลเรื่องไขมันและความดันโลหิต ให้ปราศจากภาวะน้ำหนักเกิน วิธีง่ายๆ ได้แก่ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ในปริมาณที่พอดี โดยเน้นจำพวกผักหลากสี อาหารที่มีกากใยสูงและมีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และมีน้ำตาลสูง เช่น ผลไม้รสหวานซึ่งมีน้ำตาลฟรุกโตสเป็นจำนวนมาก น้ำตาลเหล่านี้เมื่อจับกับโปรตีน ทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ด้วย นอกจากนั้นยังควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง นมว้วที่มีน้ำตาลแลกโตส นมข้นหวาน น้ำตาล ครีมเทียม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ที่สำคัญคือการดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้น ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เช่น ใช้การเดินแทนการขึ้นลิฟท์ โดยเคล็ดลับเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้กับคนทั่วไปที่อยากเป็นเจ้าของสุขภาพแข็งแรง ไม่แก่ก่อนวัย ตามหลักเวชศาสตร์ชะลอวัย”

“อย่างไรก็ดีหากพบว่าเป็นเบาหวานแล้ว การมีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือด มีความสำคัญยิ่งในการดูแลรักษาโรคเบาหวานด้วยตนเอง การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่ถูกต้องจำเป็นต้องตรวจทั้งก่อนอาหารและหลังอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง สำหรับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารนั้น สามารถใช้ดูประสิทธิภาพการทำงานของตับอ่อน นั่นคือ หากตรวจพบว่ามีค่าน้ำตาลเกิน 200 แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน หรือหากพบว่ามีค่าน้ำตาลเกิน 160 ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวาน จากการเสื่อมของตับอ่อนที่ไม่สามารถสร้างอินซูลินได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันคนไข้เบาหวานก็ควรมีเครื่องวัด ความดันด้วยตนเองควบคู่ไปด้วย” ดร. นายแพทย์ พัฒนา กล่าวเสริม

รศ. ดร. ภก. เนติ สุขสมบูรณ์ อาจารย์สาขาเภสัชกรรมคลินิก ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า “ผลสำรวจล่าสุดจาก National Health Examination Survey ของประเทศไทยล่าสุดเมื่อปี 2552 พบว่าประชากรในช่วงอายุ 18-59 ปี เป็นเบาหวานถึง 5-6% และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังพบว่า 70% ของผู้ป่วยเบาหวานยังคุมน้ำตาลได้ไม่ดี สำหรับแพทย์และเภสัชกร การดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ถูกวิธีควรเป็นแบบเฉพาะบุคคล (tailor made) เพราะยารักษาเบาหวานชนิดเดียวกันไม่ได้เหมาะกับผู้ป่วยทุกคน อย่างไรก็ดี การรักษาเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพควรทำควบคู่ไปกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่เชื่อถือได้ในความถูกต้องแม่นยำ ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า (Cost effective) ทำให้การควบคุมเบาหวานดีขึ้น ส่งผลดีต่อผู้ป่วยเบาหวานในการปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากข้อมูลระดับน้ำตาลในเลือดแบบ real time ที่สามารถสะท้อนผลของยาที่ใช้รักษา พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย ทำให้ผู้เป็นเบาหวานปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมขึ้น และสามารถตรวจสอบแนวโน้มการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดได้ด้วยตนเอง จึงช่วยป้องกันอัตราการเกิดโรคแทรกซ้อน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาในระยะยาว ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เมี่อเทียบกับผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้ตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ”

การดูแลตนเองอย่างถูกวิธีของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย เช่นเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดที่มีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้ผู้เป็นเบาหวานสามารถสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่แก่ ไม่ตาย จากเบาหวาน

สื่อมวลชนสอบถามเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

คุณเสาวภา สุคันธี / คุณขวัญตา หน่อคำ

ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์

โทร.02-627-3501 ต่อ 191 / 107

อีเมล [email protected] / [email protected]

-นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net