Real Steel ศึกหุ่นเหล็กกำปั้นถล่มปฐพี 29 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์และในระบบ IMAX และ 4 มิติ

16 Nov 2011

กรุงเทพฯ--16 พ.ย.--ดรีมเวิร์คส์ พิคเจอร์ส

ในภาพยนตร์แอ็กชันสุดมันส์โดยดรีมเวิร์คส์ พิคเจอร์ส Real Steel ฮิวจ์ แจ็คแมนรับบทชาร์ลีย์ เคนตัน นักมวยตกอับในโลกอนาคตอันใกล้ ด้วยความที่งานของเขาถูกแย่งไปโดยหุ่นยนต์เหล็ก 8 ฟุต บัดนี้ เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่ใช่ที่ทางของเขา เมื่อไม่มีทั้งแมทช์แข่งและโอกาส ชาร์ลีย์จึงจำเป็นต้องยังชีพด้วยการเป็นโปรโมเตอร์มวยหุ่นยนต์เล็กๆ เขาหาเงินได้พอเลี้ยงตัวเองจากการจับ “หุ่น” กระจอกมายำรวมกันและเดินทางจากสังเวียนผ้าใบใต้ดินแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง เพื่อเงินรางวัลที่เขาสามารถรีดเอาจากหุ่นกระป๋องของเขาได้ ราวกับสถานการณ์จะยังคับขันและซับซ้อนไม่พอ แม็กซ์ (ดาโกต้า โกโย) ลูกชายวัย 10 ขวบที่เหินห่างจากเขา ก็กลับเข้ามาในชีวิตเขาแบบไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว

คู่พ่อลูกที่เหินห่างกันคู่นี้จำต้องร่วมมือกันเพื่อซ่อมแซมและฝึกหุ่นยนต์กระป๋องตัวหนึ่งให้กลายเป็นผู้ท้าชิงฝีมือเยี่ยม เมื่อเดิมพันในสังเวียนที่ไร้ขีดจำกัดและไร้ปรานีสูงขึ้น ชาร์ลีย์ก็ได้โอกาสครั้งสุดท้ายที่จะหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่

Real Steel เป็นเรื่องราวของผู้แพ้ ที่มีสโคปยิ่งใหญ่และพล็อตเรื่องแปลกใหม่ ซึ่งนำเสนอเซอร์ไพรส์มากมาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมผสานภาพอลังการน่าตื่นตาตื่นใจเข้ากับการเล่าเรื่องที่สมจริง เข้าถึงได้ง่าย ผู้กำกับชอว์น เลวีจาก Real Steel มองว่ามันเป็นเรื่องราวการไถ่บาปของสามชีวิตที่หลงทางและถูกลืมเลือน “ตัวละครพวกนี้ ที่มีพ่อ ลูกชายและหุ่นยนต์ ต่างก็ถูกทิ้งครับ” เลวีบอก “ทั้งสามคนถูกทอดทิ้งและหลงลืม แก่นของเรื่องราวนี้คือทั้งสามคนมีโอกาสที่จะแก้ตัวได้อย่างไรน่ะครับ”

ดอน เมอร์ฟีย์, ซูซาน มองท์ฟอร์ดและชอว์น เลวีรับหน้าที่อำนวยการสร้าง Real Steel ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่แจ็ค แร็ปเก้, โรเบิร์ต เซเมคิส, สตีฟ สตาร์กีย์, สตีเวน สปีลเบิร์ก, แมรี แม็คแล็กเลนและจอช แม็คแล็กเลน บทภาพยนตร์โดยจอห์น กาทินส์ จากเรื่องราวโดยแดน กิลรอยและเจเรมี เลเวน

ส่วนหนึ่งของ Real Steel สร้างขึ้นจากเรื่องนั้นโดยริชาร์ด แมทธีสัน ปรมาจารย์ไซไฟเรื่อง Steel ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นเอพิโซดในปี 1963 ของ Twilight Zone ที่นำแสดงโดยลี มาร์วิน ผลงานของแมทธีสันครอบคลุมเวลากว่าครึ่งศตวรรษ ด้วยนิยายยอดนิยมหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง I Am Legend, Hell House, Somewhere in Time และ What Dreams May Come ที่ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ชื่อของแมทธีสันได้รับการบรรจุให้อยู่ในไซ ฟิคชัน ฮอล ออฟ เฟมในปี 2010 Real Steel ร่วมแสดงโดยอีวานเจลิน ลิลลี, แอนโธนี แม็คกี้, เควิน ดูแรนด์, โฮป เดวิสและเจมส์ เร็บฮอร์น

พล็อตเรื่อง

ลองจินตนาการโลกอนาคตอันใกล้ (2020) ที่แฟนมวยเบื่อหน่ายกับการดูมนุษย์รัวหมัดเข้าใส่กัน ถึงเวลาที่ความกระหายเลือดและความรุนแรงของผู้คนยิ่งใหญ่เกินกว่าสิ่งที่มนุษย์สามัญจะมอบหรือรับได้ นี่เป็นโลกที่การชกมวยได้พัฒนาไปจนถึงจุดที่มนุษย์ไม่ต้องห้ำหั่นกันเองอีกต่อไป เพราะหุ่นยนต์ได้เข้ามาแทนที่นักสู้เหล่านี้แล้ว ทักษะและความสง่างามของนักมวยระดับโปรกลายเป็นเรื่องในอดีต แฟนๆ ต้องการการอัดกระแทกด้วยความรุนแรงถึงตาย และการทำลายล้างคู่ต่อสู้แบบสิ้นซาก

ไอเดียหุ่นยนต์นักมวยเป็นไอเดียที่กระตุ้นความสนใจของผู้กำกับชื่อดัง ชอว์น เลวี ผู้ได้รับการยกย่องจากคอเมดียอดนิยมในบ็อกซ์ออฟฟิศ แฟรนไชส์ Night at the Museum และ Date Night ในตอนที่ดรีมเวิร์คส์เสนอไอเดียสำหรับ Real Steel กับเขา เขาบอกว่าเขาสนใจโปรเจ็กต์นี้เพราะการนำเสนอของสตีเวน สปีลเบิร์กและสเตซีย์ สไนเดอร์ “พวกเขาโทรหาผมเพื่อคุยถึงสิ่งที่ตอนแรกฟังดูเหมือนไอเดียเพี้ยนๆ สำหรับหนังเรื่องหนึ่ง” เลวีพูดถึงการตอบสนองต่อเรื่องราวในตอนแรกของเขา “แน่นอนครับว่าผมปลื้มใจมาก แต่ผมก็หวั่นๆ เกี่ยวกับพล็อตเรื่องนี้ แต่แล้วผมก็ได้มาอ่านบท สิ่งที่ผมพบคือโอกาสในการสร้างหนังสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับพ่อ/ลูกชาย/กีฬา มันเป็นไอเดียที่น่าตื่นเต้นสำหรับผม”

“เราตื่นเต้นมากที่ได้ร่วมงานกับชอว์นค่ะ” สเตซีย์ สไนเดอร์ หุ้นส่วนหลัก/ผู้อำนวยการร่วม/CEO แห่งดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ ให้ความเห็น “และเราก็เชื่อว่ากับหนังเรื่องนี้ เขาทำงานได้ยอดเยี่ยมกว่าผลงานดีๆ ก่อนหน้านี้ของเขาเองเสียอีก Real Steel เป็นจุดเปลี่ยนสำหรับเขาอย่างแท้จริงค่ะ”

สมัยเด็ก ชอว์น เลวีไม่ได้ชื่นชอบเพียงแค่การชกมวยเท่านั้น แต่เขายังชื่นชอบภาพยนตร์เกี่ยวกับการชกมวยอย่างเช่น Raging Bull และแฟรนไชส์ Rocky อีกด้วย “แม้แต่หนังที่ไม่ได้ดีเด่นมากนักก็เยี่ยมแล้วเพราะปกติแล้ว มันจะมีตัวเอกที่เป็นฮีโรตกอับ และคุณก็อยากให้เขาเชิดหน้าชูตาได้ ให้เขาได้พยายามสุดความสามารถและคว้าชัยชนะมาได้ในที่สุด” ผู้กำกับกล่าว “Real Steel เป็นการแสดงความเคารพต่อหนังชกมวยเหล่านั้น ที่ผมได้ดูกับพี่น้องผมมาห้าสิบครั้งเห็นจะได้”

อย่างที่เลวีอธิบายต่อไปว่า "ผมคิดว่าคนตอบสนองกับแง่มุมที่ชัดเจนของการเป็นผู้ชนะ/ผู้แพ้ของการแข่งขันชกมวย มันเรียบง่ายมากๆ และผมคิดว่าความสนใจในกีฬาชนิดนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยความเรียบง่ายนั้น พอเราได้นักชกเก่งๆ อย่างอาลีหรือชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ดมา มันก็จะมีอะไรน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่กีฬาชนิดอื่นเทียบไม่ได้เลย"

เลวีกล่าวถึงสโคปของ Real Steel พลางชี้ให้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ "ไม่ใช่หนังฟอร์มเล็กแน่ๆ" แต่เป็นภาพยนตร์ที่มีสเกลยิ่งใหญ่ ที่เหนือกว่าทุกเรื่องเท่าที่เขาเคยทำมา "หุ่นยนต์ชกมวยเป็นกีฬาดังที่มีภาพน่าตื่นตาตื่นใจครับ" เขาบอก “แต่นอกเหนือจากนั้น หนังเรื่องนี้เองก็พร้อมพรั่งไปด้วยภูมิทัศน์และโลเกชันที่กว้างขวาง เปิดโล่ง มันเป็นโร้ดทริปผ่านภูมิประเทศแบบอเมริกันครับ”

หากแต่ผู้กำกับเลวีก็ไม่อยากจะพึ่งพาแต่ทิวทัศน์ที่เปิดโล่งหรือหุ่นยนต์ที่วิเศษสุดในเรื่องของการสำรวจความสัมพันธ์ในเรื่องราวนี้ “สำหรับผม หนังเรื่องนี้จะเป็นแค่หนังที่ใหญ่ ดังและเจ๋งไม่ได้” เลวีบอก “ไม่งั้นมันก็ไม่แปลกใหม่ บทหนังเรื่องนี้มีแก่นที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์ที่ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ ดังนั้น หนังเรื่องนี้ก็จะต้องเป็นลูกผสมระหว่างแอ็กชันมันส์หยดและสเกลใหญ่ ด้วยเรื่องราวที่อบอุ่นหัวใจและจริงใจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นเรื่องของการไถ่บาปครับ”

ชาร์ลีย์ เคนตัน ตัวละครของฮิวจ์ แจ็คแมน สมัยหนุ่มเคยเป็นนักมวยรุ่นเฮฟวีเวทมาก่อน แต่เขากลายเป็นเหมือนตำนานที่ล้าสมัยไปแล้วในยุคของเขา ผู้กำกับเลวีอธิบายว่า "ซ้ำร้ายตอนนี้ ชาร์ลีย์จะต้องยังชีพอยู่ด้วยหุ่นยนต์ที่ทำให้เขาตกงาน เขามีทั้งความต้องการระคนกับความขุ่นเคืองใจกับหุ่นยนต์ที่เขาใช้งานและผลักดันในการต่อสู้ครับ"

เมื่อชาร์ลีย์จำเป็นต้องกลับมาพบกับแม็กซ์ ลูกชายที่ถูกเขาทิ้งไปนานอย่างไม่เต็มใจ ก็เห็นได้ชัดว่าสิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันคือความไม่พอใจที่มีต่อกัน แต่พวกเขาก็มีความสนใจอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือการชกมวยของหุ่นยนต์ และพวกเขาก็เริ่มสานสายสัมพันธ์ทีละก้าวๆ อย่างยากเย็น ในตอนแรก มันก็ไม่ใช่สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นนัก แต่เมื่อพวกเขาไปเจอหุ่นยนต์เก่าในลานทิ้งขยะ การเดินทางไปสู่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้อำนวยการสร้างดอน เมอร์ฟีย์อธิบายว่า "ในตอนแรกที่เราได้พบชาร์ลีย์ เขาอยู่ในจุดต่ำสุด เขากำลังจัดการชกมวยของหุ่นยนต์ตามงานแฟร์ในท้องถิ่น แต่ระหว่างเรื่อง เราก็จะได้ติดตามเขาผ่านการผจญภัยที่มีทั้งขึ้นและลง ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของเขาในการแข่งขันและเอาชนะในลีก WRB (เวิลด์ โรบ็อต บ็อกซิง ลีก) น่ะครับ"

แต่ด้วยการรวมตัวกันของคนขี้แพ้ หุ่นยนต์กระป๋อง และเด็กเข้มแข็ง ผู้ท่องทุกสถิติของ WRB ได้ขึ้นใจ ชาร์ลีย์ก็มีโอกาสมากกว่าแค่เอาชนะ เพราะเขามีโอกาสที่จะได้ไถ่บาปของตัวเอง

ด้วยความที่เขามาจากโลกของคอเมดี เลวีกล่าวว่า แม้ว่าเขาจะคิดว่ากองถ่ายคอเมดีจะสดใส สนุกสนาน เขาก็คิดด้วยว่ากองถ่ายดรามาจะต้องเข้มข้น จริงจัง และเขาก็ดีใจที่รู้ว่าเขาคิดผิด "ผมพบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่ว่าผมจะกำกับหนังแนวไหน ผมก็รักงานนี้ ผมรักการไปทำงานทุกวัน และความรู้สึกนั้นก็กระจายตัวออกไป ผมอยากให้กองถ่ายของผมเป็นสถานที่ที่คนรู้ว่าพวกเขาจะสร้างงานที่ดีที่สุดและจะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่ผมกำหนดแผนการคร่าวๆ ให้ทีมงานสำหรับวันนั้นๆ แต่ก็เปิดกว้างสำหรับการค้นพบและการอิมโพรไวส์ครับ มีหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ที่ไม่อยู่ในสคริปต์ ผมพบว่าการทำให้กองถ่ายผ่อนคลาย จะทำให้มีพื้นที่สำหรับเซอร์ไพรส์ที่สร้างสรรค์ครับ"

ด้วยความที่เขาเป็นที่ชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์และความเป็นมิตรเหลือเกิน เลวีจึงมักจะดึงดูดทีมงานเบื้องหลังที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในวงการ อย่างที่เขากล่าวว่า "ผมโชคดีจริงๆ ครับ ผมสร้างหนังทุกปีหรือทำนองนั้น ผมไม่สามารถทำแบบนี้ได้ถ้าไม่มีทีมงานที่เก่งที่สุดในสายงานของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเมาโร ฟิโอเร [ผู้กำกับภาพ] ทอม ไมเยอร์ [ผู้ออกแบบงานสร้าง] มาร์ลีน สจวร์ต [ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย] ไปจนถึงจอช แม็คแล็กเลนและแมรี แม็คแล็กเลน [พี่น้องผู้ควบคุมงานสร้าง] และแน่นอนดีน ซิมเมอร์แมน มือลำดับภาพของผม ผู้เป็นเหมือนมายากล นอกจากนั้นแล้ว ทีมงานช่วงโพสต์ของผมก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน นี่เป็นหนังเรื่องที่ห้าแล้วที่เราร่วมงานกันครับ"

ผู้อำนวยการสร้างซูซาน มองท์ฟอร์ดได้กล่าวสรุปความรู้สึกของทีมผู้สร้างที่ได้ตัวชอว์น เลวีมากำกับ Real Steel ว่า "เราทึ่งในตัวชอว์นจริงๆ เพราะเขาเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม เขาสร้างแรงบันดาลใจให้เราอย่างมากและดูเหมือนจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมงานและนักแสดงทำงานอย่างดีที่สุดด้วย การที่ทุกคนมาที่กองถ่าย ด้วยความต้องการอยากจะทำให้มันเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม และรักในสิ่งที่พวกเขาทำเป็นความสำเร็จทีเดียวสำหรับผู้กำกับค่ะ"

ทีมนักแสดง

ผู้กำกับเลวีและทีมอำนวยการสร้างของเขาใช้เวลาอยู่นานในการค้นหานักแสดงที่เหมาะกับแต่ละบทบาทใน Real Steel และพวกเขาก็ตื่นเต้นที่ทุกคนใส่สิ่งที่เกินกว่าความคาดหวังเข้าไปในตัวละครของพวกเขา

ค่านิยมของโปรเจ็กต์นี้ ที่ดึงดูดใจฮิวจ์ แจ็คแมน (X-Men Origins: Wolverine, The Prestige) ให้สนใจบทชาร์ลีย์คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ผู้กำกับและดรีมเวิร์คส์กระตือรือร้นจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์นี้ แจ็คแมนบอกว่า “สิ่งที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับบทหนังเรื่องนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ/ลูก และไอเดียที่ว่าคนที่เคยทำผิดพลาด มีเรื่องที่เสียใจ จะได้มีโอกาสแก้ตัว เพื่อที่พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้นได้”

นอกจากนี้ แจ็คแมนยังสนใจโลกที่เกิดเรื่องราวเกิดนี้ขึ้นอีกด้วย “ผมชอบไอเดียของช่วงเวลาอนาคตที่ไม่ไกลเกินไปนัก มันเป็นอนาคตที่ดูเหมือนว่าเราจะเข้าถึงได้” นักแสดงเจ้าของรางวัลกล่าว “แล้วผมก็เป็นแฟนกีฬาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นไอเดียของหุ่นยนต์ที่ชกมวยก็เลยทำให้ผมหลงใหล และแน่นอนมันเป็นเรื่องราวของคนขี้แพ้จริงๆ ที่คนที่กล้าหาญที่สุดจะได้ชัยชนะ มันเป็นหนังฟีลกู๊ดจริงๆ ครับ และสำหรับผม มันก็แตกต่างจากทุกสิ่งที่ผมเคยผ่านมาก่อน แล้วการร่วมงานกับชอว์น เลวีก็เป็นอะไรที่ผมไม่ต้องคิดมากเลย ชอว์นเป็นคนที่คิดบวก มีพลังเหลือล้นและสนุกที่สุดที่ผมได้อยู่ด้วย การถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและเพลิดเพลินที่สุดเท่าที่ผมเคยผ่านมาเลยล่ะครับ” ผู้กำกับเลวีเองก็มีความชื่นชมในตัวนักแสดงของเขาด้วยเช่นกัน "ฮิวจ์ แจ็คแมน เป็นที่รู้จักในฐานะคนที่ดีที่สุดในวงการบันเทิง ผมยืนยันความจริงของข่าวลือนั้นได้เลยครับ" เขาพูดอย่างจริงใจ "มันเพี้ยนก็จริง แต่มันเหมือนกับว่าไม่มีใครเคยบอกว่าเขาหน้าตาดี และเป็นดาราหนังคนดังมาก่อน ผมหวังว่าเราจะเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับได้เพราะเขาดีเกินกว่าคนที่มีคุณสมบัติทั้งหมดนั่น เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดและเขาก็ใส่เอาคุณสมบัติที่น่ารักและน่าเห็นอกเห็นใจที่ซ่อนอยู่นั้นใส่ลงไปในตัวชาร์ลีย์ ผู้อาจจะเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง และเข้มแข็งได้น่ะครับ"

สำหรับบทแม็กซ์ ลูกชายที่ถูกตัวละครของแจ็คแมนทอดทิ้งตั้งแต่เด็กๆ ทีมผู้สร้างได้ออดิชันเด็กชายหลายร้อยคนและได้พบนักแสดงรุ่นเยาว์ที่มีความสามารถพิเศษมากมาย “เรารู้สึกเสมอว่า มีเด็กคนหนึ่งที่จะมีพรสวรรค์และมีลุคตามที่เราต้องการ แต่เขาก็จะต้องมีอะไรบางอย่างพิเศษ บางอย่างที่คุณบอกไม่ถูก แต่เป็นความมหัศจรรย์ยามอยู่บนหน้าจอครับ” ผู้กำกับเลวีบอก

ทีมผู้สร้างได้ประกาศคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทนี้ไปทั่วและแจ็คแมนก็เล่าว่า "พอดาโกต้าเข้ามา ผมกับชอว์นก็อึ้งไปเลย เขามีอะไรบางอย่างที่น่าค้นหา กล้องเหมือนจะส่องทะลุเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เขาปล่อยให้กล้องส่องเข้าไปข้างใน ซึ่งสำหรับเด็กอายุเท่านี้ เป็นเรื่องหาได้ยากนะครับ ใบหน้าเขามีลักษณะเหมือนเทวดา เขาเป็นคนที่ร่าเริงและมีความสุขตามธรรมชาติ และเขาก็เป็นเด็กที่มีสัมมาคารวะและน่ารักมากๆ ด้วย เขาเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ทั้งในจอและนอกจอครับ"

ดาโกต้า โกโยได้ออดิชันสำหรับบทแม็กซ์สี่ครั้ง สองครั้งทางเทปและอีกสองครั้งด้วยการแสดงต่อหน้าในลอสแองเจลิส ในแอลเอ เขามีโอกาสได้ร่วมงานกับฮิวจ์ แจ็คแมนและเล่าถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า "ผมไม่รู้สึกประหม่าเลยเวลาอยู่ใกล้ๆ ฮิวจ์เพราะเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยม เท่ระเบิด เขาสุภาพมากๆ และเขาก็พร้อมที่จะทำงานเสมอ ผมตื่นเต้นจริงๆ เวลาได้ร่วมงานกับเขาเพราะเขาเป็นคนที่พิเศษสุดจริงๆ ครับ"

สำหรับบทเบลลีย์ ซึ่งตกเป็นของดาราสาวยอดนิยมจากแวดวงจอแก้ว อีวานเจลีน ลิลลี (Lost) ผู้กำกับเลวียอมรับว่า เขาเป็นแฟนผลงานเธออยู่แล้ว และก็ตื่นเต้นมากที่เธอตอบตกลงรับบทนี้ “ผมชื่นชมอีวานเจลีนครับ” เลวีกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ผมคลั่งไคล้เธอมากใน Lost ผมเป็นแฟนตัวยงของซีรีส์นั้นครับ ใน Real Steel ไม่เพียงแต่เธอจะแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในฉากดรามาใหญ่ระหว่างเธอกับดาโกต้า และระหว่างเธอกับฮิวจ์เท่านั้น แต่เธอยังแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมตอนที่เธออยู่ท่ามกลางฝูงคนนับพันๆ คนที่ดูการชกอยู่ ในคัทสั้นๆ ระหว่างการต่อสู้พวกนั้น เธอได้ใส่พลังที่มีชีวิตชีวามากมายเข้าไป เธอเป็นเหมือนตัวแทนผู้ชมสำหรับเรา เธออินและสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากครับ”

ลิลลีรู้สึกสนใจบทเบลลีย์หลังจากอ่านบทภาพยนตร์เรื่อง Real Steel ที่เอเจนท์เธอส่งมาให้เธอ ลิลลีเล่าว่า “ฉันประทับใจและซาบซึ้งมาก บทหนังเรื่องนี้เขียนขึ้นมาได้อย่างดีและอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน ฉันอยากได้บทนี้ค่ะ”

นอกเหนือจากบทที่ดีแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูดลิลลีเข้าหาโปรเจ็กต์นี้และนั่นคือโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับฮิวจ์ แจ็คแมน "ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้ดูหนังเรื่อง The Fountain โดยดาร์เรน อโรนอฟสกี้ ที่ฮิวจ์ แจ็คแมนนำแสดง ฉันก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าฉันมีโอกาสได้ร่วมงานกับฮิวจ์ ฉันจะกระโจนเข้าใส่โอกาสนั้น เขาน่าประทับใจเหลือเกินในหนังเรื่องนั้น ฉันก็เลยตัดสินใจจากการที่เขาตกลงรับเล่นหนังเรื่องนี้แล้วว่าฉันจะต้องแสดงเรื่องนี้ โบนัสก็คือบทภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนได้ดีมากและชอว์น เลวีก็เป็นผู้กำกับด้วย"

ลิลลีได้พบกับผู้กำกับเลวีเพื่อออดิชันสำหรับบทนี้ และทันทีที่พวกเขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกัน เธอก็บอกว่า เธอตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ "ชอว์นเป็นคนน่ารักมากค่ะ" เธอบอก "ฉันพูดเสมอว่า เขา 'ระยิบระยับ' เหลือเกิน เขาเป็นคนที่มีความสุข กระตือรือร้นและมีพลังงานแง่บวกที่ล้นเหลือ มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะตกหลุมพรางของแวดวงนี้ ที่คุณจะมองตัวเองซีเรียสเกินไปและจริงจังกับงานที่คุณทำมากเกินไป แต่ชอว์นทั้งขี้เล่น คอยให้ความร่วมมือและสนุกมากค่ะ"

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เบลลีย์ ตัวละครของลิลลีเป็นลูกสาวของอดีตครูฝีกของชาร์ลีย์จากสมัยเมื่อเขายังเป็นนักมวยหนุ่ม พวกเขารู้จักกันมาเกือบตลอดชีวิต พวกเขาอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กันตอนที่ยังอายุน้อย แต่ความพึงพอใจระหว่างพวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายเท่านั้น แต่มันเกิดจากการที่พวกเขารู้จักกันและกันอย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขารู้ว่าอะไรที่จะกระตุ้นอีกฝ่ายได้ เบลลีย์รู้จักชาร์ลีย์ดีกว่าทุกคน และระหว่างพวกเขาก็มีแรงดึงดูดบางอย่างที่เป็นนัยซ่อนเร้นอยู่ในเรื่องด้วย

หลังจากได้ดู Hurt Locker ชอว์น เลวีก็รู้ว่าเขาต้องการให้แอนโธนี แม็คกี้มาอ่านบท Real Steel ในบทฟินน์ เจ้าของแครช พาเลซ แม็คกี้เล่าว่า "ผมอึ้งกับเรื่องราวนี้จริงๆ ผมไม่เคยอ่านอะไรแบบนี้มาก่อน ฟินน์เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์อย่างมาก ผมคุยกับชอว์นแล้วบอกเขาว่า ผมตื่นเต้นมากที่จะรับบทนี้ครับ"

สำหรับนักแสดงคนอื่นๆ ทีมผู้สร้างได้เลือก โฮป เดวิส ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี (God of Carnage) รับบทเด็บราห์ ป้าของแม็กซ์ ผู้มุ่งมั่นจะแย่งสิทธิในการเลี้ยงดูหลานชายของเธอมาครองให้ได้ และเจมส์ เร็บฮอร์น (White Collar, 30 Rock) รับบทมาร์วิน บาร์เนส สามีอายุมากกว่าที่ร่ำรวยของเธอ ที่สามารถเลี้ยงดูแม็กซ์ถ้าศาลตัดสินให้พวกเขารับอุปการะเด็กคนนี้ได้ เควิน ดูแรนด์ ผู้ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับฮิวจ์ แจ็คแมนใน X-Men Origins: Wolverine และกับอีวานเจลีน ลิลลีใน Lost มาแล้ว ได้รับบทริคกี้ โปรโมเตอร์มวยหุ่นยนต์ ผู้แม้จะเป็นเพื่อนกับชาร์ลีย์มานาน ก็ไม่ลังเลที่จะสู้กับชาร์ลีย์เพื่อทวงหนี้

นักแสดงหญิงชาวรัสเซีย โอลก้า ฟอนดา ผู้มีผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ไม่กี่เรื่อง รับบทเจ้าของหุ่นยนต์ชาวรัสเซีย ส่วนคาร์ล ยุน (Memoirs of a Geisha, Speed Racer) รับบททัค มาชิโดะ นักออกแบบหุ่นยนต์ชื่อก้องโลก ตำนานผู้บุกเบิกกีฬาการชกมวยของหุ่นยนต์ขึ้นมา

“โฮป เดวิส, เควิน ดูแรนด์, เจมส์ เร็บฮอร์น, คาร์ล ยุน, โอลก้า ฟอนดาและแอนโธนี แม็คกี้ ทุกคนเป็นนักแสดงที่น่าอัศจรรย์ครับ" ผู้กำกับเลวีบอก

“บทบาทของพวกเขาอาจจะเป็นบทสมทบก็จริง แต่คนที่วิเศษสุดเหล่านี้ได้สร้างชีวิตและเท็กซ์เจอร์รวมทั้งมิติมากมายให้กับสิ่งที่อาจจะเป็นได้แค่ตัวละครธรรมดาๆ ทุกครั้งที่พวกเขาปรากฏบนหน้าจอ พวกเขาก็จะนำมาซึ่งสิ่งที่คาดไม่ถึงและหนังเรื่องนี้ก็ดีขึ้นเยอะเมื่อได้พวกเขามาแสดงครับ" เขากล่าวสรุป

หุ่นยนต์

ผู้ควบคุมงานสร้าง สตีเวน สปีลเบิร์กมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยในการออกแบบบรรดาหุ่นยนต์และเขาก็บอกผู้กำกับชอว์น เลวีตั้งแต่ต้นว่าเขาไม่ควรจะสร้างทุกอย่างด้วยดิจิตอล แม้ว่าเทคโนโลยีจะสามารถทำแบบนั้นได้แล้ว เลวีอธิบายว่า "สตีเวน สปีลเบิร์กบอกกับผมว่า เขาสร้าง Jurassic Park เมื่อนานมาแล้ว แต่ด้วยความที่พวกเขาได้สร้างหุ่นไดโนเสาร์และหุ่นจักรกลขึ้นมาจริงๆ บางส่วน การแสดงก็เลยจะมีความสมจริงในแบบที่จะไม่เกิดขึ้นถ้ามันเป็นแค่ของปลอม ดังนั้นในมีตติ้งครั้งแรกเริ่มนั่นเองที่สปีลเบิร์กบอกว่าให้เราสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา เราก็เลยสร้างมันขึ้นมาสี่ตัว นั่นเป็นคำแนะนำที่ดีมากๆ เพราะนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้การแสดงให้ความรู้สึกสมจริงและสะเทือนอารมณ์เหลือเกินครับ เพราะพวกเขากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับหุ่นยนต์จริงๆ” ทีมผู้สร้างหันไปใช้งานทีมงานพรสวรรค์ฝีมือเยี่ยมจากเลกาซี เอฟเฟ็กต์ให้เป็นผู้ออกแบบพวกหุ่นยนต์ และพวกเขาก็ได้สร้างนักมวยมหัศจรรย์หลากหลายรูปแบบให้กับ Real Steel ซึ่งแต่ละตัวก็ล้วนแล้วแต่มีบุคลิกลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งนั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้ หุ่นยนต์จะถูกควบคุมโดยผู้บังคับที่เป็นมนุษย์ ด้วยรีโมตไฮเทคและแผงควบคุม แต่พวกเขาก็เป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ผู้อำนวยการสร้างซูซาน มองท์ฟอร์ดกล่าวว่า "คุณสามารถสร้างหนังเกี่ยวกับหุ่นยนต์แต่ละตัวได้เลยเพราะพวกเขามีลักษณะนิสัยที่พัฒนาขึ้นชัดเจนอยู่แล้ว" ผู้อำนวยการสร้างดอน เมอร์ฟีย์กล่าวเสริมว่า "กุญแจสำคัญคือการสร้างตัวละคร เพราะพวกเขาจะต้องมีรายละเอียดสมบูรณ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตก็จริง แต่พวกเขาก็จะต้องใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุดเพื่อที่ผู้ชมจะรู้สึกเห็นใจพวกเขา พวกเขาเป็นตัวละครที่ผู้ชมจะจดจำได้และเข้าถึงได้ครับ" ด้วยความคิดนี้ ทีมผู้สร้างต้องการให้หุ่นยนต์หมัดหนักแต่ละตัวมีบุคลิกและลักษณ์เฉพาะตัว รวมทั้งมีสีสันที่แตกต่างกันออกไปด้วย หุ่นยนต์จะมีขนาดตั้งแต่ 7 ฟุต 6 นิ้ว ไปจนถึง 8 ฟุต 5 นิ้ว และมีลักษณะเหมือนมนุษย์ตรงที่มันมีแขนสองข้าง ขาสองข้าง มีลำตัวและส่วนหัว (หรือสองหัว ในกรณีของทวิน ซิตี้) แต่พวกมันก็สามารถทำสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ มันเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่ท้าทายแต่ก็คุ้มค่าสำหรับนักออกแบบหุ่นยนต์และทีมผู้สร้างในการคิดลักษณะที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับหุ่นยนต์ต่างๆ ผู้กำกับเลวีกล่าวว่า “ผมอยากให้ผู้ชมตระหนักถึงความจริงที่ว่า แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะมีพล็อตแบบไซไฟ แต่หุ่นยนต์พวกนี้ก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ไซไฟ หุ่นยนต์พวกนี้เป็นสิ่งที่เราอยากจะเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถสร้างขึ้นมาได้ในอนาคตอันใกล้ นอกเหนือจากเรื่องสเกลแล้ว พวกมันไม่ได้มีสเกลขนาด ‘Transformers’ และพวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เทียมทาน เราได้สร้างความเปราะบางและความเป็นมนุษย์เข้าไปในแบบที่ทำให้เรานึกถึงหนังก่อนหน้านี้อย่าง Iron Giant หรือ Wall•E น่ะครับ” นอกจากเลวีจะอยากให้หุ่นยนต์แต่ละตัวมีลุคที่แตกต่างกันและให้ความรู้สึกเป็นออริจินอลแล้ว เขายังอยากให้หุ่นยนต์ทุกตัวมีเสียงเฉพาะตัวด้วย นั่นหมายถึงสองสิ่ง หนึ่งคือเมื่อหุ่นยนต์ปล่อยหมัด โครงเหล็ก กลไก ลำตัวและมวลสารของเขาจะมีเสียงที่เฉพาะเจาะจง แล้วมันยังมีเสียงที่เป็นออรา ที่แค่เปิดเครื่อง หุ่นยนต์ทุกตัวก็จะมีเสียงฮัมจากเครื่องยนต์หรือคอมพิวเตอร์ เคร็ก เฮนิแกน นักออกแบบเสียง สนุกกับการสร้างเสียงที่ไม่ได้มีอยู่แล้วในห้องสมุดเสียง เขาออกไปบันทึกเสียงที่ต้องใช้ด้วยตัวเอง เช่นเสียงในลานทิ้งขยะ เสียงรถชน เสียงเหล็กกระทบเหล็ก และ ฯลฯ ด้วยอิทธิพลจากเสียงที่หลากหลาย เขาก็ลองเล่นบางเสียงแบบย้อนกลับ หรือปรับพิทช์เสียงบางเสียง ผู้กำกับเลวีบอกว่า "เสียงหุ่นยนต์ทุกตัวเป็นเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตัวนั้นๆ เท่านั้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมเก้าในสิบคนจะไม่รู้หรือไม่สนใจ แต่ผมเชื่อว่า มันจะช่วยสร้างความหลากหลายภายในหนังที่ออริจินอลครับ" ในขณะที่หุ่นยนต์ตัวอื่นๆ ทั้งวิบวับเป็นประกายและดูโดดเด่น อะตอม หุ่นยนต์ตัวเอก กลับถูกเก็บมาจากกองขยะและแสดงให้เห็นถึงร่องรอยเหล่านั้น ทั้งรอยขูดขีด ครูด แต่ดวงตา LED สีฟ้าของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ทำให้เขามีเสน่ห์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ อะตอมมีฟังค์ชัน "โหมดเงา" พิเศษ ที่จะเลียนแบบทุกการ เคลื่อนไหวที่เขาเห็น ดังนั้น เมื่อชาร์ลีย์ชกลมกับเขา อะตอมก็เลยเลียนแบบ การเคลื่อนไหวแบบเก่าๆ ของชาร์ลีย์ และนำความเป็นมนุษย์ใส่ลงไปใน การชกมวยด้วยความสง่างามและความมีระดับในแบบที่ถูกลืมเลือนไป แล้วในสังเวียน หุ่นนักมวย

อะตอม: อะตอมอาจจะไม่ใช่ “หุ่น” ที่ตัวใหญ่ที่สุดหรือเก๋ไก๋ที่สุดในกลุ่ม แต่มันเป็นหุ่นยนต์ที่พิเศษที่สุด เพราะมันเป็นหุ่นยนต์ “ฮีโร” ซูส: แชมป์การแข่ง WRB ร่างใหญ่มหึมา ใครๆ ต่างก็พูดถึงมันว่าเป็น “เดธ สตาร์” ซูสถูกทาด้วยสีดำเงาวับ มีกลไกการปล่อยหมัดกระสุนที่แขน ไม่เพียงแต่มันจะไม่รู้จักคำว่าแพ้ แต่ไม่เคยมีหุ่นยนต์ตัวไหนรอดชีวิตจากการดวลกำปั้นกับมันด้วย ไมดัส: หุ่นยนต์ผมทรงโมฮอว์ค ที่มีลำตัวสีทองและแดง มันเป็นนักสู้โดยแท้ ที่ไม่เคยทำตามกฎใดๆ มันจะใช้ทุกวิธีการไม่เลือกหน้าเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ นอยซี่ บอย: อดีตหุ่นยนต์ที่เคยลงแข่งลีก แต่เมื่อมันแพ้บ่อยครั้งเข้า มันก็ถูกเนรเทศให้ไปชกมวยโชว์ในอเมริกาใต้และเอเชีย ตอนนี้ มันกลับมาแล้ว แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่หุ่นระดับลีกอีกต่อไปแล้ว มันก็เลยต้องต่อสู้บนสังเวียนใต้ดินแทน แอมบุช: แอมบุชเป็นหุ่นยนต์วงจรต้นทุนต่ำ การต่อสู้ที่ดีที่สุดที่ชาร์ลีย์สามารถจัดให้กับแอมบุชได้คือการสู้กับสัตว์ ทวิน ซิตี้: ทวิน ซิตี้ เป็นหุ่นยนต์สองหัวตัวร้าย ที่มีลำตัวส่วนบนเป็นบล็อกหนา เมโทร: ด้วยแขนสีเขียวข้างหนึ่ง และสีฟ้าข้างหนึ่ง ซึ่งทั้งสองข้างก็มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน เมโทรก็เลยดูเหมือนแฟรงเกนสไตน์ที่ถูกซ้อมมา

สิ่งที่ทำให้อะตอม "พิเศษ" คือคำถามที่มือเขียนบทและทีมผู้สร้างใช้เวลาพูดคุยกันอยู่นาน อะตอมเป็นแค่ตัวโปรแกรมและเหล็ก หรือเขามีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับสติสัมปชัญญะ เลวีกล่าวเสริมว่า ในช่วงเริ่มต้นการถ่ายทำ ผู้ควบคุมงานสร้างโรเบิร์ต เซเมคิส บอกว่าเส้นแบ่งระหว่างการบอกว่าอะตอมมีความรู้สึกหรือไม่เป็นเรื่องที่รักษาสมดุลได้ยากที่สุด “แต่ถ้าคุณทำได้อย่างพอเหมาะล่ะก็ นั่นคือการที่หนังจะมีบทกวีของตัวเองครับ” เลวีบอก “มันเป็นตอนที่หนังสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกขนลุกได้”

สำหรับนักแสดงบางคน การมีหุ่นยนต์ขนาดเท่าตัวจริงในกองถ่ายเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างยิ่ง แอนโธนี แม็คกี้เล่าว่า “มันเป็นวันแรกในกองถ่ายของผม แล้วผมก็กำลังคุยกับชอว์น [เลวี] อยู่ หางตาผมเหลือบไปเห็นหุ่นยนต์ร่างใหญ่ยักษ์ตัวนี้ ซึ่งผมคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็น…มันน่าทึ่งมาก แล้วหุ่นยนต์ตัวนี้ก็เริ่มหันไปมา ผมรอให้มันเห็นผมแล้วเข้ามาต่อยผม! ตอนนั้น ผมรู้เลยว่าแนวหนังที่เราทำจะแตกต่างจากที่ผมจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”

การชกมวย

ชูการ์ เรย์ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด เกิดในปาล์มเมอร์ ปาร์ค, แมรีแลนด์ เขาเริ่มต้นชกมวยในปี 1969 เมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาเป็นเด็กเงียบขรึม เขากล่าวว่า เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาชกมวยคือเพื่อป้องกันตัวเองจากพี่ๆ ของเขา “พวกเขาเคยซ้อมผมอย่างไม่มีเหตุผล” เลียวนาร์ดเล่า “ไม่มีใครเชื่อว่าผมจะเป็นนักมวยเพราะผมเป็นเด็กเงียบๆ ขี้อาย แต่ผมก็ไม่คิดสนใจกีฬาประเภทอื่น ฟุตบอลอันตรายเกินไป บาสเก็ตบอลผมก็เล่นไม่ได้ ส่วนเบสบอลก็ไม่เข้าท่าเพราะผมกลัวลูกเบสบอล แต่ชกมวยเป็นกีฬาที่ผมสามารถควบคุมได้ครับ”

เมื่อคำนึงถึงท่าการต่อสู้ ชอว์น เลวีรู้ว่าเขาอยากให้การต่อสู้ทุกครั้งแตกต่างกันและต้องการจะใช้ประโยชน์จากการที่หุ่นยนต์ไม่ใช่มนุษย์ “พวกเขาไม่เหนื่อย พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวช้าลง” เลวีบอก “ดังนั้น ความเป็นไปได้ในการออกแบบท่าการต่อสู้ก็เลยเปิดกว้าง และการ์เร็ตต์ วอร์เรน ผู้ออกแบบการต่อสู้ให้กับเรา ก็ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งมีเอกลักษณ์ของตัวเองครับ” “การต่อสู้ในลีกจะยึดหลักตามการชกทั่วไป ในขณะที่การต่อสู้แบบใต้ดินจะเหมือน MMA (ศิลปะการต่อสู้แบบผสม) มากกว่า” เลวีบอก “การล็อคคอ ใช้เข่า ศอก ทุกอย่างทำได้ทั้งนั้น ดังนั้น การออกแบบท่าต่อสู้ก็เลยหลากหลายและสนุกมากๆ นอกจากนั้น มันยังมีโครงสร้างการเล่าเรื่องในการต่อสู้ทุกครั้งด้วย พอมีใครได้เปรียบ จังหวะก็จะเปลี่ยน มันมีความเปลี่ยนแปลงในแบบที่ทำให้การต่อสู้ทุกครั้งกลายเป็นเรื่องราวภายในท่าต่อสู้น่ะครับ” ทีมงานได้ว่าจ้างชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ผู้ได้รับการยกย่องในวงกว้างให้เป็นหนึ่งในนักมวยที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาล ด้วยการคว้าแชมป์ด้วยน้ำหนักที่แตกต่างกันห้ารุ่น ให้มาทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านการชกมวยของเรื่องและให้ฝึกฮิวจ์ แจ็คแมนสำหรับการปรากฏตัวบนสังเวียน อย่างที่ผู้อำนวยการสร้างดอน เมอร์ฟีย์อธิบายว่า “หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เราทำเพื่อทำให้การชกมวยหุ่นยนต์สมจริงและเข้าถึงได้คือการให้ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ดมาออกแบบท่าต่อสู้ นอกจากจะเพื่อแสดงให้นักแสดงในชุดโมชัน แคปเจอร์เห็นว่าจะต้องออกท่าทางอย่างไรแล้ว แต่ยังแสดงให้ผู้กำกับและทีมสตันท์ได้เห็นด้วยว่าแต่ละหมัดจะปล่อยออกไปอย่างไร เขาทำให้เห็นถึงการเปรียบเทียบกับการต่อสู้จริงๆ ทำให้พวกเขาดูไม่เหมือนเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ตรงเข้าดวลหมัดกันน่ะครับ” ฮิวจ์ แจ็คแมนตื่นเต้นมากเมื่อเลียวนาร์ดถูกเลือกเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความที่พ่อของแจ็คแมนก็เคยเป็นนักมวยและเป็นแชมป์ของกองทัพ ที่ขึ้นชกบนสังเวียนจนกระทั่งเขาอายุได้ยี่สิบต้นๆ แจ็คแมนบอกว่า “ตอนที่ผมบอกพ่อว่าผมจะแสดงหนังเรื่องนี้และได้ร่วมงานกับชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ผมคิดว่าผมไม่เคยเห็นเขาตื่นเต้นหรือแสดงความสนใจมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เขาเป็นชาวอังกฤษ เขาก็เลยค่อนข้างจะเก็บความรู้สึก เขาบอกผมว่าในบรรดานักมวยทั้งหมด ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ดเป็นแชมป์ตัวจริง ยังมีแชมป์คนอื่นๆ ก็จริง แต่อาจจะไม่มีใครที่ได้รับการยกย่องมากเท่าชูการ์ เรย์ แล้วพอคุณได้พบเขา คุณก็จะเข้าใจเรื่องนั้นดี เขาทั้งใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เขาให้ความรู้สึกที่เก่งกาจ กระตือรือร้น และยอดเยี่ยมและเขาก็เคารพคนอื่นอย่างมากครับ” “มันแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายคนนี้จะอยู่ในวังวนของการชกมวย ในสถานการณ์ที่โหดเหี้ยมและทารุณที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้ เพราะเขาเป็นคนดีและเป็นมิตรมากๆ ผมหมายถึงว่า แค่ได้พบเขาก็เจ๋งแล้ว แต่นี่ได้เขามาสอนผมอีก มันก็ยิ่งเยี่ยมเข้าไปใหญ่ เขาเป็นคนคิดท่าชกที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การได้ชูการ์ เรย์ มาสอนผม มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้วครับ” แจ็คแมนกล่าวสรุป น่าแปลกที่แม้ว่าธรรมชาติของกีฬานี้จะค่อนข้างรุนแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เห็นพ้องต้องกันว่า การชกมวยจะต้องอาศัยความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เลียวนาร์ดกล่าวเห็นด้วยว่า “ถ้าคุณเข้าใจความคิดของคู่ต่อสู้ของคุณ คุณก็จะเหนือกว่าเขา” เขากล่าว “โดยมากแล้ว ความมั่นคงทางจิตใจเป็นสิ่งที่จะช่วยส่งคุณไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้ ผมมองกีฬาประเภทนี้ว่าเป็นศิลปะ ก่อนการขึ้นชกทุกครั้ง ผมจะออกแบบการชกในความคิดและเก้าในสิบครั้ง การชกก็เป็นไปอย่างที่ผมจินตนาการไว้ครับ” เลียวนาร์ดกล่าวเสริมว่าเขาเชื่อว่าการเป็นนักมวยจะต้องเป็นตั้งแต่เกิด ไม่ใช่เกิดจากการฝึก อย่างไรก็ดี เขาก็สามารถสอนฮิวจ์ แจ็คแมนให้ดูสมจริงในฐานะนักมวยได้ “ผมดูฮิวจ์มาหลายปีแล้ว และเขาก็มีความจริงจังและร่างกายที่เหมาะที่จะเป็นนักมวย เขาเป็นนักเรียนที่ดี เขาเป็นผู้ฟังที่ดี และรับฟังในสิ่งที่ผมพูด เขาซึมซับมัน และทำตามที่ได้ฟังครับ” แม้ว่าแจ็คแมนจะเคยชกมวยมาก่อนในชีวิตจริง แต่เขาก็สนใจที่จะได้เรียนรู้ลูกไม้ด้านการชกมวยจากเลียวนาร์ดผู้เป็นหนึ่งในตำนานนักมวย เขาได้เรียนรู้วิธีการที่ถูกต้องในการคุ้มครองตัวเอง วิธีการปล่อยหมัดฮุคขวาและได้เรียนรู้ว่าเมื่อเราเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ร่างของคู่ชก มือที่ว่างอยู่ของเขาก็จะต้องตั้งการ์ดไว้ “มันมีเรื่องต้องปรับเปลี่ยนแค่เล็กน้อยเท่านั้นสำหรับฮิวจ์” เลียวนาร์ดบอก “เพราะเขาเป็นนักกีฬา ที่มีรูปร่างสมบูรณ์ เขาตามทันได้เร็วมาก” บางที องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดที่เลียวนาร์ดใส่เข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้คือความสมจริง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แจ็คแมนกลายเป็นพี่เลี้ยงให้กับอะตอม หุ่นยนต์นักมวยที่ไร้แวว เลียวนาร์ดก็เลยคุยกับฮิวจ์ แจ็คแมนอยู่นานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่เลี้ยงและนักมวย และความจริงจังของการเป็นพี่เลี้ยงข้างสนาม “ตัวละครของผมในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นพี่เลี้ยงนักมวย” แจ็คแมนอธิบาย “เขาไม่ใช่นักมวย แต่เป็นคนที่เป็นเจ้าของ ผู้ควบคุมและโปรโมตหุ่นยนต์พวกนี้ ผมก็เลยเป็นพี่เลี้ยงนักมวยครับ ชูการ์ เรย์คุยกับผมอย่างจริงจัง เขาบอกว่าเขาคิดว่าผมไม่รู้หรอกว่าหน้าที่นี้สำคัญแค่ไหนในแวดวงสังเวียนผ้าใบ” “และถึงแม้ว่ามันจะมีหุ่นยนต์ในนั้นด้วย แต่สิ่งที่คุณต้องถ่ายทอดก็คือคุณเป็นก้อนหิน คุณเป็นความแข็งแกร่ง ชูการ์ เรย์บอกว่าเขาเคยจ้างแองเจโล ดันดีในช่วงสองหรือสามสัปดาห์สุดท้ายก่อนขึ้นชก เพราะแองเจโลรู้ว่าจะพูดคุยกับเขาอย่างไรระหว่างการชก เขาบอกว่าถ้าคุณได้ผู้ช่วยที่ไม่รู้จักวิธีพูดกับคุณ ก็ไม่มีอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นแล้ว ผมต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องให้กำลังใจนักชกของตัวเอง เมื่อไหร่ที่จะปิดปาก เมื่อไหร่ที่จะต้องพูดในสิ่งที่ใช่ และมันก็อยู่ที่การฝึกด้วยว่าคุณเตรียมใจมาพร้อมแค่ไหน ความสัมพันธ์ระหว่างนักมวยและพี่เลี้ยงของเขาจะเกิดรอยร้าวขึ้นไม่ได้เลย ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมาก่อน มันก็เลยเป็นเรื่องเยี่ยมมาก” ผู้กำกับชอว์น เลวีกล่าวเสริมว่า “มันอาจฟังดูแปลกก็จริงที่พูดถึงว่าฮิวจ์ทำความเข้าใจกับหุ่นยนต์ได้อย่างไร แต่ชูการ์ เรย์ส่งอิทธิพลต่อวิธีการที่ฮิวจ์แสดงฉากนี้ตรงมุมสังเวียน การมีส่วนช่วยของเลียวนาร์ดในหนังเรื่องนี้มีทั้งที่เห็นได้ชัดและเห็นไม่ชัด และเป็นอะไรที่มีค่าจริงๆ ครับ”

โลกของหุ่นยนต์ชกมวย

ยินดีต้อนรับสู่ลีก WRB ลีกสูงสุดของหุ่นยนต์ชกมวย บ้านของหุ่นยนต์นักสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล บรรดาหุ่นยนต์ที่มีกลไกวิเศษสุดของเราเป็นแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังกีฬาที่ทรงพลังที่สุดของโลก นักมวยหุ่นยนต์สองตัวก้าวลงสู่สังเวียน โดยถูกตั้งโปรแกรมมาเพื่อทำลายเท่านั้น และมีหุ่นยนต์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะก้าวกลับออกไปจากที่นี่ได้ — จากข้อมูลเว็บ WRB

ใน Real Steel มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอย่างมากระหว่างโลกหุ่นยนต์ชกมวยทั้งสอง กีฬาชนิดนี้มีสองระดับ คือลีก WRB (หุ่นยนต์ชกมวยโลก) ซึ่งเทียบเท่ากับนาสการ์หรือเอ็นบีเอ มันได้รับการสนับสนุนจากบริษัทห้างร้านต่างๆ มีทุนสูง สังเวียนที่ได้รับการยอมรับและกฎที่เข้มงวด ในทางตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้วคือลีกใต้ดิน ที่เป็นสังเวียนที่ไม่ผ่านการอนุมัติ ไม่มีกฎ ข้อห้ามใดๆ ทั้งสิ้น หุ่นยนต์จะสู้กันถึงชีวิต มันทั้งต่ำช้า สกปรกโสมม และไร้ข้อจำกัด ลีก WRB ได้รับการสนับสนุนจากงบมหาศาล ทำให้เกิดภาพน่าตื่นตาตื่นใจเต็มสเตเดียม ที่ปิดฉากลงด้วยการแข่งขัน Real Steel Championship ลีกนี้จะมีหุ่นยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุดในโลก ทุกตัวถูกสร้างมาเป็นพิเศษด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สำหรับเวทีระดับโลกเท่านั้น

ลีก WRB สังเวียนใต้ดิน

? สังเวียนเหล็กสวยหรู ? สังเวียนต่อสู้ที่สกปรกโสโครก

? ความบันเทิงระดับโลก ? ความโหดเหี้ยมที่ไร้ขีดจำกัด

? กฎและข้อบังคับในการขึ้นชก ? ไร้ขื่อแป

? เวทีเหล็กคุณภาพสูง ? เวทีที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ

? เชือกเหล็กทออย่างดี ? โซ่เหล็ก

? แผงต่อสู้ที่ซับซ้อน ? ที่บังคับด้วยมือ

? พี่เลี้ยงประกอบไปด้วยผู้ควบคุมหุ่น โปรแกรมเมอร์และช่างเทคนิค ? ทีมงานและช่างซ่อมที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมัน

ใน Real Steel ชาร์ลีย์ เคนตัน ได้ตะลุยผ่านสังเวียนสุดอันตรายในโลกใต้ดินด้วยหุ่นนักมวยของเขา ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะให้หุ่นยนต์ซักตัวของเขาได้ไปผงาดบนเวทีของลีก WRB ที่ซึ่งเงินรางวัลก้อนโตและชื่อเสียงรอคอยเขาอยู่ หุ่นนักมวยที่ดูดีมีสไตล์ ต่อยหนัก ทุนหนา และได้รับการยอมรับจากลีก มีประวัติที่สวยงาม นับตั้งแต่วิศวกร ผู้ออกแบบพวกเขา ไปจนถึงเจ้าของและผู้ควบคุม หุ่นยนต์แต่ละตัวมีลักษณะโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ ทั้งด้วยบุคลิก สีสัน กราฟฟิค สไตล์การต่อสู้และคุณลักษณะ มีการคิดลีกทั้งหมด ซึ่งรวมถึงสถิตินักมวยแต่ละตัว ขึ้นมาเพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้โดยเฉพาะ

น้ำหนัก ส่วนสูง ความ เร็วสูงสุดในการปล่อยหมัด แรงหมัดสูงสุด ท่าไม้ตาย ชัยชนะ ที่น่าสนใจ การขึ้นชกครั้งล่าสุด ผู้สร้าง เจ้าของ และ ที่มา

สถิติ

ซูส 1295 ปอนด์ 8’ 3 1/4” 42 ไมล์ต่อชั่วโมง 21,328.16 ปอนด์ นุค ฟิสต์ ชนะน็อค 12 KO ครั้งเมื่อสู้กับอดีตแชมป์ 12 รายในคืนติดต่อกัน การชนะน็อคแอ็กเซิ่ลร้อดยกที่หนึ่ง ที่สตาร์เบลซ อารีนาAXELROD 6/27/20 ทัค มาชิโดะ เซอร์เจและฟาร์รา เลมโควา (รัสเซีย)

32-0-0 (ชนะน็อค 32 ครั้ง)

ทวิน ซิตี้ 1210 ปอนด์ 8’0” 39 ไมล์ต่อชั่วโมง 11,017.28 ปอนด์ ฮิปโนติค ฟิวรี การชนะสเคอร์มิชด้านแท็คติคในยกที่ 4

การแพ้ปริซึมในยกที่สอง ที่เอ็นวายส์ พาโนรามิค เซ็นเตอร์ 5/9/20 เลคแลนด์ ไซเบอร์คอร์ป แฮมเมิร์ฟ ออล พาร์ทเนอร์ส (อเมริกา)

11-3-0 (ชนะน็อค 7 ครัง้)

น๊อยซี่ บอย 1,120 ปอนด์ 8’ 5 1/2” 38 ไมล์ต่อชั่วโมง 10,310.29 ปอนด์ โชกุน ไทรนิตี้ & เซาธ์พอว์ เพน รีโวลูชัน การชนะน็อคผู้สละการท้าชิงตำแหน่งแชมป์ในยกแรก

การแพ้รูบิคอนในยกที่สาม ที่บิง อารีนา 9/10/16 ทัค มาชิโดะ เดอะ เกรกอรี กรุ๊ป (ญี่ปุ่น)

15-1-0 (ชนะน็อค 14 ครั้ง)

ตัวอย่างค่าพลังของนักมวยในลีก WRB

ในตอนที่ภาพยนตร์เปิดตัว เราอยู่ในอนาคตอันใกล้ หรือพูดเจาะจงลงไปอีกก็คือปี 2020 และลีก WRB ก็ก่อตั้งมาได้ 7 ปีแล้ว หลังจากที่เปิดตัวอย่างงดงามในปี 2013 ด้วยแมทช์ชกระหว่างหุ่นยนต์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก การชกกันครั้งนั้นประสบความสำเร็จถล่มทลายและไม่นานหลังจากนั้น ลีก WRB ก็ถูกก่อตั้งขึ้น พอถึงปี 2014 แวดวงมวยหุ่นยนต์เถื่อนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ในปี 2016 “ซูเปอร์ บอทส์” กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ใน WRB และการชกมวยหุ่นยนต์ก็กลายเป็นกีฬาดังระดับโลก ในปี 2018 หุ่นนักมวยสายพันธุ์ใหม่ก็ถือกำเนิดขึ้น เขาคือซูส ผู้มีร่างกายใหญ่โตและทรงพลังกว่าหุ่นยนต์ทุกตัวที่เคยถูกสร้างขึ้นมา เขาถูกสร้างขึ้นเพื่อความเป็นใหญ่และการข่มขวัญ เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการกำจัดและแยกชิ้นส่วนคู่ต่อสู้ของเขา ซูสกลายเป็นแชมป์โลกผู้ผงาดบนบัลลังก์ การต่อสู้ WRB กลายเป็นโลกของงานอีเวนต์ที่ได้รับการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ไปทั่วโลก การ์ดพลัง การสปอนเซอร์ เงินแพร่สะพัด ความเลิศหรู การได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและความตื่นเต้น มันเป็นโลกที่ชาร์ลีย์ เคนตัน โปรโมเตอร์มวยกระจอก โหยหาอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน และเขาก็จะทำทุกอย่างที่จะพาตัวเองไปถึง ณ จุดนั้นให้ได้

เทคโนโลยี

ผู้กำกับเลวีกล่าวชื่นชมผลงานของทีมงานตามที่พวกเขาสมควรได้รับและกล่าวว่า สำหรับเทคโนโลยีน่าอัศจรรย์ใจที่ใช้ใน Real Steel เขาและทีมงานสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ “ได้ยืมเทคโนโลยีหลายๆ อย่างที่เจมส์ คาเมรอนได้พัฒนาขึ้นเพื่อ Avatar ครับ” เลวีอธิบายอีกว่า “นี่เป็นวิธีการใช้วิชวล เอฟเฟ็กต์รุ่นใหม่ครับ พูดง่ายๆ ก็คือแทนที่เราจะทำตามแบบดั้งเดิม ที่เราจะถ่ายทำเฟรมว่างๆ แล้วคอมพิวเตอร์ อนิเมเตอร์ก็จะใส่หุ่นยนต์เข้าไปทีหลัง เราก็ทำโมชัน แคปเจอร์ ที่เราจะเก็บภาพนักมวยจริงๆ ไว้ ซึ่งก็เป็นภาพของการ์เร็ตต์ วอร์เรนและชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ดชกกันจริงๆ เราบันทึกข้อมูลการเคลื่อนไหวร่างกายของพวกเขา แล้วแปลงค่าให้เป็นดิจิตอลเอาไว้ หลังจากนั้น หลายเดือนให้หลัง เราก็ไปที่ฉากจริงๆ แล้วเรียกช็อตขึ้นมา หลังจากนั้น ผมก็จะใช้สิ่งที่เรียกว่าซิมุล-แคมบีเรียกข้อมูลโมชัน แคปเจอร์นั้นขึ้นมาแล้วป้อนเข้าไปยังสถานที่ในโลกแห่งความเป็นจริงครับ” “มันคือเทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นขึ้นใน Avatar แต่เราก็ทำในสิ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อย Avatar นำการแสดงโมชัน แคปเจอร์ไปใส่ในโลกเสมือน แต่เรานำการแสดงโมชัน แคปเจอร์ไปใส่ในโลกแห่งความเป็นจริงครับ” เลวียอมรับว่า กระบวนการนี้ฟังดูซับซ้อน เขาก็เลยเห็นใจเราและพูดโดยใช้คำที่ง่ายกว่าเดิมว่า “มันหมายความอย่างนี้ครับ” เขาบอก “เรานำนักชกที่สวมชุดจัมป์สูทสำหรับบันทึกข้อมูลเข้าไปในสังเวียน แล้วพอพวกเขาก็สู้กัน ข้อมูลการเคลื่อนไหวของพวกเขา ก็จะถูกแปลงใส่ลงไปในอวาทาร์หุ่นยนต์บนหน้าจอไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้น เราก็จะไปเวทีต่อสู้จริงๆ ของเรา ตั้งแถวกล้องบนสังเวียนผ้าใบที่ว่างเปล่า แล้วเทคโนโลยีก็จะทำให้คุณสามารถบันทึกภาพการต่อสู้ของหุ่นยนต์ ที่คุณถ่ายเอาไว้เมื่อหกเดือนก่อน แล้วใส่มันลงไปในสังเวียนแบบเรียลไทม์ เหมือนว่าคุณกำลังดูมันอยู่ นั่นคือซิมุล-แคม บีครับ” เพื่อเป็นการขยายความเทคโนโลยีนี้มากขึ้น เลวีได้อ้างถึงผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ว่า “สิ่งที่เจ๋งก็คือในตอนที่ผมสร้าง Night at the Museums หรือแม้แต่ตอนที่ฮิวจ์แสดง Wolverine หรือ X-Men นักแสดงจะต้องเข้าฉากแสดงกับความว่างเปล่า คุณได้แต่หวังว่ามันจะออกมาโอเค แต่ตอนนี้ ผมสามารถเรียกช็อตที่มีฮิวจ์อยู่ในเฟรม และผมก็จะมองเห็นได้ว่าหุ่นยนต์อยู่ตรงนั้นแล้ว และฮิวจ์ก็จะมองเห็นได้ว่าเขากำลังมีปฏิกิริยากับอะไรอยู่ ดังนั้นก็บอกตามตรงเลยนะครับว่ามันขจัดความไม่แน่นอนให้หมดไปครับ” ด้วยความที่การเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนต์ไม่ใช่การเคลื่อนไหวแบบมนุษย์ที่เป็นกุญแจสำคัญ จะต้องมีการปรับเปลี่ยนโมชัน แคปเจอร์เสียใหม่ เลวีอธิบายว่า “เราไม่สามารถใช้โมชัน แคปเจอร์ล้วนๆ ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น หุ่นยนต์ก็จะเคลื่อนไหวเหมือนมนุษย์มากเกินไป เราก็เลยลดความเร็วพวกเขาลงเหลือ 89% ซึ่งนั่นเป็นเรื่องใหญ่เลย เพราะความเร็วของมนุษย์จริงๆ ไม่เวิร์คในรูปแบบของหุ่นยนต์ การลดความเร็วลงเพียงแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ก็จะช่วยเพิ่มความรู้สึกของมวลสารให้กับหุ่นยนต์พวกนั้นแล้ว แล้วบางครั้งอะตอมก็เคลื่อนไหวพลิ้วเกินไป จนเราต้องเพิ่มความฝืดเข้าไปในข้อต่อของเขา เพื่อให้เขาดูมีน้ำหนักและมีมิติน่ะครับ”

ลุค

ลุคของโลก Real Steel โดดเด่นในแง่ของการออกแบบงานสร้าง ผู้ออกแบบงานสร้างทอม ไมเยอร์ (Orphan, Jonah Hex) มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโลกในอนาคตอันใกล้ของเรื่องว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับโลกของเรามากๆ แต่มันไร้กาลเวลาและมีความเป็นอเมริกันคลาสสิก ด้วยลุคที่เก่าแก่ คร่ำครึ ผู้กำกับเลวีพูดถึงลุคนั้นว่า “เรโทร-ฟอร์เวิร์ด” “มันเป็นภาพคอลลาจของภาพที่เป็นสัญลักษณ์ในอดีตเรโทรอเมริกา” เลวีเล่า “และอนาคตที่จำเป็นต้องคงอยู่เพื่อสนับสนุนกีฬาชนิดนี้ครับ” เขากล่าวเสริมว่า “มันไม่ใช่อนาคตแบบที่มักจะถูกนำเสนอในหนัง ซึ่งก็คือการใช้ลุคสีเทาตะกั่วแบบลดความอิ่มตัวของสี แต่หนังเรื่องนี้เราใช้ลุคของสีที่อิ่มตัว และใช้แสงที่ดูเป็นธรรมชาติเสมอ โลกใบนี้มีคุณสมบัติที่ตรงไปตรงมามากๆ ครับ” ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในมิชิแกน โดยเฉพาะในดีทรอยท์ และก็ไม่มีการสร้างฉากใดๆ ขึ้นมาเลย โลเกชันของภาพยนตร์เป็นพื้นที่กลางแจ้ง สนามกีฬาและโรงงานรถเก่า เลวีอยากได้ลุคที่ดิบเถื่อนและวิธีการถ่ายทอดภาพสวยๆ ที่คาดไม่ถึง เมื่อได้เมาโร ฟิโอเร ผู้กำกับภาพเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Avatar เลวีก็ได้ภาพอย่างที่เขาต้องการ เลวีเล่าว่าเขาบอกฟิโอเรไปว่า “ผมชอบ Avatar นะ แต่ผมอยากได้ Training Day [ซึ่งฟิโอเรก็ถ่ายทำด้วย] น่ะครับ” สำหรับชอว์น เลวี ความงดงามอยู่ที่ความ “ดิบ” ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ และนั่นคือหลักเกณฑ์สำคัญในการถ่ายทำ ทุกแง่มุมของลุคสำหรับ Real Steel จะหลั่งไหลมาจากกฎเกณฑ์ด้านภาพวิชวล “เรโทร ฟอร์เวิร์ด” ดังนั้น ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายมาร์ลีน สจวร์ตก็เลยได้รับหน้าที่ในการตีความภาพวิชวลในบทเพื่อช่วยผู้กำกับและนักแสดงให้สามารถถ่ายทอดวิสัยทัศน์ที่พวกเขามีเกี่ยวกับตัวละครออกมาได้ สจวร์ตได้ตัดเย็บเสื้อผ้าสำหรับชาร์ลีย์ ตัวละครของฮิวจ์ แจ็คแมน โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากความหยาบกร้านของยุค 60s เธอกล่าวว่าแม้แต่แว่นกันแดดของเขายังเป็นแบรนด์และโมเดลที่ไม่มีการผลิตมา 15-20 ปีแล้ว ในทางกลับกัน สำหรับทัค มาชิโดะ นักออกแบบและเจ้าของหุ่นยนต์ ซูส เสื้อผ้าจะดูล้ำสมัย เป็นแฟชันชั้นสูง ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอนาคตมากขึ้น การออกแบบ “อนาคตอันใกล้” เป็นความท้าทายที่สจวร์ตตอบรับอย่างกระตือรือร้น “การออกแบบสำหรับ “อนาคตอันใกล้” จริงๆ แล้วยากกว่าตอนที่คุณสร้างงานออกแบบสำหรับอดีต ซึ่งเราเรียกกันว่าพีเรียด หรืออนาคต ที่มันเป็นลุคดีไซน์ที่ถูกควบคุมทั้งหมดค่ะ” สจวร์ตบอก “สำหรับลุค ‘อนาคตอันใกล้’ ของชาร์ลีย์ สิ่งที่ฉันทำกับเสื้อผ้าของเขาคือการนำความคลาสสิกแบบคนทั่วๆ ไปมาใส่ลงไป ฉันใช้เสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 30s เสื้อโค้ทยาวจากยุค 60s และยุคสมัยที่ผสมผสานกัน แต่มันแลดูไม่ได้ระบุช่วงเวลา มันเป็นแค่เสื้อผ้าที่ทุกคนคุ้นเคยกับมันค่ะ” สำหรับฉากการชกมวยใต้ดินที่แครช พาเลซ สจวร์ตได้ผสมผสานชนชั้นแรงงานและพังค์ และผสมสีสันต่างๆ เข้าด้วยกันในวิธีและรูปแบบที่ทำให้ทุกอย่างดูสุดโต่งมากขึ้น “คุณจะรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหนในเรื่อง ไม่ใช่เพราะที่ที่ชาร์ลีย์กับแม็กซ์อยู่ แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ในแบ็คกราวน์ค่ะ” สจวร์ตบอก “แบ็คกราวน์กลายเป็นตัวละครที่ก้าวออกมาเป็นโฟร์กราวน์ค่ะ” ในทางกลับกัน พอถึงเวลาที่เรื่องราวขยับไปสู่สังเวียนต่อสู้ที่ถูกแบนในภายหลัง สจวร์ตได้สร้างสีสันที่ออกไปในโทนเดียวกัน ที่แลดูพลิ้วไหว เรียบง่าย เพื่อที่ผู้ชมจะได้ไม่มองไปที่แต่ละคน แต่มองโดยรวมเป็นกลุ่มคน “ในฉากแรกๆ ระหว่างการชกใต้ดิน มันจะมีตัวละครโลภมาก และน่าสนใจที่จะดึงคุณเข้าสู่เรื่องราว” สจวร์ตบอก “ความแตกต่างสองอย่างนี้จะทำให้ผู้ชมเข้าถึงโลกที่อยู่ใน ‘อนาคตอันใกล้’ ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ” สจวร์ตกล่าวว่า ในฉากหลังๆ นี้ เธอใช้สีสันที่เกือบจะเป็นขาวดำทั้งหมดและสร้างลุคที่สะท้อนถึงความจริงที่ว่าพวกเขาร่ำรวยให้กับตัวละครที่รับบทโดยโอลก้า ฟอนดาและคาร์ล ยุน “พวกเขาเป็นคนที่มีสถานะสูงส่งกว่าตัวละครที่เป็นเหมือนชนชั้นแรงงานของชาร์ลีย์ พวกเขาเป็นตัวแทนที่ตรงข้ามกับโลกของชาร์ลีย์อย่างสุดโต่งที่สุดค่ะ” สจวร์ตบอก สจวร์ตกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมเพื่อนร่วมงานที่ชอว์น เลวีไว้วางใจ โดยพวกเขาเคยร่วมงานกันมาแล้วในแฟรนไชส์ Night at the Museum และ Date Night และสจวร์ตก็ยินดีที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่มีพรสวรรค์อย่างเลวี เธอพูดถึงเลวีว่า “สิ่งหนึ่งที่ฉันพบว่าน่าสนใจเหลือเกินเกี่ยวกับตัวชอว์นคือเขาอ่อนไหวมากๆ และสังเกตเห็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตัวละครเลย ในแง่ของการออกแบบเครื่องแต่งกายแล้ว เขาพูดภาษาเดียวกับฉันค่ะ มันเป็นเรื่องเยี่ยมจริงๆ ที่มีคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแวดวงสร้างสรรค์ของคุณและการได้ร่วมงานกับเขาก็เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมเสมอค่ะ”

ประสบการณ์

ผู้กำกับชอว์น เลวีกล่าวสรุปถึงประสบการณ์ของเขาในการทำงานใน Real Steel ว่า “มีบางอย่างที่น่าปลาบปลื้มเกี่ยวกับความจริงที่ว่า หนังที่ปรากฏบนหน้าจอคือหนังที่อยู่ในความคิดของผมครับ” เขากล่าว “มันเป็นหนังที่ผมนำเสนอให้กับสตีเวน [สปีลเบิร์ก] และสเตซีย์ [สไนเดอร์] ในครั้งแรกที่ผมนั่งคุยกับพวกเขา และเราก็ยังคงซื่อตรงต่อสัญชาตญาณแรกเริ่มนั้นได้” เขากล่าวเสริมว่า “ผมหวังว่าในตอนที่ผู้ชมเดินออกจากโรงไป พวกเขาจะได้มีช่วงเวลาที่กระตุ้นเร้าอารมณ์และลุ้นไปกับหนัง ผมหวังว่าพวกเขาจะสนุก จะหัวเราะและส่งเสียงเชียร์ ผมอยากให้หนังเรื่องนี้มีภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจและกระตุ้นให้เกิดความสงสาร ผมหวังว่าองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้จะโดนใจผู้ชมนะครับ” ฮิวจ์ แจ็คแมนให้ความเห็นว่า “Real Steel เป็นหนังที่สนุกครับ มันมีแอ็กชันใหญ่ก็จริง แต่แก่นเรื่องก็มีความอบอุ่นหัวใจที่จะทำให้คุณหลงเข้าไปในโลกใบนั้น คุณจะรักตัวละครทุกตัวในนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือหุ่นยนต์ครับ” ผู้อำนวยการสร้างดอน เมอร์ฟีย์กล่าวว่า “ผมคิดว่า Real Steel มีอะไรบางอย่างสำหรับทุกคน มีทั้งเรื่องชกมวยสำหรับพวกผู้ชาย หุ่นยนต์สำหรับเด็กผู้ชาย ฮิวจ์ แจ็คแมนสำหรับสาวๆ และแง่มุมครอบครัวสำหรับทุกๆ คนครับ” ผู้อำนวยการสร้างซูซาน มองท์ฟอร์ด เห็นด้วยอย่างยิ่ง “มันเป็นเรื่องราวงดงาม ที่มีการเดินทางแบบที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และมีภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ฉันคิดว่าเรามีทุกอย่างค่ะ มันจะต้องเป็นหนังที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างมากแน่ๆ” Real Steel เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 2011

ประวัตินักแสดง

ฮิวจ์ แจ็คแมน (ชาร์ลีย์ เคนตัน) เป็นชาวออสเตรเลีย เขาเปิดตัวในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องแรกในอเมริกาด้วยบทวูล์ฟเวอรีนในภาคแรกของแฟรนไชส์ X-Men ที่เขาสานต่ออีกใน X2 และ X-Men: The Last Stand ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในปี 2006 ล่าสุด เขาได้กลับมารับบทวูล์ฟเวอรีนอีกครั้งใน X-Men Origins: Wolverine ซึ่งเป็นพรีเควลของแฟรนไชส์ยอดนิยมเรื่องนี้ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2009 แจ็คแมนได้หวนคืนสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้งในละครที่เขียนบทโดยคีธ ฮัฟฟ์เรื่อง A Steady Rain ละครเรื่องนี้ที่ร่วมแสดงโดยแดเนียล เคร็ก บอกเล่าเรื่องราวของตำรวจชิคาโก้สองคน ที่เป็นเพื่อนรักกัน และเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในวันที่สุดแสนสะเทือนใจก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ปี 2009 แจ็คแมนรับหน้าที่สำคัญในการเป็นพิธีกรรายการประกาศผลรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่ 81 ในรายการนี้ ที่ถ่ายทอดสดตรงจากโกดัก เธียเตอร์ แจ็คแมนได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อยู่ในงานและช่วยทำให้เอบีซีมีผู้ชมเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีก 13% อย่างไรก็ดี นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่แจ็คแมนรับหน้าที่พิธีกรงานประกาศผลรางวัล ก่อนหน้านี้ เขาเคยรับหน้าที่พิธีกรของการประกาศผลรางวัลโทนี อวอร์ดสามปีซ้อนระหว่างปี 2003-2005 ทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากการทำหน้าที่ของเขาในงานประกาศผลรางวัลครั้งที่ 58 ในปี 2004 และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลจากการทำหน้าที่ของเขาในงานประกาศผลรางวัลครั้งที่ 59 ในปี 2005 ในช่วงต้นปี 2008 แจ็คแมนได้แสดงประกบยวน แม็คเกรเกอร์ในภาพยนตร์ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Deception ภาพยนตร์มืดหม่นเรื่องนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวการหายตัวไปอย่างลึกลับของหญิงสาวคนหนึ่งและการปล้นเงินหลายล้านเหรียญ ในช่วงปลายปี 2008 แจ็คแมนได้แสดงในอีพิคแอ็กชันผจญภัยโรแมนติกของทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Australia ที่กำกับโดยบาซ ลูห์แมน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ได้แจ็คแมนมารับบทนักไล่ต้อนปศุสัตว์ ผู้ช่วยเหลือสาวสูงศักดิ์ชาวอังกฤษ (รับบทโดยนิโคล คิดแมน) ในการไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์ 2,000 ตัว ในพื้นที่ทุรกันดารหลายร้อยไมล์ ที่ซึ่งพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการทิ้งระเบิดของญี่ปุ่น ที่เมืองดาร์วิน ประเทศออสเตรเลีย นอกจากนี้ แจ็คแมนยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยดาร์เรน อโรนอฟสกี้เรื่อง The Fountain, ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ โนแลนเรื่อง The Prestige และภาพยนตร์โดยวู้ดดี้ อัลเลนเรื่อง Scoop อีกด้วย เขาได้พากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Happy Feet และ Flushed Away ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่เขารับบทนำได้แก่ Someone Like You, Swordfish, Van Helsing และ Kate and Leopold ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำปี 2002 การแสดงบทนักร้อง/นักแต่งเพลงยุค 70s ปีเตอร์ อัลเลนของเขาในละครเรื่อง The Boy From Oz ทำให้แจ็คแมนได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2004 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในมิวสิคัล รวมถึงรางวัลดรามา เดสก์, ดรามา ลีก, เอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิลและเธียเตอร์ เวิลด์ อวอร์ด ผลงานละครก่อนหน้านี้ของเขาได้แก่ Carousel ที่คาร์เนจี้ ฮอล, Oklahoma! ที่เนชันแนล เธียเตอร์ในกรุงลอนดอน (ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโอลิเวียร์ อวอร์ด), Sunset Boulevard (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มโอ อวอร์ด ซึ่งเป็นโทนี อวอร์ดของออสเตรเลีย) และละครดิสนีย์เรื่อง Beauty and the Beast (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มโอ อวอร์ด) แจ็คแมนเริ่มต้นทำงานในออสเตรเลียด้วยการแสดงในภาพยนตร์อินดีเรื่อง Paperback Hero และ Erskineville Kings (ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ออสเตรเลีย สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลีย สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม) ในปี 1999 เขาได้รับการยกย่องให้เป็นดาราออสเตรเลียแห่งปีในงานประชุมภาพยนตร์ออสเตรเลีย

ดาโกต้า โกโย (แม็กซ์ เคนตัน) มาจากโตรอนโต ประเทศแคนาดา ดาโกต้าค้นพบความรักในการแสดงและการเล่นหน้ากล้องตั้งแต่อายุยังน้อย ความรักนี้บวกกับทัศนคติในการทำงานและพรสวรรค์ด้านการแสดงตามธรรมชาติของเขานำไปสู่อาชีพนักแสดงที่รุ่งโรจน์ด้วยวัยเพียง 11 ปี ผลงานภาพยนตร์ของดาโกต้าได้แก่ Resurrecting the Champ ที่เขาแสดงประกบจอช ฮาร์ทเน็ทท์และซามวล แอล. แจ็คสัน, Emotional Arithmetic ประกบซูซาน ซาแรนดอนและ Defendor ประกบวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและแคท เดนนิง ล่าสุด ดาโกต้ารับบทธอร์วัยเด็กประกบแอนโธนี ฮ็อปกินส์ในภาพยนตร์ฮิตโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์ส/มาร์เวล สตูดิโอส์เรื่อง Thor ที่กำกับโดยเคนเนธ บรานาห์ ปัจจุบัน ดาโกต้ากำลังอยู่ระหว่างการพากย์เสียงภาพยนตร์อนิเมชันโดยดรีมเวิร์คส์เรื่อง Rise of the Guardians ร่วมกับจู๊ด ลอว์, คริส ไพน์, ฮิวจ์ แจ็คแมน, อิสลา ฟิชเชอร์และอเล็ค บัลด์วิน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2012

อีวานเจลิน ลิลลี (เบลลีย์) ถูกค้นพบโดยแมวมองของฟอร์ด ในเคโลว์นา, บริติช โคลัมเบีย หกเดือนให้หลัง เธอก็ย้ายไปแวนคูเวอร์ เพื่อศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย หลังจากได้แสดงโฆษณาหลายชิ้น เธอก็ตัดสินใจพักงานแสดงและหันมาทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ดี สองปีให้หลัง เพื่อนคนหนึ่งสนับสนุนให้เธอลองให้โอกาสการแสดงอีกครั้ง ไม่นานนัก เธอก็ได้รับบทศพในซีรีส์ Stephen King’s Kingdom Hospital และภาพยนตร์เรื่อง The Long Weekend นอกจากนี้ ลิลลียังได้ร่วมแสดงกับจอห์น มัลโควิชในภาพยนตร์ที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2008 เรื่อง Afterwards อีกด้วย ในเดือนมกราคม ปี 2004 ลิลลีได้รับบทพูดครั้งแรกในซีรีส์โทรทัศน์เมื่อเธอได้รับบท เคท ในซีรีส์ฮิตของเอบีซีเรื่อง Lost ซีรีส์นี้ที่สร้างโดยเจ.เจ. อับรามส์, เดมอน ลินเดลอฟและเจฟฟรีย์ ลีเบอร์ ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขาซีรีส์ดรามายอดเยี่ยมปี 2006 และได้รับรางวัลแซ็ก อวอร์ดสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา ลิลลีได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามาปี 2007 ปัจจุบัน ลิลลีกำลังอยู่ในนิวซีแลนด์เพื่อถ่ายทำ The Hobbit พรีเควลของไตรภาค Lord of the Rings ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ลิลลีอุทิศตัวเองให้กับงานการกุศล โดยเธอได้เดินทางและศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เธอเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการสำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 14 ปีและระหว่างวิทยาลัย เธอก็ได้ค้นพบและบริหารงานคณะกรรมการพัฒนาโลกและสิทธิมนุษยชน หลังจากนั้น เธอก็ใช้เวลาสามสัปดาห์ในกระท่อมมุงหญ้า ในป่าของประเทศฟิลิปปินส์ ลิลลีเชี่ยวชาญภาษาฝรั่งเศส ชื่นชอบการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ วาดภาพ ดนตรี ธรรมชาติ การทำกิจกรรม การเรียนรู้ การดื่มชาและการเดินทาง

แอนโธนี แม็คกี้ (ฟินน์) ฝึกฝนด้านการแสดงที่จูเลียร์ด สคูล ออฟ ดรามา หลังจากได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบททูปัค ชาคูร์ในละครออฟบรอดเวย์เรื่อง Up Against the Wind แม็คกี้ก็เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยบทปาป้า ด็อค คู่ปรับของเอมิเน็มในภาพยนตร์โดยเคอร์ติส แฮนสันเรื่อง 8 Mile หลังจากนั้น สไปค์ ลีก็ได้เลือกแม็คกี้ให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับเลือกให้เข้าฉายในโปรแกรมมาสเตอร์ของเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตปี 2004 เรื่อง Sucker Free City และ She Hate Me นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดของคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง Million Dollar Baby และภาพยนตร์โดยโจนาธาน เด็มม์เรื่อง The Manchurian Candidate แม็คกี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไอเอฟพี สปิริตและก็อทแธม อวอร์ดจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยร็อดนีย์ อีวานส์เรื่อง Brother to Brother ซึ่งได้รับรางวัลสเปเชียล ดรามาติค จูรี ไพรซ์จากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2004 และรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดสาขาภาพยนตร์เปิดตัวยอดเยี่ยม ในปี 2005 เขาได้แสดงใน Heavens Fall ภาพยนตร์อินดีที่สร้างจากการไต่สวนคดีสก็อตส์โบโร บอยส์ ที่โด่งดัง ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ปี 2006 ในออสติน ในปี 2009 แม็คกี้รับบทร้อยโทเจที แซนบอร์นในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของแคทริน ไบจ์โลว์เรื่อง The Hurt Locker การแสดงครั้งนั้นทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ด ในปีเดียวกันนั้นเอง แม็คกี้ได้กลับไปรับบททูปัค ชาคูร์อีกครั้งในภาพยนตร์โดยฟ็อกซ์ เสิร์ชไลท์เรื่อง Notorious อัตชีวประวัติของโนโทเรียส บี.ไอ.จี. นอกจากนี้ เขายังรับบทนายพลวิลเลียม โบว์แมนในภาพยนตร์โดยดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์เรื่อง Eagle Eye อีกด้วย เมื่อปีที่แล้ว แม็คกี้ได้หวนคืนสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้ง ด้วยการแสดงในละครโดยมาร์ติน แม็คโดนัฟเรื่อง A Beheading in Spokane นอกจากนี้ เขายังได้ร่วมแสดงกับเคอร์รี วอชิงตันในดรามาเรื่อง Night Catches Us อีกด้วย ล่าสุด เขายังได้แสดงในภาพยนตร์โดยยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สเรื่อง The Adjustment Bureau และจะร่วมแสดงใน Man on a Ledge ที่จะเข้าฉายในวันที่ 13 มกราคม ปี 2012 อีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Ten Year และ Abraham Lincoln: Vampire Hunter และกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำโปรเจ็กต์สองเรื่อง ได้แก่ทริลเลอร์จิตวิทยา Vipaka กับฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และภาพยนตร์โดยรูเบน เฟลสเชอร์ที่เป็นที่รอคอย Gangster Squad ซึ่งร่วมแสดงโดยไรอัน กอสลิงและฌอน เพนน์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ We Are Marshall, Half Nelson, Crossover, Haven และ Freedomland ตลอดอาชีพนักแสดงที่ผ่านมา แม็คกี้ได้แสดงละครบรอดเวย์และออฟบรอดเวย์หลายเรื่อง โดยเขาเปิดตัวบนเวทีบรอดเวย์ด้วยบทซิลเวสเตอร์ หลานชายติดอ่าง ประกบวู้ปปี้ โกลด์เบิร์กในละครโดยออกัสต์ วิลสันเรื่อง Ma Rainey’s Black Bottom หลังจากนั้น เขาก็ได้รับบทนำในละครโดยเรจินา คิงที่ปัดฝุ่นเรื่อง The Seagull โดยไชคอฟเสียใหม่ ได้แสดงในละครโดยสตีเฟน เบลเบอร์เรื่อง McReele ให้กับราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ คัมปะนีและแสดงในละครรางวัลพูลิทเซอร์เรื่อง A Soldier’s Play ล่าสุด แม็คกี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของละครเรื่อง August Wilson’s 20th Century โปรดักชันของเคนเนดี้ เซ็นเตอร์ ที่ซึ่งเขาและนักแสดงอีกกว่า 30 ชีวิตได้อ่านละครทั้งหมด 10 เรื่องในแวดวงอเมริกันของออกัสต์ วิลสัน

เควิน ดูแรนด์ (ริคกี้) เกิดในแคนาดา และเคยแสดงบนเวทีบรอดเวย์ ในจอแก้วและจอเงินมาแล้ว ในปี 2009 ดูแรนด์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซทเทิร์น อวอร์ดจากบทมาร์ติน คีมมี ในซีรีส์ฮิตเรื่อง Lost นอกจากนี้ ดูแรนด์ยังเป็นขาประจำซีรีส์ Touching Evil และซีรีส์ฮิตโดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง Dark Angel อีกด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ ดูแรนด์เพิ่งได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์ดรีมเวิร์คส์ พิคเจอร์สเรื่อง I Am Number Four ก่อนหน้านี้ เขาได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Robin Hood จากยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส โดยเขารับบทลิตเติล จอห์นประกบโรบิน ฮู้ดที่รับบทโดยรัสเซล โครว์และมาเรียน ตัวละครของเคท บลังเชตต์ ก่อนหน้านั้น เขารับบทเทวทูตกาเบรียลประกบไมเคิล ที่รับบทโดยพอล เบตตานีย์ในภาพยนตร์โดยสกรีน เจมส์เรื่อง Legion และบทเฟร็ด ดุ๊คส์ หรือเดอะ บล็อบ ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men Origins: Wolverine ประกบฮิวจ์ แจ็คแมนและลีฟ ชไรเบอร์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของดูแรนด์ได้แก่ภาพยนตร์โดยเจมส์ แมนโกลด์เรื่อง 3:10 to Yuma ที่แสดงประกบรัสเซล โครว์และคริสเตียน เบล, ภาพยนตร์โดยโจ คาร์นาฮันเรื่อง Smokin' Aces ที่ประกบเบน แอฟเฟล็คและเจเรมี พิเวนใน และภาพยนตร์โดยวอลท์ เบ็คเกอร์เรื่อง Wild Hogs ประกบจอห์น ทราโวลตา, ทิม อัลเลนและมาร์ติน ลอว์เรนซ์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน The Butterfly Effect ประกบแอชตัน คุทเชอร์, ภาพยนตร์โดยเจย์ โร้คเรื่อง Mystery Alaska ที่แสดงประกบรัสเซล โครว์, ภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Winged Creatures ประกบฟอเรสต์ วิทเทคเกอร์และดาโกตา แฟนนิงและภาพยนตร์โดยเวอร์ติโก เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง The Echo ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ดูแรนด์ได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งในนักแสดงตลกหน้าใหม่ที่ตลกที่สุดของแคนาดา นอกเหนือจากนั้น เขายังเป็นคนแรกที่ได้รับบทอินเดีย โจใน The Adventures of Tom Sawyer บนเวทีบรอดเวย์อีกด้วย ปัจจุบัน เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

โฮป เดวิส (เด็บราห์ บาร์เนส) ร่วมแสดงในภาพยนตร์เอชบีโอเรื่อง A Special Relationship ที่เธอรับบทสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ฮิลลารี ร็อดแฮม คลินตัน ประกบเดนนิส เควดในบทประธานาธิบดีบิล คลินตันและไมเคิล ชีน ที่กลับมารับบทนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์อีกครั้ง ผู้กำกับเจ้าของรางวัลเอ็มมี ริชาร์ด ลอนเครน เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้จากบทที่เขียนโดยมือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ ปีเตอร์ มอร์แกน การแสดงของเธอทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ มินิซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ ด้านละครเวที เมื่อเร็วๆ นี้ เดวิสเพิ่งกลับไปร่วมแสดงกับเพื่อนนักแสดงจากละครที่ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2009 เรื่อง God of Carnage ในละครที่จัดแสดงที่อาห์แมนสัน เธียเตอร์ในลอสแองเจลิส เดวิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ด สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในละครเวที จากการรับบทแอนเน็ตต์ ราเลห์ จากการแสดงละครเวทีประกบเจมส์ แกนดอลฟินี, เจฟฟ์ แดเนียลส์และมาร์เซีย เกย์ ฮาร์เดน ล่าสุด เดวิสได้แสดงซีซันที่สองของซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง In Treatment ในบทไมอา ทนายความฝ่ายดำเนินคดีที่ประสบความสำเร็จ บทบาทนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมในซีรีส์ดรามา ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเธอได้แก่ภาพยนตร์โดยไมเคิล วินเทอร์บอททอมเรื่อง Genova, ภาพยนตร์โดยชาร์ลีย์ คอฟแมนเรื่อง Synecdoche, New York ประกบฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน, The Hoax ที่กำกับโดยแลสซี ฮอลสตรอม, The Nines กับไรอัน เรย์โนลด์ส, Charlie Bartlett กับโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และแอนตัน เยลชินและ Driving Lessons ประกบเดอร์ม็อต มัลโรนีย์ นอกจากนี้ เธอยังได้ร่วมแสดงในซีรีส์เอบีซีเรื่อง Six Degrees และมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Mildred Pierce ที่กำกับดดยท็อดด์ เฮย์เนสอีกด้วย ในปี 2003 เดวิสได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์กสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากผลงานของเธอในภาพยนตร์อินดีที่โด่งดังที่สุดแห่งปีสองเรื่องคือภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์เรื่อง American Splendor ที่กำกับโดยชารี สปริงเกอร์ เบอร์แมนและโรเบิร์ต ปุลชินีและภาพยนตร์โดยอลัน รูดอล์ฟเรื่อง The Secret Lives of Dentists ที่สร้างขึ้นจากโนเวลลาโดยเจน สไมลีย์เรื่อง The Age of Grief American Splendor ทำให้เดวิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากบทจอยซ์ แบร็บเนอร์ ภรรยาช่างเสียดสีและเฉลียวฉลาด และผู้ร่วมมือกับฮาร์วีย์ เพ็คการ์ ที่รับบทโดยพอล จิอาแมตติ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์แอลเอสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 2003 และได้รับรางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์-ดรามาติค คอมพิทิชัน ในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์, รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลเมืองคานส์และรางวัลแกรนด์ จูรี ไพรซ์จากเทศกาลจัสท์ ฟอร์ ลัฟส์ในมอนทรีอัล The Age of Grief ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดจากการแสดงประกบแคมป์เบล สก็อตของเธอ นอกเหนือจากนั้น เดวิสยังได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากผลงานของเธอในภาพยนตร์อินดีสามเรื่องคือภาพยนตร์โดยเกร็ก มอตโตลาเรื่อง The Daytrippers, ภาพยนตร์โดยบาร์ท ฟรอยด์ลิคเรื่อง The Myth of Fingerprints และภาพยนตร์โดยแบรด แอนเดอร์สันเรื่อง Next Stop Wonderland นอกจากนี้ ผลงานภาพยนตร์ของเธอยังรวมถึง Infamous, The Matador, The Weatherman, Proof, Hearts in Atlantis, Final, Joe Gould’s Secret, Arlington Road, Mumford และ About Schmidt ซึ่งได้รับรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิสสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปี 2002 นอกเหนือจากละครเรื่อง Camino Real ที่วิลเลียมส์ทาวน์ เธียเตอร์ เฟสติวัลแล้ว ผลงานละครของเดวิสยังรวมถึงละครโดยรีเบ็กก้า กิลแมน โปรดักชันของลินคอล์น เซ็นเตอร์เรื่อง Spinning into Butter, Two Shakespearean Actors และ Ivanov ประกบเควิน ไคลน์ นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงละครออฟบรอดเวย์หลายเรื่อง รวมถึง Pterodactyls, The Food Chain, The Iceman Cometh และละครโดยเดวิด มาเม็ตเรื่อง Speed the Plow ที่กำกับโดยโจเอล ชูมัคเกอร์ นอกจากนี้ เธอยังแสดงใน Hope Leaves the Theatre ที่เขียนบทโดยชาร์ลีย์ คอฟแมนและร่วมแสดงโดยเมอริล สตรีพและปีเตอร์ ดิงค์เลจอีกด้วย โดย Hope Leaves the Theatre เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์ละครเสียง Theatre of the New Ear สำหรับซิริอุส เรดิโอ ปัจจุบัน เดวิสใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์ก ซิตี้

เจมส์ เร็บฮอร์น (มาร์วิน บาร์เนส) มีผลงานภาพยนตร์ที่น่าประทับใจ ซึ่งครอบคลุมทั้งดรามาและคอเมดี ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ How to Eat Fried Worms, Bernard and Doris, The Last Shot, Far From Heaven, Meet the Parents, The Talented Mr. Ripley, The Adventures of Rocky and Bullwinkle, Snow Falling On Cedars, The Game, Independence Day, If Lucy Fell, White Squall, Up Close and Personal, I Love Trouble, My Fellow Americans, Guarding Tess, Carlito’s Way, Scent of a Woman, Lorenzo’s Oil, Blank Check, 8 Seconds, My Cousin Vinny, White Sands, Regarding Henry, Basic Instinct, Silkwood และ Baby Mama เร็บฮอร์นเกิดในฟิลาเดลเฟีย เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยวิทเทนเบิร์กและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากโคลัมเบีย บนเวทีบรอดเวย์ เขาได้แสดงในละครเรื่อง Prelude to a Kiss, Dinner at Eight, The Man Who Had All the Luck, I’m Not Rappaport ที่เป็นการนำ Our Town กลับมาสร้างใหม่และได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดและใน Twelve Angry Men เขารับบทฮาร์วีย์ใน Ancestral Voices และกัปตันแอนเดอร์สันใน Far East ซึ่งจัดแสดงที่ลินคอล์น เซ็นเตอร์ทั้งสองเรื่อง และล่าสุด ก็ได้รับบทวูลซีย์ใน The Overwhelming ที่ราวน์อเบาท์ เธียเตอร์ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงละครออฟบรอดเวย์หลายเรื่องที่เดอะ แมนฮัตตัน เธียเตอร์ คลับ, เดอะ นิวยอร์ก เชคสเปียร์ เฟสติวัลและเดอะ เอ็นเซมเบิล สตูดิโอ เธียเตอร์ เร็บฮอร์นได้รับรางวัลดรามาล็อค อวอร์ดจากการแสดงของเขาในละครเรื่อง Nebraska โปรดักชันของลา จอลลา เพลย์เฮาส์ ด้านจอแก้ว เร็บฮอร์นได้แสดงบทนำในซีรีส์และภาพยนตร์หลายเรื่อง ได้แก่ Comanche Moon, The Book of Daniel, Third Watch, Seinfeld, Law and Order, Bright Shining Lie, Mistrial, Guiding Light, I'll Fly Away, Sarah, Plain and Tall, Kate and Allie และมินิซีรีส์เอชบีโอของทอม แฮงค์เรื่อง From the Earth to the Moon

คาร์ล ยุน (ทัค มาชิโดะ) มีเชื้อสายเอเชีย (เกาหลี/มองโกเลีย/ญี่ปุ่น) และเกิดและเติบโตในวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับไฮสคูล เขาก็เริ่มต้นและขายธุรกิจให้คำปรึกษาจากอินเทอร์เน็ตซึ่งประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาเอกธุรกิจที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ระหว่างศึกษาเกี่ยวกับเชคสเปียร์ในคอร์สวรรณคดี เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปเรียนเอกการละครที่สคูล ออฟ เดอะ อาร์ตส์ของมหาวิทยาลัย ระหว่างที่อยูที่โคลัมเบีย เขาก็ได้รับบทโรมิโอในละครออฟบรอดเวย์เรื่อง Romeo and Juliet ยุนยังคงทำงานในฐานะนักแสดงละครเวทีในนิวยอร์ก ซิตี้และได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากการรับบทกลอสเตอร์ในละครร่วมสมัยที่สร้างจาก Richard III โดยเชคสเปียร์ ระหว่างการคัดเลือกนักแสดงสำหรับ The Last Samurai ผู้กำกับเอ็ดเวิร์ด ซวิค ประทับใจในตัวยุนมากจนไปพบเขาที่ลอสแองเจลิส หลังจากนั้น ซวิคก็บอกยุนว่าสตูดิโอจะต้องคัดเลือกนักแสดงจากญี่ปุ่น แต่ก็สนับสนุนให้เขาย้ายไปลอสแองเจลิส เพราะเขามองเห็นศักยภาพของนักแสดงหนุ่มผู้นี้ นั่นเองเป็นแรงบันดาลใจให้ยุนย้ายไปลอสแองเจลิส ก่อนที่เขาจะรู้ว่าเขาได้รับข้อเสนอให้แสดงในดรามาช่วงกลางวันเรื่อง All My Children ในนิวยอร์ก ยุนบอกปัดข้อเสนอนี้ไปและไม่นานนัก เขาก็ได้รับบทนำบทแรกในภาพยนตร์คัลท์เรื่อง Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid ในปีถัดมา เขาได้รับเลือกจากสตีเฟน สปีลเบิร์กให้รับบทโคอิจิ คนรักลับๆ ของเกอิชา ฮัทสึโมโมะ ที่รับบทโดยกงลี่ใน Memoirs of a Geisha ที่สร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ระดับโลก ยุนยังคงรับบทนำและบทสมทบในภาพยนตร์อินดี ภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ได้รับรางวัลอย่างต่อเนื่อง เขาอาศัยอยู่ในซานตา มอนิกา, แคลิฟอร์เนีย และได้รับแรงบันดาลใจอย่างล้นเหลือจากบทบาทใหม่ของเขาในฐานะพ่อของลูกสาว ริค พี่ชายของเขา ก็เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จในฮอลลีวูดด้วยเช่นกัน

โอลก้า ฟอนดา (เจ้าของหุ่นยนต์ชาวรัสเซีย) เกิดทางตอนเหนือของรัสเซียและย้ายไปอเมริกาเพื่อเข้าศึกษาระดับไฮสคูลในปี 1996 เมื่อเธอมีอายุได้ 14 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษา เธอก็ได้รับทุนการศึกษาให้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเมน สาขาธุรกิจ เธอย้ายไปลอสแองเจลิส และเริ่มยึดอาชีพนางแบบ หลังจากนั้น เธอก็ได้รับเลือกให้แสดงในภาพยนตร์โดยบาร์รา แกรนท์เรื่อง Love Hurts และตัดสินใจที่จะชิมลางงานแสดง ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของฟอนดาได้แก่ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง Little Fockers, ภาพยนตร์วอร์เนอร์ บราเธอร์สเรื่อง Crazy, Stupid, Love กับเอ็มมา สโตน, ไรอัน กอสลิง, เควิน เบคอน, จูลีแอนน์ มัวร์, มาริสา โทเมย์และสตีฟ คาเรล และภาพยนตร์โดยซัมมิท เอนเตอร์เทนเมนต์เรื่อง The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part 1 ด้านจอแก้ว ฟอนดาได้รับบทดารารับเชิญในซีรีส์ How I Met Your Mother, Nip/Tuck, Melrose Place, Ugly Betty และซีซันหกของ Entourage ปัจจุบัน ฟอนดาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส

ประวัติทีมผู้สร้าง

ชอว์น เลวี (ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้สูงสุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ภาพยนตร์ของเขาทำรายได้ไปกว่า 1.6 พันล้านเหรียญทั่วโลก วิธีการสร้างภาพยนตร์ที่สดใส มีพลังความเยาว์วัยของเขานั้นปรากฏชัดในเรื่องราวและตัวละครที่เขาสร้างขึ้นและสะท้อนถึงความสุขที่เขามีต่อการทำงานในแต่ละโปรเจ็กต์ ในปี 2010 เลวีได้ส่ง Date Night ภาพยนตร์ที่เขากำกับและอำนวยการสร้าง เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยทีมนักแสดงระดับแถวหน้า ซึ่งประกอบไปด้วยสตีฟ คาเรล, ทีนา เฟย์, เจมส์ ฟรังโก้, มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, คริสติน วิก, มาร์ค รัฟฟาโลและลีห์ตัน มีสเตอร์ Date Night โดนใจผู้ชมอย่างจัง และทำรายได้ไปกว่า 150 ล้านเหรียญทั่วโลก นอกจากนี้ ทเวนตี้วัน แล็ปส์ บริษัทโปรดักชันของเลวี ยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คอเมดีฮิตเรื่อง What Happens in Vegas ที่นำแสดงโดยคาเมรอน ดิแอซและแอชตัน คุทเชอร์ ซึ่งทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลกอีกด้วย เลวีอำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Night at the Museum ที่นำแสดงโดยเบน สติลเลอร์, โรบิน วิลเลียมส์, โอเวน วิลสัน, ริคกี้ เกอร์เวส, แฮงค์ อาซาเรีย, เอมี อดัมส์, คริสโตเฟอร์ เกสท์, โจนาห์ ฮิล, ดิค แวน ไดค์และมิคกี้ รูนีย์ จนถึงวันนี้ ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกเรื่องนี้ทำรายได้ไปกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญแล้ว ก่อนหน้านี้ เลวีได้กำกับคอเมดีฮิตปี 2006 เรื่อง The Pink Panther ที่นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน, เควิน ไคลน์, บียอนเซ โนว์ลและฌอน เรโน และเขายังได้กำกับภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Cheaper By the Dozen ที่นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน, บอนนี ฮันท์, แอชตัน คุทเชอร์และฮิลลารี ดัฟฟ์ และทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก นอกเหนือจากงานกำกับแล้ว เลวียังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Neighborhood Watch ที่นำแสดงโดยเบน สติลเลอร์และวินซ์ วอห์น และบริษัทโปรดักชันของเขา ทเวนตี้วัน แล็ปส์/เอเดลสไตน์กำลังอำนวยการสร้างซิทคอมทางเอบีซีเรื่อง Last Days of Man ที่นำแสดงโดยทิม อัลเลน นอกจากนี้ เลวีและบริษัทของเขาก็กำลังพัฒนาภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ภายใต้การอำนวยการสร้างของพวกเขาอีก ได้แก่ The Ten Best Days of My Life (กับเอมี อดัมส์), The Devil You Know, The Pleasure of My Company, The Fight Before Christmas, Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day, How To Talk to Girls, Kodachrome, Deadliest Warrior, Home Movies, The Berenstain Bears, The Spectacular Now และ Table 19 เลวีสำเร็จการศึกษาจากคณะการละคร มหาวิทยาลัยเยล เมื่ออายุได้ 20 ปี หลังจากนั้น เขาก็ได้ศึกษาหลักสูตรงานสร้างภาพยนตร์จากยูเอสซี ที่ซึ่งเขาได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Broken Record ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลโกลด์ เพลค จากงานเทศกาลภาพยนตร์ชิคาโกและได้รับเลือกให้เข้าฉายในงานของสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา

จอห์น กาทินส์ (บทภาพยนตร์โดย) เป็นชาวนิวยอร์ก ที่ซึ่งพ่อของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ครอบครัวของเขาย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ในฮัดสัน วัลลีย์ ใกล้กับพัฟคีพซีย์ ที่ซึ่งกาทินส์เติบโตขึ้น และเขาก็ได้เข้าศึกษาที่วัสซาร์ คอลเลจ ก่อนจะสำเร็จการศึกษาสาขาการละครในปี 1990 หลังจากนั้น กาทินส์ก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเขาได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Summer Catch ที่กำกับโดยไมเคิล ทอลลิน บทภาพยนตร์เรื่องที่สองของเขา Hard Ball กำกับโดยทอลลินเช่นเดียวกันและนำแสดงโดยคีอานู รีฟส์และไดแอน เลน เขาได้สร้างและควบคุมงานสร้างตอนไพล็อตของซีรีส์โดยโทลิน/ร็อบบินส์ วอร์เนอร์ บราเธอร์สเรื่อง Learning Curve และร่วมเขียนบทดรามาฟุตบอลเรื่อง Coach Carter ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสัน กาทินส์เปิดตัวผลงานกำกับเรื่องแรกจากบทภาพยนตร์ของเขา Dreamer: Inspired by a True Story ที่นำแสดงโดยดาโกต้า แฟนนิงและเคิร์ท รัสเซล นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในคอเมดีโดยไบรอัน ร็อบบินส์เรื่อง Ready To Rumble นอกจากงานเขียนบทแล้ว เขายังเป็นนักแสดงอีกด้วย

แดน กิลรอย (เรื่องราวโดย) สำเร็จการศึกษาจากดาร์ทเมาธ์ คอลเลจ ผลงานของเขาในฮอลลีวูดรวมถึงการเขียนบท อำนวยการสร้างและแสดง ผลงานการเขียนบทภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเขาได้แก่ The Fall, Two for the Money, Chasers และ Freejack นอกจากนี้ เขายังเขียนบทภาพยนตร์สำหรับ The Bourne Legacy ที่กำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำและนำแสดงโดยเจเรมี เรนเนอร์, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันและราเชล ไวส์ ผลงานของเขาในฐานะผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่ Two for the Money กิลรอยมาจากครอบครัวที่มีสายเลือดศิลปิน ซึ่งรวมถึงพ่อ ผู้เป็นนักเขียนบทละครเจ้าของรางวัลโทนีและพูลิทเซอร์ แฟรงค์ (The Subject Was Roses) และพี่ชายของเขา จอห์น กิลรอย มือลำดับภาพชื่อดัง (Miracle, Michael Clayton, Salt, Warrior) เขาเป็นชาวแคลิฟอร์เนียและใช้ชีวิตในซานตา มอนิกากับภรรยาของเขาผู้เป็นนักแสดง เรเน รุสโซและลูกสาวของพวกเขา

เจเรมี เลเวน (เรื่องราวโดย) ล่าสุดได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Girl on a Bicycle ให้กับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส อินเตอร์เนชันแนล ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเข้าฉายในปี 2012 ผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นที่สุดของเลเวนในฐานะมือเขียนบทได้แก่ดรามาเรื่อง My Sister’s Keeper ที่กำกับโดยนิค คาสซาเวทส์และนำแสดงโดยคาเมรอน ดิแอซ, โซเฟีย วาสซิลีวา, อเล็ค บัลด์วินและเจสัน แพทริค, The Time Traveler’s Wife ที่นำแสดงโดยอีริค บานาและราเชล แม็คอดัมส์, The Notebook ที่ดัดแปลงจากนิยายเบสต์เซลเลอร์โดยนิโคลัส สปาร์คและนำแสดงโดยไรอัน กอสลิงและราเชล แม็คอดัมส์และภาพยนตร์ชื่อดังโดยโรเบิร์ต เร้ดฟอร์ดเรื่อง The Legend of Bagger Vance ที่นำแสดงโดยวิล สมิธ, แมท เดมอนและชาร์ลิซ เธอรอน นอกเหนือจากนั้น เขายังได้เขียนบทภาพยนตร์คอเมดีเรื่อง Playing for Keeps (ร่วมกับบ็อบและฮาร์วีย์ วีนสไตน์) ที่กำกับโดยพี่น้องวีนสไตน์ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ เลเวนยังเป็นนักเขียนนิยาย เขาได้ดัดแปลงนิยายสองเรื่องของเขาให้กลายเป็นภาพยนตร์ ได้แก่ Satan: His Psychotherapy and Cure by the Unfortunate Dr. Kassler, J.S.P.S. (ซึ่งกลายเป็นเรื่อง Crazy as Hell และกำกับโดยอีริค ลา แซลและนำแสดงโดยไมเคิล บีช, รอนนี ค็อกซ์และซินแบด) และ Creator ที่นำแสดงโดยปีเตอร์ โอ’ ทูลและมาเรียล เฮมมิงเวย์ เลเวนได้เขียนบทและกำกับ Don Juan De Marco ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่องแรกๆ ของจอห์นนี เด็ปป์และนำแสดงโดยมาร์ลอน แบรนโดและเฟย์ ดันนาเวย์ นอกจากนี้ เขายังเขียนบทและอำนวยการสร้างภาพยนตร์คอเมดีโดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง Alex & Emma ที่นำแสดงโดยลุค วิลสันและเคท ฮัดสันอีกด้วย

ดอน เมอร์ฟีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เกิดในฮิคส์วิลล์, นิวยอร์ก เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากโรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในวอชิงตัน ดี.ซี. แม้ว่าเขาจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในดี.ซี. ที่ไบโอกราฟ เธียเตอร์, เซอร์เคิล เธียเตอร์และสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน เพื่อดูผลงานภาพยนตร์ของคูบริคและโปแลนสกี้ก็ตาม พ่อของเขาช่วยให้เขาได้งานเป็นก็อปปี้ไรเตอร์ระหว่างช่วงซัมเมอร์ที่ไดเนอร์ เฮาเซอร์ เบทส์ บริษัทโฆษณาที่เป็นตัวแทนของสตูดิโอภาพยนตร์กว่า 70% ในขณะเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เลิกกิจการไปแล้ว ระหว่างทำงานที่นั่น เมอร์ฟีย์ได้ทำงานในแคมเปญของภาพยนตร์เรื่อง Blow-Up, Under the Rainbow และ Ragtime หลังจากสำเร็จการศึกษา เมอร์ฟีย์ก็ได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนภาพยนตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยเซาเธิร์น แคลิฟอร์เนีย ที่นั่น เขาได้พบกับเพื่อนผู้กลายเป็นผู้กำกับในอนาคตอย่างไบรอัน ซิงเกอร์, ไมเคิล เดวิส, แกรี เฟลเดอร์, สก็อตต์ โรเซนเบิร์ก, เจย์ โร้ค, จอห์น เทอร์เทิลท็อบ, แดน วอเตอร์สและแลร์รี คาราซูว์สกี้ ไม่นานหลังจากจบหลักสูตร เมอร์ฟีย์ก็ได้ร่วมงานกับเจน แฮมเชอร์ เพื่อนจากยูเอสซี ในการอำนวยการสร้างภาพยนตร์ เมอร์ฟีย์รู้จักเควนติน ทารันติโนจากร้านเช่าวิดีโอในย่านเซาธ์เบย์ และการรู้จักกันครั้งนี้ก็นำไปสู่การร่วมงานครั้งแรกของพวกเขาใน Natural Born Killers ตามมาด้วยภาพยนตร์อีกสองเรื่องได้แก่ Permanent Midnight และ Apt Pupil หลังจากนั้น เมอร์ฟีย์ก็อำนวยการสร้าง From Hell, The League of Extraordinary Gentlemen และ Bully ในปี 1998 เมอร์ฟีย์ก่อตั้งแองกรีฟิล์มส์กับซูซาน มองท์ฟอร์ด หุ้นส่วนของเขาและได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชื่อดังอย่างไตรภาค Transformers และ Shoot ‘Em Up ปัจจุบัน แองกรีฟิล์มส์อยู่ระหว่างการพัฒนาโปรเจ็กต์จอแก้วและจอเงินหลายเรื่อง

ซูซาน มองท์ฟอร์ด (ผู้อำนวยการสร้าง) เติบโตขึ้นในกลาสโกว์ ประเทศสก็อตแลนด์ ที่ซึ่งเธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากเกรย์ สคูล ออฟ อาร์ต เธอกลายเป็นศิลปินที่ทำงานกับสื่อผสมหลากหลายรูปแบบ (ประติมากรรม ภาพถ่ายและวิดีโอ) และแสดงผลงานของเธอเป็นประจำกับทรานมิสชัน แกลเลอรี, สตรีท เลเวล โฟโตกราฟฟี แกลเลอรีและวีเมน อิน โปรไฟล์ ความรักภาพยนตร์ในวัยเด็กของเธอผลิบานขึ้นเมื่อเธอได้รับทุนจากสภาภาพยนตร์ และได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์ขนาดสั้นสองเรื่อง Strangers และ Hairpin ที่เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติหลายแห่ง หลังจากนั้น มองท์ฟอร์ดก็ย้ายไปลอสแองเจลิส ที่ซึ่งเธอทุ่มเทให้กับงานเขียนบท กำกับและอำนวยการสร้าง นอกเหนือจาก Real Steel แล้ว เธอยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Shoot ‘Em Up ที่นำแสดงโดยไคลฟ์ โอเวนและ Splice ที่นำแสดงโดยเอเดรียน โบรดี้ เธอได้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง While She Was Out ที่นำแสดงโดยคิม บาซิงเจอร์ นอกจากนี้ เธอยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ยังไม่ลงโรงอีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึง At the Mountains of Madness ที่เธอร่วมงานกับกุยเลอร์โม เดล โทโรและ Gala Dali ที่ร่วมงานกับโรเจอร์ อาวารี ปัจจุบัน มองท์ฟอร์ดกำลังเขียนบทตอนไพล็อตให้กับฟ็อกซ์ ทีวี สตูดิโอส์และภาพยนตร์เรื่องที่สองที่เธอจะเป็นผู้กำกับเองด้วย

แจ็ค แร็ปเก้ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนภาพยนตร์เอ็นวายยูในปี 1975 หลังจากนั้น เขาก็ย้ายไปลอสแองเจลิสในเพื่อเริ่มต้นทำงานในแวดวงบันเทิง จุดหมายแรกของเขาคือห้องพัสดุที่วิลเลียม มอร์ริส เอเยนซี สี่ปีให้หลัง เขาก็ได้เข้าทำงานที่ครีเอทีฟ อาร์ติส เอเยนซี (ซีเอเอ) ที่ซึ่งเขาได้ผลักดันตัวเองให้กลายเป็นหนึ่งในเอเยนต์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในฮอลลีวูดตลอดช่วงระยะเวลา 17 ปีหลังจากนั้น ในช่วงเวลาเจ็ดปีที่เขาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการร่วมแผนกภาพยนตร์ของซีเอเอ แร็ปเก้ได้เป็นตัวแทนของลูกค้าที่มีชื่อเสียงมากมายเช่นเจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์, ริดลีย์ สก็อตต์, ไมเคิล แมนน์, ฮาโรลด์ รามิส, ไมเคิล เบย์, เทอร์รี่ กิลเลียม, บ็อบ เกล, โบ โกลด์แมน, สตีฟ โคลฟส์, โฮเวิร์ด แฟรงคลิน, สก็อตต์ แฟรงค์, โรเบิร์ต คาเมน, จอห์น ฮิวจ์, โจเอล ชูมัคเกอร์, มาร์ตี เบรสต์, คริส โคลัมบัส, เอซรา แซ็คส์และหุ้นส่วนนสองคนจากอิเมจิน เอนเตอร์เทนเมนต์ รอน โฮเวิร์ดและไบรอัน เกรเซอร์ ด้วยความที่เขามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างบริษัทโปรดักชันของลูกค้าเขา เขาจึงใช้เวลาไม่นานเลยในการจะสร้างบริษัทซักแห่งขึ้นมากับโรเบิร์ต เซเมคิส ซึ่งเป็นลูกค้าคนหนึ่งของเขา ในปี 1998 แร็ปเก้ได้ออกจากบริษัทซีอีเอเพื่อมาก่อตั้งอิเมจมูฟเวอร์สกับเซเมคิสและคู่หูในการอำนวยการสร้างของเขา สตีฟ สตาร์กีย์ ภาพยนตร์เรื่องแรกของบริษัทแห่งนี้ ซึ่งผลิตภาพยนตร์เป็นหลักคือ Cast Away ที่กำกับโดยเซเมคิสและนำแสดงโดยทอม แฮงค์ จากนั้น แร็ปเก้และหุ้นส่วนของเขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตมากมายรวมถึงทริลเลอร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง What Lies Beneath ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและมิเชล ไฟเฟอร์, Matchstick Men ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ, The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่นำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์และวู้ดดี้ ฮาร์เรลสันและ Last Holiday ที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์ การใช้เทคโนโลยีแปลกใหม่ ที่เรียกว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ของเซเมคิสในภาพยนตร์ปี 2004 เรื่อง The Polar Express ได้บุกเบิกเส้นทางใหม่ให้กับการสร้างภาพยนตร์ 3D แร็ปเก้และหุ้นส่วนของเขาได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อีกสี่เรื่องที่ใช้เทคนิคเดียวกันนี้ คือภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ปี 2006 เรื่อง Monster House, ภาพยนตร์ปี 2007 ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง Beowulf ที่นำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์, แองเจลินา โจลี, เรย์ วินสโตนและโรบิน ไรท์ เพนน์และภาพยนตร์ปี 2009 เรื่อง A Christmas Carol สำหรับวอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอส์ ที่นำแสดงโดยจิม แคร์รีย์และกำกับโดยเซเมคิส นอกเหนือจากนั้น พวกเขายังร่วมกันอำนวยการสร้างซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง The Borgias ที่นำแสดงโดยเจเรมี ไอรอนส์อีกด้วย

โรเบิร์ต เซเมคิส (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเรื่อง Forrest Gump ของเขา รางวัลมากมายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับยังได้แก่รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (ทอม แฮงค์) และสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เซเมคิสได้ร่วมงานกับแฮงค์อีกครั้งหนึ่งในดรามาร่วมสมัยเรื่อง Cast Away ซึ่งการถ่ายทำถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน และงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง What Lies Beneath เซเมคิสและแฮงค์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Cast Away ร่วมกับสตีฟ สตาร์กีย์และแจ็ค แร็ปเก้ สมัยที่เขาเริ่มทำงานใหม่ๆ เซเมคิสได้ร่วมเขียนบท (กับบ็อบ เกล) และกำกับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 1985 ซึ่งส่งให้เซเมคิสได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม จากนั้น เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future, Part II และ Part III ซึ่งทำให้เกิดเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเรื่องหนึ่ง นอกเหนือจากนั้น เขายังได้กำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Contact ที่นำแสดงโดยโจดี ฟอสเตอร์ และสร้างขึ้นจากนิยายเบสต์เซลเลอร์ของคาร์ล ซากาน และคอเมดีเรื่อง Death Becomes Her ที่นำแสดงโดยเมอริล สตรีพ, โกลดี ฮอว์นและบรูซ วิลลิส เขายังได้กำกับภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศเรื่อง Who Framed Roger Rabbit? ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันเข้าด้วยกันได้อย่างเฉียบคม จากนั้น เขาก็ได้กำกับภาพยนตร์โรแมนติกผจญภัยเรื่อง Romancing the Stone ที่นำแสดงโดยไมเคิล ดักกลาสและแคธลีน เทิร์นเนอร์และยังได้ร่วมเขียนบท (กับบ็อบ เกล) และกำกับคอเมดีเรื่อง Used Cars และ I Wanna Hold Your Hand อีกด้วย นอกจากนี้ เซเมคิสยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง House on Haunted Hill และควบคุมงานสร้างภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น The Frighteners, The Public Eye และ Trespass ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับบ็อบ เกลด้วย ก่อนหน้านี้ เขาและเกลได้เขียนบทเรื่อง 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการร่วมงานระหว่างเซเมคิสและสตีเวน สปีลเบิร์กมาก่อน ด้านจอแก้ว เซเมคิสได้กำกับโปรเจ็กต์หลายชิ้น ซึ่งรวมถึงสารคดีขนาดยาวทางโชว์ไทม์เรื่อง The 20th Century: The Pursuit of Happiness ซึ่งเผยเรื่องราวผลกระทบของยาเสพติดและเหล้าที่มีต่อสังคมศตวรรษที่ 20 ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่หลายๆ เอพิโซดในซีรีส์ Amazing Stories ของสปีลเบิร์กและ Tales of the Crypt ทางเอชบีโอ ในปี 1998 เซเมคิส, สตีฟ สตาร์กีย์และแจ็ค แร็ปเก้ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ในชื่อ อิเมจมูฟเวอร์ส โดย What Lies Beneath เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เปิดตัวภายใต้ชื่ออิเมจมูฟเวอร์ส ตามมาด้วย Cast Away ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมอย่างล้นหลามเมื่อลงโรงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2000 และ Matchstick Men ในเดือนมีนาคม ปี 2001 ยูเอสซี สคูล ออฟ ซีเนมา-เทเลวิชัน ได้เฉลิมฉลองการเปิดตัวโรเบิร์ต เซเมคิส เซ็นเตอร์ ฟอร์ ดิจิตอล อาร์ต สถาบันศิลปะแห่งนี้เป็นศูนย์การฝึกดิจิตอลเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศ และเป็นสถานที่รวมอุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำและหลังการถ่ายทำ ทั้งยังมีเวที ห้องฉายภาพยนตร์ขนาด 50 ที่นั่ง และสถานีโทรทัศน์ที่บริหารงานโดยนักเรียนของยูเอสซีในชื่อโทรจัน วิชัน ในปี 2004 เซเมคิสได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์โมชัน แคปเจอร์เรื่อง The Polar Express ที่นำแสดงโดยทอม แฮงค์ นอกจากนี้ เขายังได้สร้างภาพยนตร์ที่สร้างจากชีวิตจริงเรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่นำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์และวู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน และนอกเหนือจากนั้น เขายังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Monster House และคอเมดีที่นำแสดงโดยควีน ลาติฟาห์เรื่อง Last Holiday อีกด้วย เซเมคิสได้อำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์โมชัน แคปเจอร์เรื่องที่สองของเขา Beowulf ซึ่งอำนวยการสร้างโดยแร็ปเก้และสตาร์กีย์ด้วยเช่นกัน ภาพยนตร์เรื่องนั้น ซึ่งนำแสดงโดยแอนโธนี ฮ็อปกินส์, แองเจลินา โจลีและเรย์ วินสโตน สร้างขึ้นจากหนึ่งในวรรณคดีแองโกล-แซ็กซอนอายุเก่าแก่ที่สุดเท่าที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งถูกเขียนขึ้นในช่วงประมาณศตวรรษที่ 10 ล่าสุด ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2009 เซเมคิสได้ส่ง A Christmas Carol ซึ่งเป็นภาพยนตร์โมชัน แคปเจอร์ ที่ทันสมัยที่สุดจนถึงปัจจุบัน และสร้างขึ้นจากเรื่องราวคลาสสิกที่ได้รับการยกย่องโดยชาร์ลส์ ดิคเคนส์ ลงโรง แร็ปเก้และสตาร์กีย์ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

สตีฟ สตาร์กีย์ (ผู้ควบคุมงานสร้าง) ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในฐานะผู้อำนวยการสร้างคนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง Forrest Gump ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ภาพยนตร์เรื่องนี้ที่กำกับโดยโรเบิร์ต เซเมคิสและนำแสดงโดยทอม แฮงค์ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล และกวาดรางวัลออสการ์มาได้ถึงหกรางวัล ซึ่งรวมถึงสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและนักแสดงยอดเยี่ยม และรางวัลลูกโลกทองคำ รางวัลสูงสุดจากสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติในปี 1994 สองรางวัลพีเพิล ชอยส์ อวอร์ดส์ รางวัลโกลเดน ลอเรลจากสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างและการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตา สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ สตาร์กีย์ยังได้บุกเบิกเทคโนโลยีเพอร์ฟอร์แมนซ์ แคปเจอร์ในภาพยนตร์ที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง A Christmas Carol, The Polar Express และ Beowulf และภาพยนตร์ที่กำกับโดยกิล คีแนนเรื่อง Monster House ซึ่งสตาร์กีย์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างทุกเรื่อง ร่วมกับหุ้นส่วนในอิเมจมูฟเวอร์สของเขา ผลงานของสตาร์กีย์ภายใต้อิเมจมูฟเวอร์สได้แก่ดรามาอีพิคที่กำกับโดยเซเมคิสเรื่อง Cast Away ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับทอม แฮงค์อีกครั้งหนึ่งและทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่อง What Lies Beneath ที่นำแสดงโดยแฮร์ริสัน ฟอร์ดและมิเชลล์ ไฟเฟอร์และอำนวยการสร้างโดยเซเมคิสด้วยเช่นกัน สตาร์กีย์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง The Prize Winner of Defiance, Ohio ที่กำกับโดยเจน แอนเดอร์สันและนำแสดงโดยจูลีแอนน์ มัวร์ และรับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์เรื่อง Matchstick Men ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์และนำแสดงโดยนิโคลัส เคจ การร่วมงานกันระหว่างสตาร์กีย์และเซเมคิสเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1986 ที่เขารับหน้าที่ผู้ช่วยอำนวยการสร้างในภาพยนตร์แปลกใหม่เรื่อง Who Framed Roger Rabbit? จากนั้น เขาก็ได้ทำงานในลักษณะเดียวกันนี้อีกในภาคที่สองและสามของไตรภาค Back to the Future การร่วมงานกันของทั้งคู่ยังคงยาวนานมาถึงตอนที่ทั้งคู่อำนวยการสร้างภาพยนตร์ตลกร้ายเรื่อง Death Becomes Her ตามมาด้วย Forrest Gump และ Contact นอกจากนี้ สตาร์กีย์ยังได้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์คอเมดีโปกฮาเรื่อง Noises Off และอำนวยการสร้างสารคดีขนาดยาวของโชว์ไทม์เรื่อง The 20th Century: The Pursuit of Happiness ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการติดยาและติดเหล้า สารคดีเรื่องนี้ก็กำกับและอำนวยการสร้างบริหารโดยโรเบิร์ต เซเมคิสเช่นเคย ในช่วงเริ่มแรก เขาได้ทำงานกับจอร์จ ลูคัสในลูคัสฟิล์ม ที่ซึ่งเขาเป็นผู้ช่วยลำดับภาพในภาพยนตร์เรื่อง The Empire Strikes Back และ Return of the Jedi หลังจากนั้น เขาก็ได้ลำดับภาพภาพยนตร์สารคดีให้กับแอมบลิน เอ็นเตอร์เทนเมนต์ของสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้างให้ซีรีส์แอนโธโลจีเรื่อง Amazing Stories ของสปีลเบิร์ก และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างซีรีส์ปี 1993 ที่แพร่ภาพทางซีบีเอสเรื่อง Johnny Bago

สตีเวน สปีลเบิร์ก (ผู้ควบคุมงานสร้าง) หนึ่งในผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จสูงสุดและทรงอิทธิพลสูงสุดของวงการ เป็นหุ้นส่วนคนสำคัญของดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ ในปี 2009 เขาและหุ้นส่วน สเตซีย์ สไนเดอร์ ได้ร่วมกับเดอะ รีไอแลนซ์ อานิล ดิรูไบ แอมบานี กรุ๊ป เพื่อก่อตั้งดรีมเวิร์คส์ใหม่ขึ้นมา บริษัทใหม่นี้เป็นการสานต่อจากดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ ซึ่งก่อตั้งโดยสปีลเบิร์ก, เจฟฟรีย์ คัทเซนเบิร์กและเดวิด เจฟเฟน ในปี 1994 นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังเป็นผู้กำกับเจ้าของสถิติรายได้สูงสุดตลอดกาล ด้วยการกำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์มากมายเช่น Jaws, E.T. The Extra-Terrestrial, แฟรนไชส์ Indiana Jones และ Jurassic Park อีกด้วย สปีลเบิร์กได้รับรางวัลออสการ์สองตัวแรก ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมและภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องทั่วโลกเรื่อง Schindler’s List ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ทั้งหมดเจ็ดสาขา นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1993 จากสถาบันนักวิจารณ์มากมาย และได้รับเจ็ดรางวัลบาฟตา อวอร์ด สามรางวัลลูกโลกทองคำ ซึ่งทั้งสองรางวัลรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา จากผลงานของเขาในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย สปีลเบิร์กได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดครั้งที่สาม สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจากดรามาสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง Saving Private Ryan ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในอเมริกาประจำปี 1998 และมันยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลสูงสุดในปีนั้น ด้วยการได้รับอีกสี่รางวัลออสการ์ สองรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทดรามาและสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม รวมไปถึงรางวัลจากสถาบันนักวิจารณ์ต่างๆ ในสาขาเดียวกัน นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังได้รับอีกหนึ่งรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา และร่วมรับรางวัลสมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกากับผู้อำนวยการสร้างคนอื่นๆ ของเรื่อง ในปีเดียวกันนั้นเอง สมาพันธ์ผู้อำนวยการสร้างแห่งอเมริกายังมอบรางวัลไมล์สโตน อวอร์ดจากคุณูปการที่เขามีต่อแวดวงภาพยนตร์ให้กับสปีลเบิร์กด้วย นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก Munich, E.T. The Extra-Terrestrial, Raiders of the Lost Ark และ Close Encounters of the Third Kind อีกด้วย นอกเหนือจากนั้น เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาจากภาพยนตร์เหล่านั้น รวมไปถึง Jaws, The Color Purple, Empire of the Sun และ Amistad สปีลเบิร์กได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับอเมริกาสิบครั้งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าผู้กำกับทุกคน ในปี 2000 เขาได้รับรางวัลความสำเร็จแห่งชีวิตจากสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกา นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลเออร์วิง จี. ธัลเบิร์ก อวอร์ดจากสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์ รางวัลเซซิล บี. เดอมิลล์จากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศฮอลลีวูด รางวัลเคนเนดี้ เซ็นเตอร์ ออเนอร์ส และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ล่าสุด สปีลเบิร์กได้กำกับภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull ซึ่งเป็นภาคสี่ของแฟรนไชส์ Indy เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ฮิตในช่วงซัมเมอร์นี้ Super 8 ที่กำกับโดยเจเจ อับรามส์ ผลงานหลังจากนี้ของเขาได้แก่การกำกับภาพยนตร์อนิเมชัน 3D เรื่อง The Adventures of Tintin: Secret of the Unicorn ที่สร้างขึ้นจากตัวละครไอคอนที่สร้างโดยจอร์จ แอร์เจ เรมี ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอโดยสปีลเบิร์กและปีเตอร์ แจ็คสัน และจัดจำหน่ายโดยโซนี พิคเจอร์สในต่างประเทศในเดือนตุลาคม และจัดจำหน่ายโดยพาราเมาท์ พิคเจอร์สในวันที่ 23 ธันวาคม นอกจากนี้ เขายังได้กำกับ War Horse ที่สร้างขึ้นจากนิยายรางวัล ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นละครเวทีในลอนดอนและเพิ่งได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดสาขาดรามายอดเยี่ยมในบรอดเวย์ ภาพยนตร์โดยดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์เรื่องนี้ มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 28 ธันวาคม ปี 2011 ในเดือนตุลาคม เขาได้เริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Lincoln โดยดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ ที่มีกำหนดเข้าฉายในฤดูใบไม้ร่วงปี 2012 ผลงานเรื่องแรกของสปีลเบิร์กคือภาพยนตร์ขนาดสั้นปี 1968 เรื่อง Amblin ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับสตูดิโอ เขาได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์ของเขาในปี 1971 เรื่อง Duel สามปีให้หลัง เขาได้เปิดตัวผลงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกใน The Sugarland Express จากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนด้วย ผลงานเรื่องถัดไปของเขา Jaws เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำรายได้เกินระดับร้อยล้านเหรียญ ในปี 1984 สปีลเบิร์กได้ก่อตั้งแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของตัวเอง ภายใต้แบนเนอร์แอมบลิน เขาได้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องเช่น Gremlins, Goonies, Back to the Future I, II, และ III, Who Framed Roger Rabbit?, An American Tail, Twister, The Mask of Zorro และแฟรนไชส์ Men in Black นอกจากนี้ แอมบลินยังได้อำนวยการสร้างซีรีส์ฮิตเรื่อง ER ให้กับวอร์เนอร์ บรอส. เทเลวิขันด้วย ในปี 1994 สปีลเบิร์กได้ร่วมมือกับเจฟฟรีย์ คัทเซนเบิร์กและเดวิด เจฟเฟนในการก่อตั้งดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ขึ้น สตูดิโอแห่งนี้ประสบความสำเร็จทั้งเชิงคำวิจารณ์และรายได้ ด้วยผลงานภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสามเรื่องติดต่อกัน ได้แก่ American Beauty, Gladiator และ A Beautiful Mind ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ดรีมเวิร์คส์ยังได้อำนวยการสร้างหรือร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลากหลายแนว ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ Transformers, ดรามาสงครามโลกครั้งที่สองโดยคลินท์ อีสต์วู้ดเรื่อง Flags of Our Fathers และ Letters from Iwo Jima ซึ่งเรื่องหลังนี้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, Meet the Parents, Meet the Fockers และ The Ring ภายใต้ดรีมเวิร์คส์ สปีลเบิร์กยังได้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมหลายเรื่องเช่น War of the Worlds, Minority Report, Catch Me If You Can และ A.I. Artificial Intelligence ความสำเร็จของสปีลเบิร์กไม่ได้จำกัดอยู่แค่จอเงินเท่านั้น เขายังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างดรามารางวัลเอ็มมีเรื่อง ER ที่อำนวยการสร้างโดยแอมบลิน เอนเตอร์เทนเมนต์ของเขาและวอร์เนอร์ บรอส. เทเลวิชัน ให้กับเอ็นบีซี หลังจากประสบการณ์ของพวกเขาใน Saving Private Ryan เขาและทอม แฮงค์จึงได้ร่วมควบคุมงานสร้างมินิซีรีส์เอชบีโอปี 2001 เรื่อง Band of Brothers ที่สร้างขึ้นจากหนังสือของสตีเฟน แอมโบรสเกี่ยวกับหน่วยทหารอเมริกาในยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รางวัลส่วนหนึ่งที่โปรเจ็กต์นี้ได้รับคือรางวัลเอ็มมีและรางวัลลูกโลกทองคำสาขามินิซีรีส์ยอดเยี่ยม ล่าสุด เขาและแฮงค์ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งเพื่อควบคุมงานสร้างมินิซีรีส์เอชบีโอปี 2010 เรื่อง The Pacific ครั้งนี้ให้น้ำหนักไปที่หน่วยทหารเรือในภูมิภาคแปซิฟิคของสงครามโลกครั้งที่สอง The Pacific ได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดแปดสาขา ซึ่งรวมถึงมินิซีรีส์ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังควบคุมงานสร้างมินิซีรีส์ไซไฟ แชนแนลที่ได้รับรางวัลเอ็มมีเรื่อง Taken และมินิซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง Into the West เขารับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์โชว์ไทม์เรื่อง The United States of Tara และรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์ทีเอ็นทีเรื่อง Falling Skies และ Terra Nova ที่ฟ็อกซ์ ทีวี รวมถึงหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างใน Smash ที่จะเปิดตัวทางเอ็นบีซี ในช่วงต้นปี 2012 นอกเหนือจากงานภาพยนตร์แล้ว สปีลเบิร์กยังอุทิศเวลาและทรัพยากรของเขาให้กับองค์กรการกุศลมากมาย ผลกระทบจากผลงานของเขาใน Schindler’s List ทำให้เขาก่อตั้งมูลนิธิไรชัส เพอร์ซันส์ ฟาวน์เดชัน ด้วยการใช้กำไรทั้งหมดจากภาพยนตร์เรื่องนั้นของเขา นอกจากนี้ เขายังได้ก่อตั้งมูลนิธิเซอร์ไวเวอร์ส ออฟ เดอะ โชอาห์ วิชวล ฮิสทอรี ฟาวน์เดชัน ซึ่งกลายเป็นยูเอสซี โชอาห์ ฟาวน์เดชัน อินสติติวท์ ฟอร์ วิชวล ฮิสทอรี แอนด์ เอ็ดดูเคชัน ในปี 2005 นอกเหนือจากนั้น สปีลเบิร์กยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการกิตติมศักดิ์มูลนิธิสตาร์ไลท์ ชิลเดรนอีกด้วย

แมรี แม็คแล็กเลน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) เป็นผู้ควบคุมงานสร้างผู้คร่ำหวอดในวงการ เจ้าของผลงานภาพยนตร์ที่น่าจดจำหลายเรื่อง ล่าสุด เธอได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีฮิตเรื่อง The Proposal ที่นำแสดงโดยแซนดรา บุลล็อคและไรอัน เรย์โนลด์ส และคอเมดีที่ยังไม่ลงโรงเรื่อง My Mother’s Curse ที่กำกับโดยแอนนา เฟล็ทเชอร์และนำแสดงโดยบาร์บรา สตรายแซนด์และเซธ โรแกน แม็คแล็กเลนได้ร่วมงานกับนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ แซนดรา บุลล็อคมาแล้วหลายครั้ง โดยพวกเธอเคยร่วมงานกันมาแล้วในโปรเจ็กต์แปดเรื่อง ซึ่งรวมถึง The Proposal, All About Steve, The Lakehouse, Miss Congeniality 2: Armed and Fabulous, Two Weeks Notice, Divine Secrets of the Ya-Ya Sisterhood, Practical Magic และ Hope Floats นอกจากนี้ เธอยังรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story, ภาพยนตร์โดยมีมี ลีเดอร์เรื่อง Pay It Forward และภาพยนตร์คอเมดีโดยแบร์รี เลวินสันเรื่อง Envy อีกด้วย เธอร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง One Fine Day, Sgt. Bilko, Moonlight and Valentino, The Client และ Sommersby แม็คแล็กเลน เป็นทายาทรุ่นที่สามในแวดวงภาพยนตร์ โดยเธอเป็นหลานสาวของนักแสดงสมทบเจ้าของรางวัลออสการ์ วิคเตอร์ แม็คแล็คเลน (The Informer, The Quiet Man) และเป็นลูกสาวของผู้กำกับแอนดรูว์ แม็คแล็กเลน (McLintock!, Shenandoah, The Rare Breed) พี่ชายของเธอ จอช แม็คแล็กเลน (Avatar, Night at the Museum, Titanic) อีกหนึ่งผู้ควบคุมงานสร้างของ Real Steel เป็นหนึ่งในผู้ช่วยผู้กำกับ/ผู้ควบคุมงานสร้างที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในวงการ นอกเหนือจาก Real Steel แล้ว แม็คแล็กเลนยังได้ร่วมงานกับพี่ชายของเธอในภาพยนตร์อีกสี่เรื่อง นี่เป็นผลงานเรื่องแรกที่เธอได้ร่วมงานกับเลวี เธอเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยกองถ่ายในภาพยนตร์ของพ่อเธอ และเธอก็ไต่เต้าไปเป็นผู้ประสานงานกองถ่าย (Nomads, Runaway Train, Back to School) และผู้จัดการกองถ่าย (Jack’s Back, The Prince of Pennsylvania, My Cousin Vinny) ก่อนจะได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ Cold Feet ในปี 1988

จอช แม็คแล็กเลน (ผู้ควบคุมงานสร้าง) สำเร็จการศึกษาจากยูซีแอลเอ เอกประวัติศาสตร์ในปี 1980 หลังจากร่วมงานกับพ่อของเขา ผู้กำกับแอนดรูว์ แม็คแล็กเลน ในฐานะสตันท์แมนและผู้ช่วยกองถ่าย เขาก็ได้เข้าร่วมสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาในปี 1984 เขาทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่สองของดันแคน เฮนเดอร์สัน อาจารย์ของเขาในภาพยนตร์หลายเรื่อง ในปี 1987 เขากลายเป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่งในมินิซีรีส์เรื่อง Amerika Real Steel เป็นผลงานเรื่องที่ 40 ที่แม็คแล็กเลนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่ง ในปี 2002 แม็คแล็กเลน เริ่มทำหน้าที่ควบเป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้าง/ผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่ง และตอนนี้เขาก็ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง/ผู้ช่วยผู้กำกับที่หนึ่ง เขาได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จหลายคน เช่นเทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ด ประธานสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาคนปัจจุบัน รวมไปถึงโรเบิร์ต เซเมคิส, ฟรานซิส ลอว์เรนซ์, ไมเคิล เบย์, ชอว์น เลวีและเจมส์ คาเมรอน เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับแห่งอเมริกาสองครั้งสำหรับ Avatar ในปี 2009 และสำหรับ Titanic ในปี 1997 แม็คแล็กเลนเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกเทคโนโลยีโมชัน แคปเจอร์ของวงการและได้รับเกียรติในการร่วมงานในภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลสองเรื่องคือ Avatar และ Titanic

เมาโร ฟิโอเร (ผู้กำกับภาพ) (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาใน Avatar ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ The A-Team, The Kingdom, Smokin’ Aces, The Island, Training Day, Driven, Lost Souls และ Get Carter นอกจากนี้ เขายังได้ทำงานในหลายเอพิโซดของซีรีส์สเก็ตช์ คอเมดียอดนิยมทางเอชบีโอเรื่อง Tracey Takes On… และเป็นผู้กำกับภาพในภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง The Call, Ticker และ Drag ฟิโอเรเกิดในมาร์ซี, คาลาเบรีย ประเทศอิตาลี และสำเร็จการศึกษาจากโคลัมเบีย คอลเลจในชิคาโกในปี 1987

ทอม ไมเยอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง) ปัจจุบัน อยู่ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์โดยชอว์น เลวีเรื่อง Fantastic Voyage ซึ่งอำนวยการสร้างโดยเจมส์ คาเมรอน, ไลท์สตอร์ม บริษัทของเขาและทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ผลงานภาพยนตร์ของเขาได้แก่ Jonah Hex ที่นำแสดงโดยจอช โบรลิน, Orphan สำหรับผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ, อีพิคสงครามโลกครั้งที่สองโดยไบรอัน ซิงเกอร์เรื่อง Valkyrie, We Are Marshall, A Lot Like Love, Blue Crush, Catch That Kid และภาพยนตร์ขนาดสั้นเรื่อง Whatever We Do ภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยโทบี้ แม็คไกวร์ ที่เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2003 ผลงานของเขาในฐานะผู้กำกับศิลป์ได้แก่ภาพยนตร์โดยจอห์น สต็อคเวลเรื่อง Crazy/Beautiful, ผลงานกำกับเรื่องแรกของคริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์เรื่อง The Way of the Gun, The Crow: Salvation และ No Vacancy ไมเยอร์เปิดตัวในฐานะนักออกแบบในคอเมดีอาชญากรรมปี 2002 เรื่อง Welcome to Collinwood ที่กำกับโดยแอนโธนี และโจ รุสโซ และอำนวยการสร้างโดยจอร์จ คลูนีย์และสตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์ ในปี 2006 เขากลับมาร่วมงานกับคลูนีย์และโซเดอร์เบิร์กห์ ผู้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง Pu-239 ร่วมกับปีเตอร์ เบิร์ก ไมเยอร์ได้รับรางวัลสมาพันธ์ผู้กำกับศิลป์สาขาออกแบบงานสร้างจากผลงานของเขา ผลงานจอแก้วเรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่การทำหน้าที่ผู้กำกับศิลป์ในโฆษณาและมิวสิค วิดีโอหลายชิ้น เขาเริ่มต้นทำงานจากการเป็นเด็กฝึกงานวัย 13 ขวบที่แอ็กเตอร์ส สตูดิโอ แห่งหลุยส์วิลล์ หนึ่งในโรงละครท้องถิ่นที่ได้รับการยกย่องสูงสุดของประเทศ ด้วยประสบการณ์กว่าสิบปีในวงการละครเวที ไมเยอร์เป็นผู้ช่วยออกแบบพำนักที่ซีแอตเติล รีเพอร์ทอรี ระหว่างปี 1993-96 ที่ซึ่งเขาได้ออกแบบละครเวทีหลายเรื่องเช่นละครโดยอาร์เธอร์ โลรองท์เรื่อง Jolson Sings Again, ละครโดยจอน โรบิน เบทส์เรื่อง A Fair Country และละครโดยเวนดี้ วัสเซอร์สไตน์เรื่อง An American Daughter ซึ่งทั้งหมดกำกับโดยแดเนียล ซัลลิแวน เจ้าของรางวัล รวมไปถึงเรื่อง Bill Irwin’s Experiments, Pretty Fire และ SubUrbia

ดีน ซิมเมอร์แมน (มือลำดับภาพ) ก่อนหน้านี้เคยร่วมงานกับผู้กำกับชอว์น เลวีใน Date Night, Night at the Museum 1 & 2 และ Just Married ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Fun with Dick and Jane, Rush Hour 3, The Cat in the Hat, Jumper, Gulliver’s Travels และ Flight of the Phoenix ผลงานภาพยนตร์ก่อนหน้านี้ของซิมเมอร์แมนได้แก่ A Walk in the Clouds และคอเมดีเรื่อง The Nutty Professor, The Ladies Man, Liar Liar และ Half Baked นอกจากนั้น เขายังได้ทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Patch Adams และ Galaxy Quest ซิมเมอร์แมนเป็นสมาชิกของ “ตระกูล” มือลำดับภาพของฮอลลีวูด ซึ่งรวมถึงพ่อของเขา ดอน ซิมเมอร์แมน, แดน พี่ชายฝาแฝดของเขาและเดวิด น้องชายของเขา

มาร์ลีน สจวร์ต (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) ได้รับปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ยุโรปจากยูซี เบิร์คลีย์และไปศึกษาสาขาออกแบบจากแฟชัน อินสติติวท์ ออฟ ดีไซน์ แอนด์ เมอร์แชนไดซิง นับตั้งแต่นั้นมา เธอก็มีอาชีพที่รุ่งโรจน์ และได้ร่วมงานกับผู้กำกับชื่อดังแห่งยุคหลายคน สจวร์ตเป็นผู้บุกเบิกคนแรกๆ ในแวดวงมิวสิค วิดีโอ และได้ร่วมงานกับสแมชชิง พัมพ์กินส์, เดอะ แบงเกิลส์, ยูริธมิคส์, เดอะ โรลลิง สโตนส์, เจเน็ต แจ็คสันและเด็บบี้ แฮร์รี นอกจากนี้ เธอยังได้ออกทัวร์กับมาดอนนาสามครั้งและได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับมิวสิค วิดีโอที่ได้รับความนิยมสูงสุดของเธอหลายเพลง ซึ่งรวมถึง Vogue, Material Girl, Like a Prayer และ Express Yourself วิดีโอเพลง Vogue ทำให้เธอได้รับรางวัลเอ็มทีวี มิวสิค วิดีโอ อวอร์ดสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ระหว่างนี้ เธอยังได้ออกแบบไลน์เสื้อผ้าสตรีร่วมสมัย คัฟเวอร์ส ที่วางจำหน่ายในห้างร้านต่างๆ ในนิวยอร์ก, ลอนดอน, โตเกียว, ปารีส, มิลานและโรม ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของสจวร์ตได้แก่ภาพยนตร์ที่กำลังจะลงโรงเรื่อง Hansel and Gretel: Witch Hunters ที่กำกับโดยทอมมี เวอร์โคลา, Date Night และแฟรนไชส์ Night at the Museum ที่กำกับโดยชอว์น เลวี, Tropic Thunder ที่กำกับโดยเบน สติลเลอร์, Stop-Loss ที่กำกับโดยคิมเบอร์ลีย์ เพียร์ซ, The Holiday ที่กำกับโดยแนนซี ไมเยอร์, Hitch ที่กำกับโดยแอนดี้ เทนเนนท์, 21 Grams ที่กำกับโดยอเลฮันโด กอนซาเลซ-อินาร์ริตู, Ali ที่กำกับโดยไมเคิล แมนน์, Coyote Ugly ที่กำกับโดยเดวิด แม็คแนลลี, Gone in 60 Seconds ที่กำกับโดยโดมินิค เซนา, Enemy of the State ที่กำกับโดยริดลีย์ สก็อตต์, The Phantom ที่กำกับโดยไซมอน วินเซอร์, True Lies ที่กำกับโดยเจมส์ คาเมรอน, JFK ที่กำกับโดยโอลิเวอร์ สโตนและ Siesta ที่กำกับโดยแมรี แลมเบิร์ต นอกจากนี้ สจวร์ตยังได้รับรางวัลบ็อบ แม็คกี้ อวอร์ด ฟอร์ ดีไซน์อีกด้วย

แดนนี เอลฟ์แมน (คอมโพสเซอร์) ได้รับรางวัลมากมาย ซึ่งรวมถึงรางวัลแกรมมี อวอร์ด รางวัลเอ็มมี อวอร์ด ได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลลูกโลกทองคำและสี่รางวัลอคาเดมี อวอร์ด ในปี 1998 เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์สองรางวัลในสาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากผลงานของเขาในภาพยนตร์โดยแบร์รี ซอนเนนเฟลด์เรื่อง Men in Black และภาพยนตร์โดยกัส แวน แซงต์เรื่อง Good Will Hunting เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่สามจากดนตรีประกอบภาพยนตร์แฟนตาซีชื่อดังของทิม เบอร์ตันเรื่อง Big Fish เอลฟ์แมนได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ครั้งล่าสุดจากดนตรีประกอบภาพยนตร์อัตชีวประวัติเรื่อง Milk ที่กำกับโดยกัส แวน แซงต์ และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งล่าสุดจากภาพยนตร์โดยทิม เบอร์ตันเรื่อง Alice in Wonderland เอลฟ์แมนเคยทำงานในภาพยนตร์ทุกแนว ซึ่งรวมถึง Spider-Man (1&2), Batman และ Batman Returns, Men In Black (1&2), Edward Scissorhands, Beetlejuice, To Die For, A Simple Plan, Mission: Impossible, The Nightmare Before Christmas, Family Man, Wanted, Taking Woodstock, Dick Tracy, Darkman และ Chicago ด้านจอแก้ว เอลฟ์แมนได้รับรางวัลเอ็มมี อวอร์ดจากเพลงธีมของเขาสำหรับซีรีส์ฮิตเรื่อง Desperate Housewives และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมีจากเพลงธีมซีรีส์ The Simpsons ซึ่งเป็นซีรีส์คอเมดีช่วงไพรม์ไทม์ที่ออกอากาศนานที่สุดตลอดกาล เป็นเวลา 17 ปีที่เขาได้เขียนบทและแสดงกับวงร็อคโออินโก โบอินโก ซึ่งมีเพลงฮิตอย่าง Weird Science และ Dead Man’s Party งานควบคุมวงออร์เคสตราครั้งแรกของเอลฟ์แมน Serenada Schizophrana จัดแสดงรอบแรกที่คาร์เนจี้ ฮอล ผลงานเรียบเรียงดนตรีสำหรับบัลเลต์เรื่องแรกของเขา Rabbit and Rogue ได้เปิดตัวรอบปฐมทัศน์โลกของอเมริกัน บัลเลต์ เธียเตอร์ที่เดอะ เมโทรโพลิแทน โอเปรา เฮาส์แห่งลินคอล์น เซ็นเตอร์ในนิวยอร์ก ในเดือนมิถุนายน ปี 2008 บัลเลต์เรื่องนี้ออกแบบท่าเต้นโดยทวิลา ธาร์ป ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดของเอลฟ์แมนได้แก่ภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Alice In Wonderland, ภาพยนตร์ที่ยังไม่ลงโรงเรื่อง Restless ของกัส แวน แซงต์ รวมไปถึง Frankenweenie และ Dark Shadows การแสดงเซิร์ค ดู โซเลยของเขาในชื่อ Iris เปิดตัวในปีนี้ในฐานะการแสดงฐาวรที่โกดัก เธียเตอร์ในฮอลลีวูด

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net