ไทยฟิตจัด VICTAM ASIA 2012 สุดยอดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของภูมิภาคเอเชีย

20 Feb 2012

กรุงเทพฯ--20 ก.พ.--โฟร์ฮันเดรท

ไทยโชว์ศักยภาพจัดงานระดับโลก VICTAM ASIA 2012 อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ทั้งสัตว์น้ำ สัตว์เลี้ยง และอุตสาหกรรมการแปรรูปธัญพืชที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ที่จัดโดย วิคเทม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค พร้อมยกให้ไทยเป็นศูนย์กลาง อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงของ VICTAM ASIA 2010 เงินสะพัดร่วม 2,000 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมอาหารสัตว์จากนานาประเทศเข้าร่วมงานกว่า 250 ราย และผู้เข้าชมงานกว่า 20,000 คน ย้ำเชื่อมั่นไทยยังผงาดในตลาดอาหารสัตว์สากล แม้เผชิญหน้าวิกฤติอุทกภัยครั้งร้ายแรง เหตุพื้นฐานการผลิตแข็งแกร่ง!!!

มร. เฮงค์ แวน เดอ บัน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วิคเทม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการจัดงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ระดับนานาชาติ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ เปิดเผยว่า ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการจัดงานอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่แนวโน้มความต้องการอาหารสัตว์ในตลาดโลกมีทิศทางที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดงาน VICTAM ASIA 2012 ขึ้นอีกครั้ง และยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร

โดยได้นำเสนอนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมการแปรรูปธัญพืชนานาชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องตั้งแต่กระบวนการแสวงหาวัตถุดิบ ส่วนผสม การผลิต เทคโนโลยี เครื่องจักร การแปรรูป การเก็บรักษา และกระบวนการขนส่งครบวงจร จากผู้ประกอบการทั่วโลกกว่า 250 ราย เพื่อให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ตลอดจนนำเทคโนโลยีมายกระดับมาตรฐานการผลิตให้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ของไทยอีกด้วย โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานไม่ต่ำกว่า 20,000 คน และมีเม็ดเงินสะพัดไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท

ซึ่งจะมีบริษัทที่เข้าร่วมแสดงในงานกว่า 250 บริษัท จากทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน จีน มาเลเซีย ไทย ฯลฯ ประธานบริหารยังกล่าวต่อไปว่า “เรามีความเชื่อมั่นว่าแม้ไทยจะเผชิญหน้ากับวิกฤติหลายเรื่องทั้งสถานการณ์ความซบเซาทางเศรษฐกิจ ภาวะอุทกภัยร้ายแรง แต่ด้วยพื้นฐานด้านการผลิตที่แข็งแกร่ง อย่างเช่นแหล่งวัตถุดิบและทักษะฝีมือแรงงาน ที่มีความได้เปรียบกว่าประเทศผู้ผลิตอื่น น่าจะทำให้ไทยยังสามารถแข็งแกร่งพอที่จะแข่งขันในตลาดโลกได้ ด้วยการนำเข้านวัตกรรมเทคโนโลยี และองค์ความรู้ด้านการผลิตใหม่ๆที่จะมีอยู่มากมายในงาน”

จุดเด่นสำคัญของงานครั้งนี้นอกจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมแล้ว ยังมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ กระบวนการในการแปรรูปแป้งจากโรงสี ธัญพืช และวัตถุดิบในการผลิต กระบวนการเก็บรักษา และระบบขนส่ง ทั้งระบบเทคโนโลยีที่ใช้กระบวนการแปรรูป และรีไซเคิลชีวมวล เพื่อนำไปให้เป็นแหล่งพลังงานทางเลือก รวมถึงนวัตกรรมใหม่ สำหรับโครงการเชื้อเพลิงอัดเม็ด ( Biomass Pelleting) ที่ผลิตจากขยะอินทรีย์ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกในขณะนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงในตลาดอาหารอินทรีย์ที่กำลังจะกลายเป็นเทรนด์ในอนาคตนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีระบบ และอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เพื่อควบคุม ตรวจสอบ และรักษามาตรฐานความปลอดภัย และการระเบิดฝุ่นผง ขณะเดียวกันยังมีกิจกรรมการสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิเช่น จากกรมปศุสัตว์, องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร สมาคมโรงสีข้าวแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์แห่งประเทศไทย หรือการประชุมครั้งสำคัญเกี่ยวกับเชื้อเพลิงอัดเม็ดและเทคโนโลยี บนข้อเท็จจริงที่ท้าทายว่า ในทศวรรษหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะมีการใช้พลังงานชีวมวลอย่างก้าวกระโดด โดยคาดการณ์ว่าอาจสูงถึง 500% และเชื้อเพลิงอัดเม็ดจะเป็นอีกทางเลือกสำหรับพลังงานอนาคต ที่นอกจากจะใช้ภายในครัวเรือนแล้ว ยังสามารถใช้ในโรงงานไฟฟ้าของอุตสาหกรรมหรือพัฒนาให้ใช้ได้ในพื้นที่เขตเทศบาล หรือสำนักงานปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆในอนาคตก็ได้

ภายในงาน VICTAM ASIA 2012 ยังมีการจัดงาน Feed Ingredients & Additives Asia Pacific 2012 (FIAAP ASIA) งานแสดงส่วนผสมของอาหารสัตว์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และดีต่อสุขภาพ ทั้งสารเติมแต่งอาหารสัตว์ และสูตรอาหารสัตว์ พร้อมแลกเปลี่ยนและอัพเดทข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์ล่าสุดในการกำหนดสูตรอาหารที่มีความปลอดภัย ยั่งยืนและสร้างกำไร สำหรับภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคอีกด้วย มร.แฮงก์ แวน เดอ บันกล่าว

และสำหรับงาน GRAPAS ASIA 2012 ซึ่งจัดขึ้นภายในงานครั้งนี้ จะเป็นกิจกรรมเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการแปรรูปต่างๆ ตั้งแต่กระบวนการการสีข้าว โม่แป้ง รวมทั้งอุตสาหกรรมการผลิตบะหมี่ การแปรรูปธัญพืชที่ใช้เป็นอาหารเช้า และของขบเคี้ยวที่มาจากพืชประเภทข้าว ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกข้าวรายสำคัญของโลก

แม้ว่าที่ผ่านมาไทยจะเผชิญหน้ากับวิกฤติอุทกภัยครั้งร้ายแรงอีกครั้งหนึ่ง ที่กินวงกว้างครอบคลุมพื้นที่ถึง 58 จังหวัด โดยธนาคารโลกได้ประเมินความเสียหายว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ 6.6 แสนล้านบาท และด้านของความสูญเสียมีมูลค่าอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท รวมเป็น 1.4 ล้านล้านบาท หรือกระทบจีดีพีลดลง 1.2% ทำให้ในปี 2554 เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตได้ 2.4% จาก 2.6% ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ นั้นตนยังมองว่าประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในภาคการผลิตเพื่อการส่งออก เพราะมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวน การผลิตและทักษะแรงงาน จึงเชื่อว่าไทยจะยังคงเป็นประเทศผู้ผลิตที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ต่อไป

สำหรับแนวโน้มความต้องการอาหารสัตว์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะแนวโน้มจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มสูงขึ้นและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอย่างจีนและอินเดีย ทำให้ความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์เติบโตอย่างรวดเร็ว วารสาร Feed International ระบุว่าตัวเลขการผลิตอาหารสัตว์ของโลกเพิ่มขึ้น 14% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้น 11% ตั้งแต่ปี 2543 ยอดรวมการผลิตในปี 2550 เท่ากับ 680.4 ล้านตัน โดยบราซิลเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ที่สุดของโลก (ปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 6.5%-7% ในปี 2549 เท่ากับ 48.36 ล้านตัน) สำหรับงานนี้จะทำให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงทิศทางการรับมือกับความต้องการอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย

สอดคล้องกับข้อมูลจาก Euromonitot International ที่ระบุว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลกส่งผลให้อัตราการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั่วโลกในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 4% ซึ่งเท่ากับอัตราการเจริญเติบโตในอุตสาหกรรมดังกล่าวของภูมิภาคเอเชีย ตัวเลขนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียยังมีพื้นฐานการผลิตและบริโภคที่แข็งแกร่งโดย Euromonitot International ยังระบุว่า ตั้งแต่ปี 2553-2558 อินเดียจะมีอัตราการเจริญเติบโตของยอดขายอาหารสัตว์เป็นอันดับหนึ่ง คือ 13.8% คิดเป็นมูลค่า 82 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในขณะที่ไทยและจีนมีอัตราเติบโตอยู่ที่ 8.3% และ 7.7% คิดเป็น 456 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ และ 476 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ตามลำดับ ซึ่งหมายความว่าในปี 2558 ไทยและจีนจะมียอดขายอาหารสัตว์รวมกันสูงกว่าอินเดีย คือ 932 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ทำให้เทรนด์ของอุตสาหกรรมดังกล่าวมุ่งสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างแน่นอน

นำเสนอข่าวโดยบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท โฟร์ฮันเดรท จำกัด

รายละเอียดสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณสิทธิกร เสงี่ยมโปร่ง (แป๋ง)

โทร. 02-553-3161-3 Email : [email protected]

-นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net