บ็อกซเตอร์ (Boxster) เจเนเรชั่นใหม่ล่าสุด – โร้ดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางจากปอร์เช่

17 Jan 2012

กรุงเทพฯ--17 ม.ค.--เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ของปอร์เช่ที่ทำการเปลี่ยนโฉมปอร์เช่ บ็อกซเตอร์ (Boxster) ใหม่หมดเพื่อเข้าสู่เจเนเรชั่นใหม่ รถยนต์เปิดประทุน 2 ที่นั่งคันนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนตัวถังใหม่ให้เบาขึ้น เพื่อความสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักที่เบาลง ฐานล้อที่ยาวขึ้น ตัวรถที่กว้างขึ้นและมีล้อที่ใหญ่ขึ้น อีกทั้งยังติดตั้งระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (electro-mechanical power steering) เสริมเพิ่มเติมนี้เองส่งผลให้รถยนต์สปอร์ตเครื่องยนต์ วางกลางคันนี้มีความคล่องตัวในการขับขี่มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทิ้งคู่แข่งในระดับเดียวกันได้อย่างเหนือชั้น ไม่เพียงเท่านี้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลงถึง 15 เปอร์เซ็นต์หรือมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่า 8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรเพียงเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับรุ่นด้วยเช่นกัน)

รูปลักษณ์ของบ็อกซเตอร์ (Boxster) ใหม่แตกต่างจากเดิมไม่ว่าจะเป็นระยะยื่นจากล้อถึงปลายกันชนที่สั้นลง ตัวรถที่ราบแบนยิ่งขึ้น กระจกหน้าที่มีมุมตั้งไปทางด้านหน้ามากยิ่งขึ้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้รถมีความสง่างามและสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่หมดด้วยเช่นกัน รวมไปถึงหลังคาที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมดและมีน้ำหนักเบา แนวคิดภายในห้องโดยสารที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่นี้ส่งผลให้ผู้โดยสารมีพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งยังเสริมคอนโซลกลางรูปแบบใหม่ของปอร์เช่ที่ได้แนวคิดมาจากรุ่นคาร์เรร่า จีที (Carrera GT) เข้าไปเพื่อพัฒนาให้ภายในห้องโดยสารของรถนั้นถูกต้องตามหลักกลศาสตร์มากยิ่งขึ้น

ทั้งบ็อกซเตอร์ (Boxster) และบ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) ต่างสะท้อนให้เห็นถึงความคลาสสิคของปอร์เช่ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบ เรียงนอน พร้อมด้วยระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Petrol injection) ระบบการดึงพลังงานกลับคืนหรือนำพลังงานในการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (electrical system recuperation) ระบบการจัดการความร้อน (Thermal management system) และระบบสตาร์ท/หยุดอัตโนมัติ (Auto start stop function) อีกด้วย รุ่นธรรมดาจะมีพละกำลังสูงสุดถึง 265 แรงม้า (195 กิโลวัตต์) ซึ่งมาจากเครื่องยนต์ 2.7 ลิตร และถือได้ว่ามากกว่ารุ่นเดิมถึง 10 แรงม้าเลยทีเดียว สำหรับรุ่น บ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) ในตอนนี้มีขนาดเครื่องยนต์ที่ 3.4 ลิตรและมีพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 315 แรงม้า (232 กิโลวัตต์) มากกว่ารุ่นเดิมถึง 5 แรงม้า ทั้งสองรุ่นติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะมาเป็นมาตรฐานให้กับรถ และสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทซ์คู่ 7 จังหวะอย่าง Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) เป็นอุปกรณ์เสริมได้เช่นกัน ทั้ง 2 รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมและมีอัตราเร่งที่เหนือชั้นอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์ PDK มาด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่แค่เพียง 7.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรสำหรับรุ่นธรรมดา และ 8.0 ลิตร/100 กม. สำหรับรุ่นบ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S) การเปลี่ยนเกียร์จะเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วและการส่งผ่านกำลังนั้นจะไม่เกิดการสะดุดของการไหลเวียนพละกำลัง อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในระยะเวลาแค่เพียง 5.7 วินาทีเท่านั้นสำหรับรุ่นบ็อกซเตอร์ (Boxster) และ 5.0 วินาทีสำหรับรุ่นบ็อกซเตอร์ เอส (Boxster S)

แพคเก็จ Sport Chrono Package สามารถเลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมได้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และสามารถเลือกติดตั้งระบบควบคุมการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเพื่อสมรรถนะในการเกาะถนน (Porsche Torque Vectoring (PTV)) ที่มาพร้อมกับระบบเฟืองท้ายทางเพลาหลังได้อีกด้วยเช่นกัน

สำหรับประเทศไทย ท่านสามารถค้นหาหรือสอบถามเกี่ยวกับยนตรกรรมหรูอย่างบ็อกซเตอร์ (Boxster) นี้ได้จาก บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเท่านั้น ที่มีศูนย์บริการมาตรฐานและทีมบริการที่มากประสบการณ์ ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากทางโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีโดยตรง พร้อมให้บริการรถปอร์เช่ของท่าน และซื้อรถยนต์ปอร์เช่จากทางเอเอเอสเท่านั้นที่สามารถได้สิทธิ์การรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์ปอร์เช่ ได้ที่ แผนกขาย โทร. 02-522-6655 ต่อ 101-103 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.porsche.co.th

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net