บทสัมภาษณ์ "ดีเจจั๊ด-ธีมะ จาก รักสุดทีน"

01 Mar 2012

กรุงเทพฯ--1 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม

จับตาดู “จัดหนัก ฉายา จัดให้ หล่อเกินมนุษย์ แต่เป็นตุ๊ดนะจ๊ะ”

อีกหนึ่งคาแรคเตอร์สุดฮาจากไอเดีย “โต๊ะพันธมิตร”

อีกหนึ่งบทบาทกระชากความสามารถ พร้อมขโมยซีน มาริโอ้ ของ “ดีเจจั๊ด-ธีมะ กาญจนไพริน”

Q : เป็นมนุษย์งานที่เรียกได้ว่ามีความสามารถรอบตัวจริงๆ ตั้งแต่งานพิธีกร,นักแสดง แต่งานแรกเป็นที่รู้จักและยืนยันความเป็นตัวตนมากที่สุดก็คือในฐานะของ “ดีเจจั๊ด” แนะนำตัวเองสักนิดนึง? J : ใช่ครับ จั๊ด ธ๊มะกาญจนไพรินนะครับ ผมเริ่มต้นงานจากการจัดรายการวิทยุมาตั้งแต่ปี 2546 ถึง 2554 ก็ 8 ปีได้ ผมไม่ได้จัดไปปีหนึ่งเหลือ 7 ปี จัดรายการวิทยุมา 7 ปี คนจะรู้จักในนามของดีเจมากกว่า นอกเหนือจากนั้นก็เป็นพิธีกรรายการ เซ็นสัญญากับอาร์เอส 5 ปี ก็เป็นพิธีกรของรายการอาร์เอสมา โอ้โหมันเยอะมากเลยตอนเป็นพิธีกรรายการอาร์เอส ผมว่าน่าจะสัก 10 รายการได้ มีทั้งที่ยังอยู่แล้วก็ล้มหายตายจากไปอีกเยอะนะครับ จากนั้นก็มาเป็นดีเจที่คลื่น 90 รวมมิตรครีเอชั่น นอกเหนือจากนั้นก็มีงานละครบ้างประปราย รวมถึงภาพยนตร์ส่วนใหญ่จะเป็นบาแรมยู แล้วก็เล่นกับพี่มะเดี่ยวที่สหมงคงฟิลม์นะครับ ก็จะมีตั้งแต่มาโผล่แว็บๆ ในรักแห่งสยาม ไปโผล่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่งในฝัน หวาน อาย จูบ แล้วก็มาหลุด4หลุด อันนี้เริ่มเยอะนิดหนึ่งเต็มๆ ตัวเป็นภาพยนตร์สั้น 4 เรื่อง ในเรื่อง ฮูอาร์กง แล้วก็มาเรื่องนี้รักสุดทีนอันนี้มาเต็มทั้งเรื่องนะครับ ค่อยๆ เพิ่มบทบาทเข้ามาเรื่อยๆ จริงๆ แล้วผมชอบละครเวทีที่สุด แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะผมเรียนจบมาด้านละครเวทีโดยเฉพาะ เรียนการแสดงมานะครับ แต่เท่าที่ทำมาละคร รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ แล้วก็ภาพยนตร์ ถ้าเอาถนัดที่สุดไปทำแล้วไม่ต้องทำการบ้านมาก มันเป็นตัวของเราเองอยู่แล้ว ทำมานานคือวิทยุ มันซึมเข้าไปในสายเลือดเลยครับ ให้จัดรายการแบบไหนเราปรับได้หมด แต่ถ้ามีเสน่ห์สุดภาพยนตร์ มันต่างจากละครตรงที่คือละครจะมีการถ่ายที่เร็วกว่าความประณีตน้อยกว่าภาพยนตร์ แต่ภาพยนตร์มีความประณีตเพราะหนึ่งคือภาพยนตร์เราต้องคิดถึงคนที่ซื้อตั๋วเข้ามาดูเรา ไม่ใช่ว่าเขาเปิดมาหน้าจอทีวีก็เจอ ภาพยนตร์มันมีเสน่ห์มาก เท่าที่ผมแสดงมาทุกเรื่องคือคาแรคเตอร์มันพีค คาแรคเตอร์มันเปิดโอกาสให้เล่นบ้าๆ บอๆ ไปได้เรื่อยเลย เพราะนั้นผมจะชอบวันเวลาที่ต้องตื่นไปถ่ายภาพยนตร์ เริ่มต้นทำงานมาตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย 2546 เป็นวันสุนทรภู่เลยจำได้ครับ (หัวเราะ) วันแรกที่ออกรายการวิทยุวันนั้นผมอยู่มหาวิทยาลัยปี 3 เปิดเทอมตอน 1 มิถุนายน ใช้เวลาทำเดโมแค่ครั้งเดียวเอง ได้จัดรายการวันแรกที่จัดคือ 26 มิ.ย 2546 จนมาถึงทุกวันนี้ ผมจบนิเทศจุฬา เอกสื่อสารการแสดงนะครับ วิชาโทคือวิทยุโทรทัศน์

Q. พูดได้ว่าแต่ละบทบาทในงานแสดงของจั๊ดก็โดดเด่นไม่แพ้การเป็นดีเจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานภาพยนตร์จนต่อยอดมาถึงผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง “รักสุดทีน” เล่าให้ฟังหน่อยว่ารับบทเป็นใคร คาแรคเตอร์เป็นอย่างไรบ้าง J. ครับในภาพยนตร์เรื่อง “รักสุดทีน” รับบทเป็น “จัดหนัก” (คนอะไรชื่อจัดหนัก) ส่วนฉายาที่เพื่อนสนิทในเรื่องอย่างมาริโอ้กับพล่ากุ้ง เรียกในหนังก็คือ “จัดให้” นะครับ คาแรคเตอร์นี้ต้องปูพื้นฐานโดยรวมก่อนเราเป็นเพื่อนสนิทกันสามคน ก็มีถึงใจ (มาริโอ้ เมาเร่อ) เต็มสูบ (พล่ากุ้ง) แล้วก็จัดหนัก จัดให้ สามคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันมากๆ นะครับลงทุนด้วยกันเป็น sme ธุรกิจขนาดเล็กเปิดร้านขายยีนส์ที่สะพานพุทธตามประสาวัยรุ่นก็จะมีลูกค้าผู้หญิงมาบ้างหรือไม่ตอนเราขายกางเกงยีนส์เสร็จแล้ว เราก็จะไปเที่ยวกันตามประสาผู้ชายวัยรุ่น คือเห็นแบบนี้ (ชี้ตัวเอง) เขายังจัดเข้าไปในวัยรุ่นอยู่ 555 มีเพื่อนเป็นมาริโอ้ มีเพื่อนเป็นพล่ากุ้ง รู้สึกว่าตัวเองแก่ๆ ก็โอเคก็พากันไปได้ พากันไปเที่ยว พอไปเที่ยวเสร็จปุ๊บ เต็มสูบกับถึงใจก็มักจะได้ผู้หญิงกลับไป โดยให้เราเป็นนกต่อ โดยให้เราเป็นตัวล่อให้ โดยให้เราเป็นคนหาให้ ในใจถึงเราจะเป็นเพื่อนกับชายแท้สองคนแต่จริงๆ แล้วเราเป็นตุ๊ดนะจ๊ะ ด้วยความที่เป็นตุ๊ดเราจึงมีความสามารถพิเศษ ความสามารถพิเศษของตุ๊ดต้องบอกเลยว่าสามารถเข้าถึงผู้หญิงได้ง่ายกว่าเพศชายแท้ๆ เพราะเหมือนจะรู้ใจกัน วิธีพูดวิธีคุย แต่ว่ามันก็อาจเกิดเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น อยากให้ไปดูในภาพยนตร์ว่าผมนั้นจะโดนอะไรบ้าง

Q : ทราบมาว่าตัวละครตัวนี้มีสโลแกนประจำตัวด้วย ให้อธิบายถึงคาแรคเตอร์เฉพาะตัวเอง? J : ครับก็หนังเรื่องรักสุดทีนนี้เขียนบทและกำกับโดยพี่โต๊ะพันธมิตร แกก็จะมีลูกเล่นมีสโลแกนประจำตัวของตัวละครแต่ละตัว สำหรับ “จัดหนัก” คำจำกัดความของจัดหนักและจัดให้คือ “หล่อเกินมนุษย์ แต่เป็นตุ๊ดนะจ๊ะ” ตอนที่ได้รับบทมานะครับ เขาเขียนว่าหล่อเกินมนุษย์ แต่เป็นตุ๊ดนะจ๊ะ ไอ้ตรงเป็นตุ๊ดนะจ๊ะนี่ไม่หนักใจ แต่หล่อเกินมนุษย์นี่หนักใจนะ เพราะว่าการที่คนเราจะหล่อเกินมนุษย์ได้หน้าต้องเป๊ะมาก ไม่ว่าจะเป็นมาริโอ้เอง แบบโดม ปกรณ์ ลัม คนพวกนี้คือหล่อเกินมนุษย์ แต่สำหรับเราก็พยายามทำตัวให้หล่อเกินมนุษย์ที่สุดแม้ว่ามันจะไม่ได้ แต่ว่าไอ้ตรงเป็นตุ๊ดนะย่ะ เราโอเค เราเล่นได้อยู่แล้วนะครับ ก็จะเป็นคาแรคเตอร์ที่สนุกๆ ในเรื่องคือ หล่อเกินมนุษย์ แต่เป็นตุ๊ดนะย่ะ มันค้านกันอยู่ ไอ้คำว่าหล่อเกินมนุษย์นี่เวลาไปไหนมาไหน เวลาไปดีลผู้หญิงให้เพื่อน ผู้หญิงก็จะมีมาแอบชอบเราด้วย คือแต่ในใจของเรา เราเป็นตุ๊ดนะย่ะ คือเราไม่อยากจะให้ผู้หญิงมายุ่งอะไรกับเราเลย เราแค่ทำภารกิจของเราให้สำเร็จคือ ภารกิจที่ว่ารักเพื่อน เอาผู้หญิงไปใส่พานไปมอบให้เพื่อน แต่ว่าในระหว่างที่ใส่พานไปมอบให้เพื่อน ถ้ามันมีจำนวนหลายคนมันอาจจะเหลือมาถึงเราบ้าง ซึ่งไอ้การเหลือมาถึงเราบ้าง เป็นอะไรที่ชอกช้ำสำหรับเรา ทำไมล่ะเราเป็นตุ๊ดนะย่ะ แต่ทำไมต้องเหลือมาถึงเรา เราก็พยายามจะบอกเพื่อนตลอดว่า “เฮ้ยย เวลาได้ก็ได้กันไป ไม่ต้องเหลือมาถึงเรา” คือฉันไม่ชอบ ประมาณนั้น

Q : ตัวบทเปิดโอกาสให้ตัวเรา“จัดเต็ม”กับคาแรคเตอร์ตัวนี้มากน้อยแค่ไหนอย่างไรบ้าง? A : คือด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ของพันธมิตรนะครับ คือแก๊งก๊วนพันธมิตรเราก็รู้อยู่แล้วเวลาเราดูหนังจีน หนังฝรั่งหรือว่าเราดูซีรีย์ที่พากย์โดยพันธมิตร เราจะรู้อยู่แล้วว่าเสน่ห์ของพันธมิตรนอกเหนือจากพากย์คาแรคเตอร์ในตัวละครให้ตรงปากตรงคำมันก็ยากแล้ว พันธมิตรยังมีจุดเด่นของเขาอย่างหนึ่งคือ การเติมการ improvise คือเหมือนแสดงสด ๆตรงนั้น แล้วเขาก็เอาเสน่ห์ตรงนั้นมาใส่ในภาพยนตร์ที่ทำด้วย พอเอามาใส่มันเหมือนกับว่าตอนไปแสดงไอ้ตัวไดอะล็อกที่อยู่ในบทภาพยนตร์เป็นแค่แกนกลางว่าเราต้องการอารมณ์แบบนี้ แต่ว่าเป๊ะหรือเปล่าไม่ใช่ เรื่องคำพูดเราสามารถไหลได้เลยครับ เพราะฉะนั้นมันจะมีหลายคำพูดมากที่เกิดขึ้นสดๆ เขาก็จะพากย์เลย เพราะฉะนั้นเขาก็เอามาใช้ในหนังด้วย พอเราเล่นไปเจอสถานการณ์อะไร หรือบางทีเราเล่นแล้วพี่โต๊ะเขานั่งอยู่หน้าจอมอนิเตอร์ เขานั่งดูแล้วสมมุติว่าเขาอยากจะเติมคำนี้เข้าไป เขาก็จะเดินเข้ามาบอกเราเลยว่าเทคต่อไปขอให้เติมคำนี้เข้าไป หรือว่าพี่โต๊ะเองจะเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคนได้คิดไดอะล็อกด้วย สมมุติว่าก่อนจะถ่ายฉากหนึ่งเราต้องมีการซ้อมกัน ตอนที่ซ้อมพี่โต๊ะเขาก็จะหันมาถามว่ามีคำอะไรไหมที่อยากจะใส่ แล้วก็จะนั่งช่วยกันคิดใส่คำอะไรดีที่ทำให้ตลกด้วย สะท้อนถึงคาแรคเตอร์ด้วย บางทีให้เส้นเรื่องเดินด้วย สนุกครับสนุกผมเองก็ใส่ไปเต็ม ใส่ลูกเล่นส่วนตัวของตัวเองลงไปด้วย และไม่ใช่แค่ให้ความสำคัญกับในส่วนของไดอะล็อคเท่านั้นนะครับ คาแรคเตอร์และอารมณ์ของตัวละครทุกสิ่งทุกอย่างเลยมันสามารถเปลี่ยนกันได้ เพราะว่ามันจะมีหลายสถานการณ์มากที่พอเกิดขึ้นปุ๊บ ตอนที่พี่โต๊ะเขียนบทเขาก็คงไม่เห็นภาพชัด คือมีภาพส่วนหนึ่งอยู่ในหัวแต่ว่าไม่เห็นภาพชัดเมื่อคนแสดงจริงๆมาเล่น มันสามารถเกิดอะไรขึ้นได้เยอะมาก ณ สถานการณ์นั้น เขาก็จะเปิดโอกาสปล่อยเลยครับ อยู่ดีๆตอนนี้เราจะกลับไปเป็นผู้ชายนิดหนึ่งนะ หรือว่าเราจะขยับไปเป็นตุ๊ดเลยตอนนี้ เพราะฉะนั้นมันจะมีสีสันมาก

Q : ฟังดูแล้ว “จัดหนัก” เป็นตัวละครที่สนุกและมีสีสันมากๆ เลย? J : สีสันของคาแรคเตอร์นี้ เป็นอะไรที่สนุกมากครับ มันจะต้องมีการเล่นแบบเปลี่ยนอารมณ์ สลับอารมณ์กันไปในซีนเดียวเยอะมาก มีซีนหนึ่งยกตัวอย่างให้ฟัง ซีนนี้เป็นซีนที่เราไปเที่ยวกันสามคน ไปเที่ยวในผับ พอไปเที่ยวในผับ เรานั่งกันอยู่โต๊ะหนึ่ง ไอ้โต๊ะข้างๆ ที่อยู่ข้างหลังเราเป็นผู้หญิง แล้วไอ้เพื่อนเราสองคนมันเล็งไว้แหละ เวลาเราอยู่กับเพื่อนเราก็เป็นตุ๊ดนะย่ะของเราตามนิสัยปกติ แต่พอเราหันไปจะดีลให้เพื่อน เราจะต้องเปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนทั้งเสียง เปลี่ยนทั้งบุคลิกภาพ จากเสียงที่แบบสูงๆ ก็ต้องมาเป็นแบบต่ำๆ ในการติดต่อผู้หญิง นี้คือสีสัน แล้วมันก็จะมีหลายตอนมากที่เราจะต้องแอ๊บไว้ บางทีก็ระเบิดออกมา บางทีก็เป็นแมน บางทีก็เป็นตุ๊ด คือความยากมันอยู่ตรงที่จะต้องสลับกันในซีนเดียว พอสลับปุ๊บแล้วบางทีถ้าสลับไม่ได้ สลับไม่ขาด ผกก.คือพี่โต๊ะ(ปริภัณฑ์ วัชรานนท์หัวหน้าทีมพากย์เจ้าของประโยค “ให้เสียงภาษาไทยโดยพันธมิตร” ผู้เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องรักสุดทีน ก็จะไม่ให้ผ่านจะต้องเล่นใหม่ คือตรงนี้มันต้องเป็นผู้ชายมากๆ เลย แล้วพอหันกลับมาปุ๊บเราต้องเป็นตุ๊ดให้มากๆ เลยเหมือนกัน มันคือ2คาแรคเตอร์ที่สุดโต่งนะครับ เพราะฉะนั้นเราต้องปรับให้ได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งความมันส์ของเรื่องนี้มันมีการนำเรื่องราวเกี่ยวกับเหมือนกับเป็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ นี่คืออีกหนึ่งความสนุก อย่างเวลาถ่ายหนังแล้วเราขับมอไซค์เป็นแก๊งสามคนวันถ่ายเป็นวันที่โหดมากแต่ก็เป็นวันที่สนุก มอเตอร์ไซค์ของแต่ละคนจะถูกตกแต่งไปตามคาแรคเตอร์ของแต่ละคนด้วย อย่างมอเตอร์ไซค์ของผมเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ตกแต่งด้วยสีชมพูเลย มีขนเฟอร์สีชมพู มีตุ๊กตา มีระบายห้อยมาเต็มไปหมด และที่สำคัญคือมอเตอร์ไซค์ของแต่ละคนจะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์ใหม่ เป็นมอเตอร์ไซค์แบบเก่า ถ้ามอเตอร์ไซค์แบบใหม่สตาร์ทเครื่องบิดอย่างเดียว แต่อันนี้มีทั้งคลัทช์ มีทั้งเกียร์ แล้วมันมักจะกระตุกจะดับบ่อย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีการลองฝึกขี่มอเตอร์ไซค์ด้วย เพราะว่ามอเตอร์ไซค์พวกนี้เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีหลายสูบ แล้วเป็นมอเตอร์ไซค์ที่จริงๆแล้วมันเร็วมาก คือถ้าเราควบคุมไม่ได้มันก็จะอันตราย

Q : หมายถึงต้องขี่มอเตอร์ไซด์ไปบนถนนจริงๆ ด้วย? J : ถ่ายทำบนถนนจริงๆ ครับ เพราะว่าฉากที่ไปถ่ายทำที่ขี่มอเตอร์ไซค์เราไปปิดถนนตรงข้างๆ สุวรรณภูมิ มันจะเป็นถนนเส้นยาวที่ขนานไปกับรันเวย์ของเครื่องบินครับ ก็จะมีตำรวจอำนวยความสะดวกให้ วันนั้นรู้สึก exclusive มาก เพราะว่าเวลาเราขับรถเองอยู่ที่บ้านมันก็ต้องขับฝ่ารถติด แต่ว่าอันนี้คือถนนจะโล่งมาก มันก็จะมีบางครั้งที่เราต้องบิดจริงๆ บางครั้งที่เราต้องชะลอเพื่อรอมุมกล้อง ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ต้องเล่าให้ฟังอีกอย่างหนึ่งคือ ช่วงวันที่เราไปถ่ายไอ้ฉากขี่มอเตอร์ไซค์ มันลำบากเรื่องของสภาพอากาศมาก เนื่องจากตอนนั้นย้อนกลับไปประเทศไทยมีพายุเข้า “พายุนกเต็น” จำได้อีพายุนกเต็นนี่แหละ พายุนกเต็นเข้ามันจะเป็นปัญหาตรงที่อยู่ดีๆฝนก็จะตกลงมาหนักมาก แล้วเราก็ต้องถ่ายทำกันกลางฝนขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วย พอฝนตกหนักไปสักพักหนึ่งเสร็จปุ๊บแดดก็จะออกก็จะร้อนมาก พอแดดสักพักหนึ่ง คือฝนจะตกตอนเช้าๆ พอเริ่มสายแดดจะเริ่มออก พอผ่านไปถึงช่วงเย็นปุ๊บเหมือนอากาศอิ่มตัวฝนตกลงมาใหม่ มันก็เลยต้องมีการถ่ายเพิ่มบ้าง เพราะว่าสีสันมันไม่ได้ อยู่ดีๆ ฉากหนึ่งขับอยู่ฝนตกเบรคทีแดดออกซะแล้ว

Q : จริงๆ แล้วตัวเราเองมีความเชี่ยวชาญในการขับขี่มอเตอร์ไซด์มากน้อยแค่ไหนอย่างไร? J : ถนนมันลื่นมากครับ ความเชี่ยวชาญในเรื่องของการขับจริงๆ แล้วผมเคยขับพวกมอเตอร์ไซค์แบบนี้มาก่อน ก็เลยไปถึงปุ๊บขับได้เลยไม่ต้องฝึกมากครับ แล้วทั้งสามคนทั้งมาริโอ่ทั้งพล่ากุ้งเองคือมีประสบการณ์ในการขี่มอเตอร์ไซค์ อย่างมาริโอ้เองเขาเป็นพวกบ้ารถอยู่แล้วเขาก็ขับได้ ส่วนพล่ากุ้งนี่จะซวยนิดหนึ่งตรงที่มอเตอร์ไซค์ของพล่ากุ้งจะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เก่าที่สุด (หัวเราะ) และจะมีปัญหาด้านการขับขี่ด้วย ขี่ไปปุ๊บกระตุก ขี่ไปปุ๊บดับ ถ้าสมมุติปล่อยคลัชท์แล้วไม่สัมพันธ์กับการบิดคันเร่งก็จะดับก็จะกระตุก จริงๆ แล้วต้องบอกว่ามันมีการเซฟตี้อยู่ประมาณหนึ่ง ก็คือทีมงานจะถามเราก่อนว่าชัวร์หรือเปล่า ถ้าขับใช้ความเร็วชัวร์หรือเปล่าเพราะถนนก็เปียกถนนก็ลื่น เขาบอกเราเลยว่าถ้าสมมุติว่าไม่ชัวร์จะใช้สแตนอินได้นะ เพราะว่ามันอาจจะอันตราย แต่ทุกคนก็โอเคชัวร์ เพราะว่าก่อนที่จะไปถ่ายฉากนั้นมันจะมีถ่ายอีกคิวก่อนหน้านั้น เขาก็จะเอามอเตอร์ไซค์ไปให้ลองขับ ก็คือลองหัดขับกันก่อน ตอนนั้นไปถ่ายแถววิภาวดีรังสิตเป็นเหมือนกับบ้านเราสามคน แล้วก็เอามอเตอร์ไซค์ไปให้ลองขับแถวนั้น ว่าเราชินกับน้ำหนักหรือเปล่าเพราะว่ามอเตอร์ไซค์มันหนัก

Q : ส่วนตัวแล้วห่างหายจากการบิดสมัยวัยรุ่นมานานเท่าไร? J : นานมากครับ นานมากที่ไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ อย่างที่บ้านจะมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเป็นรถป็อปเอาไว้ให้แม่ไปจ่ายตลาด มันเป็นอะไรที่ง่ายคือสตารท์แล้วก็บิด ด้วยความเร็วที่ช้ามากไปเรื่อยๆ 20 กม. 30 กม. พอ 40 กม. เครื่องก็ตื่อแล้ว แล้วก็ก่อนหน้านั้นได้ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ต้องทุกปิดเทอมตอนเด็กๆ ปิดเทอมม.ต้นตอนเด็กๆจะไปบ้านลุงแถวปากช่องก็ต้องเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ แต่ว่าพอขึ้นม.ปลายพอเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ขับเลยครับ ถ้านับจริงๆจั๊ ดว่าจริงๆ 7-8 ปีได้ครับที่ไม่ได้ขับเลย

Q : ถ้างั้นเล่าให้ฟังถึงอุปสรรค การทำงานในฉากขี่มอเตอร์ไซค์หน่อยว่าน่าจับตาดูขนาดไหน? J : ที่ผมพูดถึงฉากที่ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งขนานไปกับรันเวย์ คืออยากให้ดูเพราะว่ากว่าจะได้ฉากนี้มา มันเป็นฉากเปิดเรื่องที่เราทั้งสามคนจะต้องขี่ยาวๆ เลย ก่อนที่จะขึ้นชื่อหนังรักสุดทีนขึ้นมาพร้อมกับมอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปเครื่องบินขึ้นพอดี เพราะฉะนั้นมันเป็นจังหวะที่เราต้องรอองค์ประกอบหลายๆ อย่างนะครับ แล้วก็เป็นฉากที่กว่าจะได้มามันยากครับ คือผมเข้าใจเลยนะภาพยนตร์เรื่องไหนก็ตามที่มันมีฉากขับรถ ผมว่ากว่าจะได้มาแต่ละช็อตมันยากมาก คือเราขับรถไม่พอครับ คนที่เขาถ่ายเราเขาก็ต้องอยู่บนรถด้วยต้องมีคนขับด้วย ต้องมีอุปกรณ์พิเศษสำหรับการติดตั้งกล้องบนรถนู้นรถนี้ รถมอเตอร์ไซค์บ้าง รถกระบะบ้าง ต้องอาศัยเวลาพอสมควร อาศัยความเชี่ยวชาญพอสมควรของพี่ช่างกล้อง เพราะว่าเวลาถ่ายด้วยความที่เป็นรถ2คัน เราต้องรักษาระยะห่าง เป็นรถของกองถ่ายแล้วก็เป็นรถของเราสามคน เราต้องรักษาระยะห่างต้องมีการบรีฟกันว่า คนนี้จะต้องขึ้นไปไลน์นี้ คนนี้จะต้องเบี่ยงออกมาขวา คนนี้จะต้องเสียบเข้ากลาง แล้วพอถึงตรงนี้ปุ๊บเขาจะบิดหนีไป เราไม่ต้องตาม เพราะว่าเขาอยากจะได้ภาพมุมกว้าง แต่พอเขาอยากจะได้ภาพมุมแคบเราจะต้องบิดเข้าไปหาเขา พอบิดเข้าไปหาเขาเราก็ต้องเบรคถ้าไม่เบรคก็เลยเฟรมไปอีก มันก็ต้องมีการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ถ่ายกันนานมากครับ บางคันต้องแซงขึ้นมาอย่างมาริโอ้ คือมาริโอ้จะเป็นตัวหลัก เพราะฉะนั้นผมกับพล่ากุ้งต้องสลับกัน วิ่งขึ้นซ้ายบ้าง ขึ้นขวาบ้าง มีไลน์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ 5 4 3 2 ขับ อย่างนั้นมันไม่ได้ มันจับไม่ได้ มันจับทางไม่ได้ว่าเราจะขับไปทางใด

Q : ถ้าให้คำจำกัดความ “รักสุดทีน”? J : รักสุดทีน หนึ่งมันเป็นภาพยนตร์รัก มันเป็นภาพยนตร์รักที่บอกว่าสุดทีนหรือว่าสุดตีนเพราะว่า หนึ่งมันเป็นอารมณ์ความรักของวัยรุ่น แล้วมันก็มาผนวกกับคำวัยรุ่นว่าสุดตีน มันหมายถึงอย่างมาก คือถ้าเราใช้คำธรรมดาถ้าเราย้อนกลับไปเป็นภาษาไทยแท้ๆ ไอ้คำว่ารักสุดทีนก็อาจจะเป็นรักสุดใจขาดดิ้นหรือว่ารักอย่างมาก รักอย่างหัวปักหัวปำ นี่คือนิยามของคำว่ารักสุดทีน แต่พอมันเป็นรักสุดตีนมันให้อารมณ์ของวัยรุ่น สองมันให้อารมณ์ของความกวนอยู่ในนั้น ซึ่งพอเราไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้เราจะอมยิ้มเกือบทุกฉาก บางฉากอาจจะฮาขึ้นมา บางฉากอาจจะอมยิ้ม บางฉากอาจจะตรงกับความรักของใครหลายคนที่กำลังมีอยู่ตอนนี้ ไม่ว่าจะกำลังสมหวังหรือว่ากำลังผิดหวัง กำลังจะหารักใหม่หรือรักเก่าพึ่งผ่านไป มันมีหลายง่มุมในเรื่องของความรักอยู่ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ซ่อนเอาไว้นอกเหนือจากความตลกโปกฮา

Q : งั้นต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่า “รักสุดทีน”เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร? J : คือเรื่องราวรักสุดทีนนี่นะครับ จะเป็นเรื่องราวของเพื่อน 3 คน คือ มาริโอ้ เมาเร่อ (ถึงใจ) แน่อนเป็นเทพบุตรหน้าหยก คือจะรักใครไม่เป็น นอกเหนือจากรักตัวเอง รักพวกพ้อง รักเพื่อนฝูง เต็มสูบคือพล่ากุ้ง จะเป็นประเภทวาทศิลป์ดี คมคาย เป็นพวกที่ถึงหน้าตาไม่ให้แต่ใจและคารมของเขากินขาด ส่วนตัวผมเองจะเป็นพวกจัดให้ จัดหนัก คือรักเพื่อนมากถึงจะใจเป็นตุ๊ดก็ตาม แต่ก็ไปเที่ยวผับซึ่งไม่ใช่ผับตุ๊ดกับเพื่อน แล้วก็พยายามที่จะจับผู้หญิงให้เพื่อนตลอดเวลา อันนี้โดยรวมเป็นคาแรคเตอร์ที่เป็นสีสันของเรื่อง แต่ตัวแกนหลักๆ คือเป็นเรื่องของความรักของวัยรุ่นของตัวมาริโอ้เขาเองที่ว่าด้วยความที่เขาต้องถึงใจ เขาอาจจะผ่านประสบการณ์ความรักมามากมาย คือภาพยนตร์เรื่องนี้คณดูจะรู้สึกว่าแรกๆ แก๊งวัยรุ่นแก๊งนี้ห่วยมาก วันๆ ไม่ทำอะไรเอาเงินมาแล้วมันก็ไปเที่ยวเตร่กัน แต่การไปเที่ยวเตร่ของเขามันเป็นการสอนตัวละครหลักอย่างมาริโอ้ให้รู้ว่าคนเราบางทีเวลารักใครจะต้องรักให้จริงรักให้เป็น ซึ่งรักให้จริงรักให้เป็นมันมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งคือตัวของเขาและใจของเขาว่าเขาจะเปลี่ยนหรือเปล่า สองคือคนที่เขาไปเจอ นี่แหละภาพยนตร์เรื่องนี้จะสอนให้เด็กรู้ว่า ถ้าสมมุติคุณมอบความรักให้แก่ใครไปแล้ว คนๆ นั้นเขามอบความรักดีๆ ให้คุณกลับมา คุณก็อาจจะรู้สึกได้ว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรไปว่ะเนี้ยะในเรื่องของความรัก คุณจะได้เห็นแง่มุมดีๆ ถึงแม้ว่าในชีวิตจริงคุณจะรู้สึกว่าโอ้โหไม่มีทางที่จะเจอคนอะไรที่เป๊ะขนาดนี้หรอก ไม่อยากที่จะให้วัยรุ่นทุกคนไปเสี่ยงกับเรื่องความรักให้มันมากมายนัก แล้วก็มีความรักแต่ละครั้งเราไม่ตั้งใจ คุณลองตั้งใจกับมัน คุณอาจจะได้ความรักดีๆ กลับมาจากคนๆ หนึ่งที่คุณตั้งใจรักเขา แล้วเขาก็ต้องตั้งใจรักเรา แล้วมันอาจจะทำให้สุดท้ายทัศนคติเกี่ยวกับความรักของน้องๆ อาจจะเปลี่ยนแปลงไป

Q : ในชีวิตที่ผ่านมาเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับ “รักแบบสุดทีน” หรือเปล่า? J : (หัวเราะ) ประสบการณ์รักแบบสุดทีนหรอ จริงๆ เคยนะ ผมว่ารักสุดทีนมันเป็นความรักในแบบวัยรุ่น ผมคิดว่าเกือบทุกคนต้องเคยเจอ ความรักของวัยรุ่นเป็นความรักที่ไม่ต้องคิดอะไร ไม่คิดว่าตัวเองจะเสียหาย ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเสียเวลาไปกับเรื่องพวกนี้ จะไม่มีการชั่งน้ำหนักเลยว่าอะไรมันหนักมากกว่ากัน อะไรเป็นสิ่งแรกที่เราต้องทำ เราจัดให้ความรักเป็นอันดับแรก บางคนทิ้งการเรียน บางคนทิ้งครอบครัว บางคนทิ้งพ่อทิ้งแม่ บางคนทิ้งการงานไปเพื่อเอาเวลาทั้งหมดไปให้กับความรัก เพราะฉะนั้นคำว่ารักสุดทีน ถ้าสมมุติย้อนเวลากลับไปในชีวิตของตัวเองมันต้องมีบ้าง มันต้องมีโมเม้นท์ที่เรารักใครแบบอื้อหื้อ.....รักปานจะกืนกิน รักปานจะแหกตูดดม ร๊ากรักกกกกกกก มันมีครับผมว่ามันมี ในอดีตของทุกคนต้องเคยมีคนที่เรารัก สำหรับผมรักมากเลยคนนี้ แต่เขาไม่เคยบอกรักเราเลยและไม่เคยบอกด้วยว่าเราเป็นแฟนเขา แต่ว่าทำไมเรารักเขาขนาดนั้นก็ไม่รู้ รักมากกกกกก รักสุดๆ ทำทุกอย่างเพื่อเขาได้หมดเลยนะครับ มีหรือไม่มีไม่รู้แต่ทำให้ก่อน ทำให้หมด ไม่รู้ว่าจะได้ความรักกลับคืนมาหรือเปล่าแต่ทำให้ แต่สุดท้ายด้วยวัย ด้วยเวลา ด้วยโอกาสก็ได้เวลาจากกัน

Q : ชีวิตตอนนี้มีโอกาสได้ทำอะไรแบบสุดทีนบ้างไหม? J : โอ้โห! ตอนนี้ยากเหมือนกันนะครับ (หัวเราะ) คือไอ้รักสุดทีนมันเป็นอะไรที่ คือผมอยากจะบอกอย่างนี้คือ ถ้าสมมุติว่าคนเป็นเด็ก เด็กๆ น้องๆ ถ้าดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะคิดถึงตัวเองขึ้นมา เพราะเป็นการใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยง การใช้ชีวิตที่สุดเหวี่ยงทั้งเที่ยวทั้งมีงานทั้งอยู่กับเพื่อน มันเป็นอารมณ์สุดเหวี่ยงของช่วงวัยรุ่น ผมว่าการใช้ชีวิตแบบนี้มันคือการใช้ชีวิตช่วงมหาวิทยาลัย มัธยมปลาย จบมาใหม่ๆ หรือว่าอะไรแบบนี้ มันเป็นวัยแบบนี้ แต่ว่าถ้าสมมุติว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้มันก็จะได้อีกอย่างหนึ่งครับ มันเหมือนกับอารมณ์ย้อนอดีต ไปเห็นภาพของตัวเองว่าแต่ก่อนฉันก็มีโมเม้นท์นี้ ทำไมเรามีพลังขนาดนั้น ทำไมเรามีพลังมอบความรักให้กับคนๆ หนึ่งเยอะขนาดนั้น อย่างผมเองตอนนี้ 29 จะ 30 วันที่หนังเข้าผม 30 ไปแล้ว (หัวเราะ) คือ 30 ไปแล้วปุ๊บการที่จะมานั่งรักคนๆ หนึ่งโดยที่เราไม่คิดถึงการงาน ไม่คิดถึงเงินเดือน ไม่คิดถึงความมั่นคง ไม่คิดถึงอะไรเลย โอ้โหมันยากมากเลยครับ แต่ว่าพอเราได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้หรือว่าตอนเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะนึกถึงไปช่วงเราอยู่มหาลัยเลยมันเป็นแบบนี้นี่เอง

Q : ไม่พูดถึงไม่ได้กับการทำงานกับพี่โต๊ะพันธมิตรผกก.ภาพยนตร์เรื่องรักสุดทีนซึ่งเป็นถึงหัวหน้าทีมพากย์พันธมิตรทีอยู่เบื้องหลังความฮาของหนังเทศพากย์ไทยภายใต้ประโยคที่ว่า “ให้เสียงภาษาไทยโดยพันธมิตร”? J : อันนี้ต้องย้อนกลับไปตอนที่ได้รับการติดต่อมาครั้งแรกๆ เลย แล้วก็ได้มีโอกาสไปเจอพี่โต๊ะตอนวันฟิตติ้งก็ต้องมีการวัดตัวลองชุดที่บ้านพี่โต๊ะ ซึ่งบ้านพี่โต๊ะอยู่แถวคลองประปา ที่นั้นเป็นเหมือนรังของพันธมิตรเพราะว่าข้างในจะมีห้องพากย์ ผมได้มีโอกาสไปเห็นห้องพากย์ของพี่โต๊ะ ห้องพากย์ของทีมพันธมิตรเป็นห้องพากย์ที่คลาสสิกมากนะครับ มันเป็นห้องพากย์ที่มีโต๊ะเรียงกันไปเป็นสิบที่นั่ง แต่ละช่องก็จะมีไมค์ของตัวเองเหมือนโอเปอร์เรเตอร์ทำงานอยู่ แล้วก็จะมีหน้าจอทีวี เราได้เห็นบรรยากาศของพันธมิตรเขาทำงานกันแบบนี้หรอ แล้วพอไปเจอพี่โต๊ะปุ๊บแล้วก็พี่นุช (อรนุช ลาดพันนา-โปรดิวเซอร์) สองคนนี้ พอไปเจอพี่โต๊ะพี่นุชปุ๊บ อย่างแรกเลยเรารู้มาก่อนแล้วว่าพี่โต๊ะทีมพันธมิตรเป็นผู้กำกับ เฮ้ยมันต้องตลกแน่ แล้วพอผมไปถึงแค่พี่เขาพูดขึ้นมามันตลก (หัวเราะ) คือมันตลกตรงที่คือคุณผู้ชมอยากให้นึกภาพนะ เราจะคุ้นเสียงคนพันธมิตรมามันฝังเข้าไปในหัวคนไทยครับ คือไม่ว่าเราจะดูหนังเรื่องอะไรก็ตามที่พากย์ไทยโดยเฉพาะหนังจีนจะมีเสียงแบบนี้ แต่หน้าพี่เขากับตัวพี่เขามันไม่ใช่เสียงนั้นเลย เฮ้ยนี่คือคนๆ นั้นหรือนี้ แล้วเวลาเขาพูดออกมาวันแรกมันจะสนุกตรงที่เวลาผมไปลองชุดเสร็จเขาจะให้อ่านบท แล้วให้ลองเล่นดูสักฉากหนึ่ง แล้วตอนที่เขาอ่านบทและบรีฟเราว่าให้เราอ่านตามบทเราต้องพูดอารมณ์แบบนี้ เขาจะเปลี่ยนเสียงไปด้วย แล้วเราก็จะตลกมากตรงที่คนที่เป็นผกก.กับพี่นุชเขาสามารถเปลี่ยนเสียงได้เยอะมาก เวลาเขาอยากจะเป็นผู้ชายเขาก็แมนมาก แต่ว่าเป็นตุ๊ดเป็นขันทีอุ๊ยอะไรย่ะ (หัวเราะ) มันยิ่งกว่าผมที่เปลี่ยนเสียง เขาเปลี่ยนเสียงได้ขาดมากครับ คือเป็นคนๆ หนึ่งแล้วมาเป็นคนอีกคนหนึ่ง เขาเล่นของเขาเอง เหมือนเขาสนุกของเขา เล่นๆของเขาเองผมก็นั่งดูเพลินดี (หัวเราะ) ที่สำคัญตอนกำกับพี่โต๊ะจะเป็นผกก. ที่ใจดีมาก เป็นผกก.ที่เปิดโอกาสมาก เปิดโอกาสให้เราได้ครีเอทอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการแสดงเอง ไม่ว่าจะเป็นที่บอกไปแล้วคือคำพูด แล้วก็แอคติ้ง แล้วก็มู้ดแอนด์โทน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ต่างๆ แต่ในขณะที่เปิดโอกาสจริงๆ แล้วพี่โต๊ะเขาก็จะตั้งธงอยู่ในใจว่าตรงนี้ที่อยากจะให้มีผลลัพธ์อะไรเกิดขึ้นนะครับ ถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนอะไรไปมากมายก่ายกองเราต้องกลับมาให้ได้ เราต้องกลับมาสู่สิ่งที่พี่เขาต้องการ คือพี่เขาจะตั้งธงไว้ในหัวแล้วว่าซีนนี้มันจะต้องยังไง แล้วก็ได้เห็นอีกอย่างหนึ่งคือการทำงานในเรื่องของการพากย์ เพราะว่ามันจะมีตอนถ่ายทำเสร็จนะครับ คือเมื่อประมาณเดือน ธ.ค เดือน พ.ย. นี่นะครับ ก็จะมีเรียกไปพากย์ทับ เนื่องจากว่าบางซีนอย่างเช่นซีนขับมอเตอร์ไซค์ ซีนเปิดเรื่องมันจะมีทะเลาะกันที่สี่แยก พอทะเลาะกันที่ 4 แยกปุ๊บฝนตกนกเต็นด้วย ทะเลาะกันที่สี่แยกด้วย โอ้โหเสียงรอบข้างเต็มไปหมดรถรา มันก็เลยต้องไปพากย์เสียงทับ ไอ้ตอนพากย์เสียงผมเพิ่งรู้นะว่าหลักการพากย์นี่ยากมาก เพราะว่าอะไรครับ เวลาเราพากย์เราจะต้องดูว่าเราเล่นไว้ยังไง นี่ขนาดเราพากย์ทับตัวเราเองยังยากขนาดนี้ สมมุติพูดคำหนึ่งขึ้นมาเราต้องรู้ว่าความเร็วมันขนาดไหน อารมณ์มันยังไง กว่าเราจะพากย์ให้ดูเหมือนเสียงที่ได้อัดมาจากตรงนั้นจริงๆ พอเราพากย์เสร็จปุ๊บในขณะที่ขับรถอออกมาจากที่พากย์ เราจะรู้สึกว่าโอ้โหแล้วพี่เขาพากย์หนังมากี่พันเรื่องว่ะนิ เขาจะต้องกะเกณฑ์ยังไงให้ ศิลปะของการพากย์เป็นอะไรที่ยากมากครับผม นอกเหนือจากนั้นแล้ว ถ้าพูดถึงพี่โต๊ะคือหลายคนอาจจะรู้สึกว่าคนเป็นนักพากย์มาตลอดชีวิต เขาจะมาเป็นผกก. ได้หรือเปล่า คือต้องขอบอกเลยนะครับว่าบทภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นบทภาพยนตร์ที่พี่โต๊ะเขียนขึ้นเอง แล้วก็เป็นบทภาพยนตร์ที่รู้สึกว่าวันที่ผมไปงานเลี้ยงปิดกล้อง พี่โต๊ะบอกว่าเพื่อนๆ ในพันธมิตรเองก็มีส่วนในการออกไอเดีย เพราะว่าอย่าลืมว่าคนที่เป็นนักพากย์เขาเป็นคนที่ได้ดูหนังเยอะมากนะครับ บางทีผมอยากจะบอกว่าคนที่เป็นนักพากย์ได้ดูหนังเยอะกว่านักวิจารณ์หนัง คือนักวิจารณ์หนังบางคนก็จะเลือกดูหนังประเภทต่างๆ ที่ตรงกับจริตตัวเอง หรือไม่ก็มักจะดูหนังที่ยากๆ หนังที่ยากมากเอามาย่อยให้มันง่าย หรือว่าอาจจะเคยดูหนังเฉพาะที่ตัวเองชอบ บางคนก็จะเลือกวิจารณ์หนังดราม่าอย่างเดียว บางคนก็วิจารณ์หนังแอ็คชั่นอย่างเดียว แต่คนที่เป็นนักพากย์เลือกไมได้นะครับ คนที่เป็นนักพากย์ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ชอบหรือไม่ชอบมันมาแล้วเราก็ต้องพากย์ เพราะว่าคนไทยรอดูอยู่ คนไทยที่ไม่อยากอ่านซับไทเทิล และไม่อยากฟังภาษาอังกฤษ อยากดูหนังที่พันธมิตรพากย์ เพราะฉะนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะความฟลุค มันเกิดขึ้นมาจากฝีมือแล้วนอกเหนือจากฝีมือแล้วมันเกิดขึ้นจากจุดเด่นของพี่โต๊ะและพันธมิตรคือประสบการณ์ ประสบการณ์ที่ได้อยู่กับหนังมาไม่รู้กี่ปี ผมว่าต้อง 20-30 ปีได้ครับ ดูจากลักษณะห้องที่พากย์มันดูเป็นโบราณวัตถุมาก มันดูเป็นอะไรที่เก่าเก็บ มันดูเป็นอะไรที่ขลังมาก เพราะฉะนั้นเขาต้องอยู่กับวงการหนังมานานมาก การที่อยู่กับวงการหนังมานานมากผมรู้สึกว่าพี่เขาต้องมีภาพอยู่ในหัวจำนวนมาก หนังที่เขาอยากทำสักเรื่องหนึ่งมันต้องเป็นแบบนี้นะ เพราะฉะนั้นแน่นอนเลยครับเรียกได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นศิลปะการทำหนังอย่างหนึ่ง เป็นศิลปะการทำหนังที่ผ่านมุมมองของนักพากย์หนัง พากย์มาผมว่าอาจจะแตะหมื่นแล้วก็ได้ เอาเป็นว่าถ้าเราไม่นับหนังอย่างเดียวนะครับ เรานับซีรีย์ เรานับหนังจีนชุด หนังจีนชุดกว่าจะพากย์หมดชุดผมว่าใช้เวลาบางทีเกือบครึ่งปีกว่าจะพากย์หมดชุดๆ หนึ่งแล้วไม่รู้ว่าพี่เขาพากย์มาเท่าไรแล้ว

Q : เสน่ห์ของหนังเรื่องรักสุดทีน? J : เสน่ห์ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ผมยกให้พันธมิตรเลยนะครับ เมื่อคุณดูหนังของพันธมิตรคุณก็จะรู้อยู่แล้วว่าเสน่ห์ของมันคืออะไร แต่ดูหนังของพันธมิตรคุณจะรู้สึกอย่างหนึ่งคือไอ้ปากที่พะงาบๆ อยู่บนทีวีมันไม่ใช่ภาษาของเรา มันเป็นเรื่องที่ถูกชาติอื่นทำมาแต่เราแค่เอามาพากย์ แต่ขอให้นึกทวีคูณเข้าไปว่าไอ้ประสบการณ์การพากย์ที่ผ่านมาทั้งหมดของพี่เขา เขาได้จับมุขเกือบทั้งหมดแล้วก็จังหวะของหนังเกือบทั้งหมด อะไรก็ตามที่มันเป็นศิลปะของการทำหนังทั้งหมดเอามาลงในภาพยนตร์เรื่องนี้บวกกับตัวของนักแสดงที่คัดมาว่ามันตรงกับคาแรคเตอร์นี้ๆ มันทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจตรงที่มันจะเป็นรูปแบบตลก อย่างเช่นให้นึกถึงหนังตลกเราก็จะนึกถึงหนังของพี่หม่ำ พี่จตุรงค์บ้าง ตลกแต่ละคนที่เป็นผกก. ด้วยเขาก็จะมีแนวทางการตลกที่เป็นลายเซ็นต์ของแต่ละคนแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นพันธมิตรเองเป็นกลุ่มบุคลที่มีความมตลกอยู่ในตัวเอง แต่ความตลกนั้นก็จะเป็นความตลกที่แตกต่างจากคนอื่นไปอีก เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่าความตลกในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นยังไง เพราะว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ตลกของพันธมิตรที่คุณไม่เคยดูที่ไหนมาก่อนโดยฝีมือของพันธมิตรมันจะเป็นความตลกในรูปแบบใหม่

Q : รวมทั้งเป็นการแสดงแบบเข้าขากันสุดๆของ มาริโอ้ พล่ากุ้ง และจั๊ดเอง ทั้งๆ ที่เพิ่งร่วมงานกันเป็นครั้งแรก? J : ผมจะเจอกับพล่ากุ้งเป็นครั้งแรกๆ แต่มาริโอ้จะเจอบ่อยหน่อยนะครับแต่ว่าไม่เคยได้ร่วมงานกันในหนังที่ต้องแสดงแบบปะทะกันเลย ต้องเข้าฉากยังไม่เคย แต่ว่าพอไปเล่นจริงๆ ผมว่าไม่ยาก มันมีแต่ความสนุก เพราะว่าฉากแต่ละฉากที่ต้องเข้ากัน ฉากในภาพยนตร์เรื่องนี้อะไรก็ตามที่เป็นดราม่าที่เป็นเรื่องเศร้าๆ ส่วนใหญ่เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คือมาริโอ้จะแยกไปอยู่ส่วนตัวไปดราม่ากับผู้หญิงของเขา ไปดราม่ากับครอบครัว ไปดราม่ากับใครที่อื่น แต่พอมาริโอ้ลงมาจอยกับเรามักจะเป็นฉากสนุก ฉากไปเที่ยวผับ ฉากตรงร้านกาเกงยีนส์ ฉากขายของ ฉากขับขี่มอเตอร์ไซค์มันจะไม่ค่อยเจอดราม่า แล้วพอเล่นมันก็เหมือนกับว่ามันสนุกไปกันเองเรื่อยๆ เลย ถ้าสมมุติว่ามีอะไรที่เพิ่มมาตอนเราคุยกันสนุกๆ เราก็จะเสนอพี่โต๊ะโดยเฉพาะพล่ากุ้ง พล่ากุ้งเป็นคนที่ตลกอยู่แล้วหนึ่ง สองเป็นคนที่คิดมุกได้เก่งมาก คือด้วยความที่เขาเป็นดีเจ พิธีกร เราจะเห็นพล่ากุ้งทำแบบนี้ประจำ คือพล่ากุ้งด้วยความที่เขาเป็นคมลัมนิสต์ด้วยของนิตยสารแนวเซ็กซี่ สาวๆ แนวๆ เที่ยวกลางคืนอะไรแบบนี้ แล้วเวลาเขาเข้าฉากผับฉากเกี้ยวพาราสีผู้หญิง มันจะมีชุดคำพูดที่แบบโอ้ย!ไอ้นี้แพรวพราวมาก เหมือนกับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เวลาไปเขาฉากโดยเฉพาะฉากขายของหรือว่าฉากตามผับจะมีน้องผู้หญิงมาแสดงด้วยเยอะมาก พล่ากุ้งก็จะถือโอกาสทำสกู๊ปไปด้วย ถ่ายภาพไปด้วย โอบคนโน้นโอบคนนี้ (หัวเราะ) คือมีแขกรับเชิญในสกู๊ปให้กินได้อีกหลายเดือน มาริโอ้เองเขาก็จะไหลๆ ตามไป แต่มาริโอ้ต้องบอกว่าเขางานเยอะ มาริโอ้จะมีหลับบ้าง โดยมวลรวมทั้งหมดแล้วสนุกอย่างมาริโอ้เองผ่านงานแสดงมาเท่าไรแล้ว พล่ากุ้งเองก็มีทักษะในการแสดง แล้วก็มีทักษะในการคิดมุกสดได้ เพราะฉะนั้นพอมารวมกันมันจะไม่ยาก มันจะไม่ค่อยมีฉากที่คัทเพราะว่าทุกคน blank แล้วจำบทไม่ได้ไม่มีครับ มันจะมีพอเล่นไปจนจบอยากจะเติม แต่มันจะไม่มีที่เล่นไปแล้วขาด ลืมพูดอะไรหรือเปล่ามันจะไม่ค่อยมี ต้องบอกว่าเวลาเข้าฉากฮาแน่นอน ด้วยความที่มันตรงกับความเป็นจริงมาก คือมาริโอ้กับพล่ากุ้งเองเขาก็จะคุยกันเองสนุกสนานเรื่องผู้หญิง ผมเองในชีวิตจริงผมก็จะไม่คุยเรื่องผู้หญิงหรอก นั่งมองคุยกันแล้วก็คือมันสนุกตรงที่ไม่ต้องปรับอะไรมาก ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก แล้วพอเล่นกันไปมันก็จอยกัน มันไม่ค่อยมีเรื่องผิดพลาดในเรื่องของการจำบท ไม่ค่อยมีการผิดพลาดในเรื่องบล็อคกิ้ง มันเลยทำให้บรรยากาศในกองไม่เครียด ทีมงานก็ไม่เครียด พอทีมงานไม่เครียดนักแสดงไม่เครียดมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ คราวนี้ก็ยิ่งสนุกสนานไปกันใหญ่ มันสนุกมากกว่ามาเล่นหนัง มาทำงานคือเหมือนมาเล่นมากกว่ามาทำงานครับ

Q : ประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษ? J : ประทับใจฉากไหนเป็นพิเศษ (หัวเราะ) ผมประทับใจฉากหนึ่งมากผมรู้สึกว่าเล่นแล้วแบบลื่นไหลดี คือฉากที่อันนั้นเป็นการถ่ายวันแรกของผมด้วย เป็นฉากที่นอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง (หัวเราะ) ต้องเกริ่นก่อนว่า ในหนังคืนก่อนหน้านั้นเราไปเที่ยวกัน 3 คน ต่างคนต่างก็ได้เด็กกันไป ต่างคนก็ไปเจอว่าประสบการณ์ของเด็กแต่ละคนเป็นยังไง พล่ากุ้งก็ไปเจอของเขา มาริโอ้ก็ไปเจอของเขา ส่วนผมเองก็จะเจอของผม ผมก็จะพยายามหนีผู้หญิงคนนี้มาก อีผู้หญิงคนนี้ก็ตามมาบ้านจนได้กัน พอไปได้กันเสร็จเราก็ปล่อยเลยตามเลย แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาปุ๊ป นั่นแหละครับ ไม่เฉลยนะครับแต่ต้องไปดูครับ มันเป็นฉากที่พีคมากสำหรับผม มันเป็นฉากที่เล่าไม่ได้ต้องดูเองฉากนี้ เพราะว่าตอนเล่นมันส์มาก สนุกมาก คือภาพยนตร์เรื่องนี้ผมจำไม่ได้ว่าถ่ายกี่คิว แต่ว่าวันแรกที่ไปมีหลายอย่างที่ยาก คือเข้าฉากกับมาริโอ้และพล่ากุ้งเลย แล้วก็ไม่ได้มีเวิร์คช็อปด้วย พอไม่ได้มีเวิร์คช็อปปุ๊บ มันต้องมีละลายพฤติกรรมกันก่อน มันก็ละลายพฤติกรรมกันตอนถ่ายเลย แต่อีกอันที่ยากก่อนที่จะไปถึงฉากที่ประทับใจ มันจะมีฉากๆ หนึ่งที่ขอโทษเถอะครับวันแรกที่ผมไปออกกองไม่ได้เตรียมตัว บทอ่านมาครั้งสองครั้งทั้งเรื่องไม่ได้มาเจาะอะไรเลย ฉากแรกๆ ที่ผมเข้ายังไม่ยากเท่าไร เป็นฉากมาเจอกันหน้าบ้านมาริโอ้กำลังจะไปต่างจังหวัด พอฉากต่อมาเป็นฉากที่ผมต้องไปมีอะไรกับผู้หญิง มันเป็นอะไรที่แบบ เฮ้ยพี่โต๊ะวันแรกเลยหรอพี่ คือวันแรกมันเป็นฉากที่ผมรู้สึกว่าไอ้ฉากนี้มันเหมือนกับว่าต้องถ่ายหลังๆหน่อย เพราะว่าเป็นฉากที่เราต้องอาศัยการเตรียมตัว รู้จักทีมงานก่อน ว่าทีมงานคนนี้เป็นแบบนี้ ถ้าทำงานเป็นแบบนี้ต้องรู้ใจกันก่อน หรือว่าให้เราซึมซับคาแรคเตอร์นี้เข้าไปก่อน แต่ว่ากลายเป็นฉากนี้เป็นฉากแรก เพราะจริงๆ ตามลำดับเรื่องจะต้องมีฉากที่ทั้งคู่ไปกิ๊กันในผับก่อน แต่นี่เราต้องถ่ายฉากที่เราไปได้กันคือวันแรก แต่ฉากที่เราไปเจอกันในผับมันเป็นเกือบสุดท้าย คือแทนที่จะให้เราไปเจอกับผู้หญิงคนนี้ก่อนในวันแรกๆ ชีวิตจริงน้องเขาชื่ออะไร ตอนนั่งแต่งหน้า ทำผม กินข้าวจะได้คุยกัน เพื่อละลายพฤติกรรมจะได้รู้จักกันมากขึ้น วันนั้นไปถึงเข้าไปในห้องแต่งหน้าไปเจอหน้าแป็บเดียว 5 นาทีจากนั้นก็แยกกันไป น้องเขาก็รออยู่เราก็ถ่ายฉากอื่นอยู่ให้เราเข้าไปเปลี่ยนชุดนั่งรอบนเตียงเลย น้องผู้หญิงเพิ่งเจอไม่กี่นาทีที่แล้วมาปล้ำเราซะแล้ว (หัวเราะ) มันเป็นอะไรที่โหดนะครับ แล้วที่สำคัญคือมันไม่อยากให้เล่นซ้ำๆ กันไปเยอะเพราะว่ามันเป็นฉากที่เข้าถึงเนื้อถึงตัว แล้วเราก็จะเกร็งน้องเขาก็จะเกร็ง และที่สำคัญคือต้องบอกคุณผู้ชมเลยนะครับว่า ฉากบนเตียงยากมากนะครับ ด้วยความที่กล้องหนังมันตัวเดียว พอเก็บหลายมุม ก็ต้องมีอะไรซ้ำๆ ไปๆ มาๆ กันตรงนั้น (หัวเราะ) มีอะไรกันไปเลยๆ เดี๋ยวเก็บข้างบน เดี๋ยวเก็บข้างๆ แล้วไอ้ตัวผ้าห่มอีก มันก็เลยจะยากไปหมด เพราะถ้าสมมุติเปิดหมดจะกลายเป็นหนังโป๊ จริงๆ น้องเขาใส่ทุกอย่างคือเซฟไว้หมด เราก็ใส่ทุกอย่างอยู่เซฟทั้งหมด แต่ว่ามันต้องมีผ้าห่มซึ่งผ้าห่มมันจะให้เลื่อนลงไปจนน้องเขาโป๊เห็นก้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นผ้าห่มก็จะมีทีมงานมาช่วยกันจับ ให้เฟรมภาพมันได้ จุดที่ยากของฉากๆนี้ คือนอกเหนือจากจะโดนผู้หญิงปล้ำแล้ว จะเป็นจุดที่ตลกเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่า เป็นจุดที่ถึงจุดสุดยอดมันเล่นยากนะครับ คือถ้าคนเราไม่ถึงจุดนั้นจริงๆ จะให้มานั่งเล่นมันเล่นยาก มันเหมือนกับว่าอยู่ดีๆ ให้จามฮัดชิ้วมันยาก เพราะว่ามันเป็นอาการทางกายภาพมันเกิดขึ้นเอง แต่ว่ามันไม่ใช้มันเป็นอะไรที่โหดมาก วันแรกเป็นอะไรที่โหดและหินมากครับ

Q : เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมและไม่รู้ว่าจะมีมาเจอแบบนี้อีกเหรือเปล่า? J : เท่าที่ตัวผมเป็นแบบนี้ พอไปเล่นหนังเรื่องไหนก็ตามมักจะได้เป็นตัวประหลาดหนึ่ง สองได้เป็นเพื่อนพระเอก เพื่อนนางเอก เพื่อนตัวร้าย ไม่มีโอกาสที่จะไปได้รักกับใครในภาพยนตร์กับละคร คือบทพวกนี้เหมือนถูกสาป มันเป็นบทที่ไม่มีความรัก มันเป็นบทที่เข้ามาแอร้ๆๆ แล้วก็ออกไป ไอ้หน้าที่ของการเล่นเลิฟซีน มันเป็นหน้าที่ของพระเอก นางเอก ตัวร้ายที่เป็นตัวเมน มีรักกัน กอดจูบกันบ้าง นางร้ายอาจจะหลอกพระเอกตามสไตล์หนังไทย นางร้ายอาจจะหลอกมอมเหล้าเมามีอะไรกัน นางเอกจับได้สุดท้ายก็ต้องจูบกัน แต่ว่าบทแบบเราผมไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนว่าจะได้รับบทแบบนี้ พอเจอจริงๆ มันเป็นครั้งแรก ครั้งเดียวและอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วยนะครับมันก็เลยยากเข้าไปใหญ่ (หัวเราะ)

Q.ท้ายนี้อยากฝากอะไรกับแฟนๆดีเจจั๊ดกันบ้าง J : สำหรับตอนนี้ผมก็มีภาพยนตร์เรื่องรักสุดทีนที่อยากจะฝากกันไว้ ถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้เสร็จก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิตเกิดขึ้น นั้นก็คือการทำคลิปตอนน้ำท่วมที่วิจารณ์ศปภ. ก็ต้องขอบคุณยอดคนดูเยอะเหลือเกิน ผมก็แฮปปี้ แต่ในทางกลับกันคือทำให้ผมตกงานไปเยอะทีเดียว (หัวเราะ) ไม่มีงานไปประมาณ 2 – 3 เดือน ในช่วงปลายปี แต่ไม่เป็นไรครับช่วงนี้ก็กลับมาแหละ กลับมาช่วงมกราคมน่าจะมีงานให้ดูกันนะครับ ผมมีรายการสด 2 รายการ รายการแรกคือรายการจั๊ดเม้นท์เล่นข่าว คือจั๊ดไปเม้นท์จะเป็นคอมเม้นท์ที่ผมไปเม้นท์ข่าวต่างๆ ในขณะเดียวกันจั๊ดเม้นท์ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการพิพากษา ความยุติธรรม เป็นการเล่นคำ ออกอากาศทาง Play Channel ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 13.00-15.00 จากนั้นเปิดไปที่ช่อง BLUESKY Channel ผมจะจัดรายการชื่อรายการฟ้าทะลายโจร อันนี้จะเป็นรายการฮาร์ดคอร์ไม่แพ้ในคลิปเลย อาจจะหนักกว่าในคลิปด้วยซ้ำ การเมืองล้วนๆ แต่เป็นการเมืองแบบเข้าใจง่าย ผมจะเอามาเล่าย่อยให้เข้าใจง่าย ให้การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ ก็ออกอากาศสด 4 โมงเย็นถึง 5 โมงเย็นนะครับ แต่ว่าในช่วงเดือนก.พ.เป็นต้นไปก็จะขยับเวลาเป็นดึกขึ้นมาหน่อยตอน 21.00 น. ก็ต้องฝากขอบคุณไปยังคนที่เป็นห่วงเป็นใย เข้ามาทั้งในแฟนเฟส เข้ามาทั้งในทวิสเตอร์ ถามว่าเป็นยังไง โอเคแล้วครับ ตั้งแต่มกราคมเป็นต้นไปผมเริ่มโอเคขึ้น สบายใจหายห่วงได้ ยังมีที่ยืนอยู่ในสังคมนะครับ แล้วก็ยังมีทียืนให้ทำงานต่อไป ยังไงฝากติดตามผลงานทุกชนิด ทุกช่อง แล้วก็ทุกรูปแบบของผมด้วยก็แล้วกัน แล้วก็ที่สำคัญคือนอกเหนือจากรายการสองรายการนี้แล้วก็ฝากภาพยนตร์นี้ไว้ก็อยากให้ไปดูกันเยอะๆ รักสุดทีน 1 มีนาคม 2555 ตอนนั้นเด็กมหาลัยก็ปิดเทอมแล้ว เด็กมัธยมมบางโรงเรียนก็ปิดเทอมแล้ว เพราะฉะนั้นจะเป็นช่วงที่ผ่อนคลายนะครับ เป็นช่วงเริ่มต้นของการปิดเทอม เพราะฉะนั้นอยากจะให้น้องๆ ทุกคนไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ แล้วอาจจะมีความคิดบ้างอย่างเกี่ยวกับเรื่องของความรัก มันจะทำให้ความรักของน้องนั้นเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนคนที่เป็นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ปกครองจูงลูกจูงหลานไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ อาจจะมีบ้างอยากที่ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นในครอบครัว หรือถ้าสมมุติคุณไม่มีครอบครัว คุณโตแล้วคุณก็อาจจะได้ย้อนรำลึกถึเหตุการณ์ในอดีตว่า เราเคยมีประสบการณ์แบบนี้ เดินออกมาผมว่าทั้งในเรื่องของภาพยนตร์ ในเรื่องของทีมผกก. แล้วก็ผกก.ที่มาจากพันธมิตร ทั้งในตัวของนักแสดง องค์ประกอบทุกอย่างของหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่า ณ ช่วงเวลาที่คุณเดินออกมาจากโรงอย่างน้อยผมว่าคุณต้องอมยิ้ม คุณต้องมีความสุขแน่นอน 1 มีนาคม 2555 เจอกันทุกโรงภาพยนตร์ครับ

-นท-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net