กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--สหมงคลฟิล์ม
“ถ้าหนุ่มอีสานยังสำมะเลเทเมา เจ้าชู้ดีนัก.....“อีนางเอ๊ย” ก็จะขอปันใจไปหา “เขยฝรั่ง” แทนละกัน”“เปรี้ยว ซ่าส์ แก่น ซน”.... แบบฉบับของสาวอีสานยุคใหม่...................ในสไตล์ของ “เปรี้ยวAF 2 - อนุสรา วันทองทักษ์”
Q. ก่อนอื่นอัพเดทชีวิตให้ฟังหน่อยว่า หลังจากออกจากบ้าน AF มาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
P. หลังจากที่ออกมาจากบ้าน AF เปรี้ยวก็ได้มีโอกาส ได้ทำอัลบั้มกับเพื่อนๆ AF รุ่น 2 อัลบั้มปฎิบัติการเร่ขายฝัน หลังจากนั้นก็ได้แยกตัวออกมาทำอัลบั้ม Power pop girl ก็มี เปรี้ยว พัดชา พี่ลูกตาล หลังจากนั้นก็ได้มีทำอัลบั้มกับเพื่อนรุ่นอื่นๆ ด้วย และล่าสุดก็จะเป็นอัลบั้มเดี่ยวค่ะ เปรี้ยว เดซี่ เดซี่ และล่าสุดนะค่ะ ก็จะเป็น ซิงเกิ้ลล่าสุด เพลงแอ๊ปแมน แล้วก็มีโอกาสได้มาเล่นละคร ก็มีเรื่อง สายลมสามเรา, เพื่อนรักนักล่าฝัน, ตามรอยพ่อ ฯลฯ แล้วก็ได้มาเล่น ภาพยนต์เรื่อง อีนางเอ๊ย.. เขยฝรั่ง เป็นหนังเรื่องแรกของเปรี้ยวค่ะ และหลังจากนั้นเปรี้ยวก็ได้มีโอกาสทำงานบันเทิงอีกหลายด้านค่ะ เป็นพิธีกรก็จะมีหลายรายการของช่อง True vision ล่าสุดก็จะเป็นรายการเปรี้ยวเที่ยวตลาดค่ะ ช่อง 65 วันอาทิตย์เวลาบ่าย 3 โมงก็จะเป็นรายการของเปรี้ยวเอง จะเป็นรายการที่จะพาเพื่อนๆ เหล่า AF ไปเที่ยวตลาด ไป Shopping ไปต่อราคาแบบสุดโหดเลย ก็เป็นเปรี้ยวที่จะอาสาพาเพื่อนๆ ไป และหลังจากที่เปรี้ยวได้เข้าบ้าน AF เปรี้ยวก็ได้ทำงานหลายๆ อย่าง และออกจากบ้าน AF ก็ได้ทำงานหลายๆ ด้านในวงการบันเทิง 7 วัน ก็ต้องมีการแบ่งแยกเวลาให้ดีด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ทำงาน และพักผ่อน อย่างเรื่องเรียน เปรี้ยวก็จะเอาคิวไปให้ทางบริษัท ส่วนเวลาที่เหลือก็จะเป็นคิวงาน
Q. ใน 7 วันที่เคยหนักๆ สุดนี่ขนาดไหน
P. ก็เคยทำงานทุกวันเลย วันหนึ่งก็แบบ 4 งาน วิ่งกันมันเลยค่ะ ช่วงนั้นก็จะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้ความสนุกสนานด้วยเพราะไปกับเพื่อนๆ
Q. ทราบมาว่า 1 ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่โหดสำหรับเปรี้ยวเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นงานเพลง, พิธีกรและงานภาพยนตร์
P. ค่ะ สำหรับปีที่ผ่านมา เป็นปีที่เปรี้ยวได้ทำงานหลากหลายมากๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นด้านนักร้อง ต้องมีการเตรียมตัวที่จะทำก็คืออัลบั้มนะค่ะ ก็จะปล่อยมา 3 ซิงเกิ้ล ช่วงแรกจะหนักหน่อยเพราะว่าต้องมีการ ซ้อมเต้น ซ้อมร้อง ไปอัดเสียงกัน ก็จะใช้เวลาในการทำงานนานอยู่เหมือนกัน เลยเป็นช่วงเวลาที่ทำงานหนัก และก็ต้องเตรียมตัวที่จะต้องทำรายการของตัวเองด้วย คือ รายการ เปรี้ยวเที่ยวตลาด จะเป็นอะไรที่หนักเหมือนกัน อย่างวันหนึ่งก็ถ่าย 2 เทป ไปเที่ยวตลาดเยอะมาก ใช้พลังงานก็เยอะด้วย ก็จะได้เจอคนหลากหลายมาก และเราก็ต้องหาข้อมูลเพื่อไปคุยกะทีมงาน ก็เหมือนว่าเราได้ร่วมมือกับทีมงานในการทำรายการด้วย และล่าสุดก็ต้องแบ่งเวลาในการถ่ายหนังเรื่อง อีนางเอ๊ยด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปถ่ายทำกันที่ ร้อยเอ็ด การเดินทางบางทีก็นั่งเครื่องไป แต่ส่วนใหญ่จะนั่งรถตู้ไปพร้อมกับทีมงานก็สนุกมากค่ะ ส่วนใหญ่เราก็ไปตอนเย็น นั่งไปก็ประมาณ 6 ชั่วโมง แวะโน้นแวะนี่ แต่ก็เดินทางด้วยความปลอดภัย ก็พักที่โรงแรมสักคืนหนึ่งแล้วก็ค่อยออกไปถ่ายทำที่ อำเภอ ธวัชบุรี จังหวัด ร้อยเอ็ด เราก็ต้องทุ่มเทให้กับหนังเพื่อที่จะได้ทำออกมาให้เต็มที่ แต่มันก็เป็นอะไรที่เรารักและเราชอบมันก็เลยสนุกไปด้วย
Q. อย่างนี้ต้องเล่าให้ฟังแล้วละว่าใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” รับบทเป็นใคร คาแรคเตอร์เป็นอย่างไร
P. สวัสดีค่ะ เปรี้ยว AF 2 อนุสรา วันทองทักษ์ค่ะ ในภาพยนตร์เรื่อง “อีนางเอ้ย...เขยฝรั่ง” รับบทเป็น แววดาว ค่ะ คาแรคเตอร์ของแววดาวในเรื่อง จะเป็นเด็กผู้หญิงอีสานรุ่นใหม่ที่มีนิสัยแก่นซน น่ารักๆ เป็นคนที่กล้าคิดกล้าทำ เป็นเด็กฉลาดมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ รักหมู่บ้าน แล้วก็ความเป็นอีสานของตัวเอง ส่วนในเรื่องเขยฝรั่ง ตัวแววดาวจะไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ แต่แม่มะลิ (ปริศนา วงศ์ศิริ) ก็จะเห็นด้วยกับการมีเขยฝรั่ง แล้วก็เป็นคนที่รักในความถูกต้อง อย่างตัวมาร์คพระเอก (รับบทโดยรอน AF 5) ที่มาจีบเรา มาชอบเรา ซึ่งลึกๆ เราก็มีใจอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่มาร์คเขาจะเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยเอาไหน แล้วก็ยังเรียนไม่จบรามฯ อยากให้เขาเรียนจบก่อน ก็เริ่มมีความรู้สึกว่า ถ้าเขายังไม่ผันตัวเองไปในทางที่ดี หรือเป็นคนดีรีบเรียนจบสักที เราก็อาจจะปันใจไปหาเขยฝรั่งก็ได้ ด้วยความที่แววดาวเป็นสาวอีสานรุ่นใหม่เป็นคนที่เก่งภาษาอังกฤษมาก สามารถเป็นติวเตอร์ให้กับมาร์คในการจะไปสอบให้จบปริญญา แต่ว่าแววดาวก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน เป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็เลยโดนมาร์คแกล้ง จะมีอยู่ฉากหนึ่งยังไงก็ให้ติดตามละกัน
Q. เห็นบอกว่า “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” เป็นหนังรักโรแมนติคคอมิดี้ ก็ต้องมีพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวพระเอกนางเอกคู่พระคู่นางด้วย
P. ค่ะ ก็ในหนังเราจะเห็นความสนิทสนม ความรักความความสัมพันธ์ระหว่างมาร์คกับแววดาว ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นหนุ่มสาวอีสานที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ด้วยความที่แววดาวเป็นเด็กนิสัยแก่นๆ ซนๆ แล้วก็เป็นคนทันคน ใครด่ามาก็ด่ากลับทันที แต่แววดาวจะแอบมีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัว เช่นเวลาเจอมาร์ค เวลาเขาบอกรักมา เราก็มีเขินอายบ้าง แต่ตอนที่เจอมาร์คครั้งแรกหลังจากไม่ได้เจอกันนานมากเพราะเขาไปเรียนราม 6 ปี เขากลับมาเห็นแล้วก็ปลื้มเลย เพราะว่าแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก พอมาร์คมาเจอแววดาวเขาก็แซวเรา ก็เลยด่ากลับทันทีด้วยความที่ปากไวแล้วก็มีท่าทีทันที
Q. ฟังๆ ดูแล้วเป็นบทที่สนุกๆ และดูมีสีสัน ตอนเห็นบทครั้งแรกรู้สึกอย่างไร
P. ตั้งแต่อ่านบทครั้งแรก เรารู้สึกตื่นเต้นนะที่จะได้เจอกับแววดาว รู้สึกว่าบทนี้เป็นบทที่น่ารักแล้วก็ไม่น่าจะยากเพราะนิสัยคล้ายกับตัวของเปรี้ยวเอง เป็นคนที่ร่าเริงสดใส เปรี้ยว แก่น ซ่า กวน ซึ่งก็ล้วนมีอยู่ในตัวแววดาว หลังจากที่อ่านแล้วรู้สึกชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสน่ห์ของคาแรคเตอร์แววดาวอยู่ที่ในตัวละครตัวนี้จะเป็นตัวละครที่มีความหลากหลายอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่แค่แก่นซนซ่าสดใสร่าเริงเหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่เขายังเป็นคนที่มีความรู้มีความเป็นผู้ใหญ่และยังเป็นติวเตอร์ให้กับมาร์ค รวมไปถึงเป็นแรงบันดาลใจให้มาร์คที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ตัวเองเรียนให้จบและมีหน้าที่การงานเป็นของตัวเอง เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการ ตั้งแต่เป็นเด็ก และเติบโตมีความคิดเป็นนผู้ใหญ่เป็นสเต็ปๆ พัฒนาการของแววดาวที่เปรี้ยวรู้สึกประทับใจ การที่เราได้รับบทนี้ก็เหมือนกับว่าเราได้ย้อนวัยเด็กของเราด้วย คือตอนเด็กๆ เราก็เป็นเด็กอีสานเหมือนกัน ไปไถนา ไปเกี่ยวข้าว มันก็เหมือนกับว่าได้ย้อนวัยอดีตตอนเด็กๆของเรา ที่ก็มีคนมาชอบคล้ายๆ กับที่มาร์คมาจีบแววดาว คือไปๆ มาๆ รู้สึกว่าการเติบโตของเปรี้ยวกับแววดาวค่อนข้างคล้ายคลึงกันมาก นอกจากนี้ก็มีซีนที่เป็นดราม่าด้วย ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีซีนร้องไห้ แอบหวานกุ๊กกิ๊กน่ารักด้วย หรือแม้แต่แอ็คชั่นก็มี จริงๆคนดูอาจจะคิดว่าเปรี้ยวเคยขี่ควายมาก่อน แต่จริงๆ ไม่เคยเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้เปรี้ยวได้ขี่ควายเป็นครั้งแรก แล้วก็รู้สึกสนุกมากเกือบมีแอ็คชั่นเกือบตกควายจริงๆ ก็รู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ได้เล่นบทนี้ง
Q. พลิกบทบาทจากที่ต้องจับไมค์ร้องเพลงมาเล่นหนังเป็นครั้งแรก แตกต่างอย่างไรบ้าง
P. หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรก ก็รู้สึกดีใจมาก แล้วเป็นบทบาทใหม่ที่ได้รับก็รู้สึกดีใจอีกเช่นกัน เพราะว่าเรื่องการแสดงจริงๆ เปรี้ยวก็ยังไม่ได้เก่งอะไรมาก ช่วงแรกก็ตื่นเต้นว่าจะเล่นยังไง หนังจะเหมือนละครหรือเปล่า พอได้มาเล่นแล้วก็ได้พี่ๆ ทีมงานพี่ๆ นักแสดงที่มีฝีมือที่เป็นมืออาชีพมากๆ เขาก็ให้คำแนะนำและสิ่งดีๆ ที่เขามีให้เปรี้ยว มันทำให้เราไม่เกร็ง แล้วตัวน้องรอนก็รู้จักกันมาอยู่แล้ว ทำให้ง่ายต่อการทำงานก็เลยไม่ตื่นเต้นมาก ทำให้ลื่นไหลต่อการแสดงมากขึ้น แล้วตัวแววดาวเป็นบทที่นิสัยใกล้เคียงกับเปรี้ยวด้วยมันก็เลยรู้สึกว่าไม่ยากมาก กลับกัน สำหรับเปรี้ยวแล้วบทนี้รู้สึกว่ามันสนุกมากกว่า ได้ไปถ่ายที่ต่างจังหวัดเกือบ 90% คือ ถ่ายที่ร้อยเอ็ด ด้วยบรรยากาศแล้วคือชิลชิลมากๆ คือตอนที่เราไปถ่ายหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง จะมีหลายฤดูมาก ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูเกี่ยวข้าว แล้วข้าวกำลังตั้งท้อง บรรยากาศกำลังได้มาก พวกพี่ๆ ทีมงานก็บอก อยากมาอยู่ที่นี่มาก ด้วยบรรยากาศที่คุ้นเคยทำให้ง่ายต่อการทำงานมาก มันเหมือนกับไปเข้าค่ายไม่เหมือนกับไปทำงาน
Q. ทราบมาว่าก่อนถ่ายทำมีการต้องเรียนเวิร์คช็อปด้วย
P. ก่อนที่จะถ่ายทำจริงๆ ต้องมีการเวิร์คชอปก่อน เพราะยังไม่ได้เจอกับทีมงาน คือต้องมาเตรียมตัวก่อน อันดับแรกคือ แอ็คติ้ง เปรี้ยวกับน้องรอนก็ต้องไปเรียนแอ็คติ้งกับพี่เต้ย แต่ด้วยความที่เราผ่านการเรียนแอ็คติ้งตอนอยู่ในบ้าน AF มาแล้ว มีพื้นฐานเล็กน้อยพอเข้ากันได้ และอีกอย่างหนังเรื่องนี้จะต้องพูดภาษาอีสานทั้งเรื่อง คือน้องรอนต้องเตรียมตัวเยอะที่สุด จริงๆ แล้วภาษาอีสานเปรี้ยวพูดได้อยู่แล้ว แต่น้องรอนพูดไม่ค่อยได้ เพราะส่วนใหญ่เขาจะได้รับบทเป็นคนกรุงเทพ แล้วก็ละครก็เป็นคนสุพรรณ พอต้องมาพูดภาษาอีสานก็เลยต้องสอนน้องรอนด้วย เราก็จะสอนสำเนียงเขาว่ามันยังไงแล้วก็ช่วยติวเตอร์น้องด้วยและอีกอย่างก่อนไปถ่ายก็ไม่รู้ว่าเราจะต้องขี่ควายด้วย ก่อนถ่ายก็ต้องซ้อมขี่ควายจริงๆ ไม่ได้ขี่ง่ายๆ น้องควายชื่อ น้องด่อน น้องด่อนตัวอ้วนมากแล้วขึ้นยาก น้องรอนขึ้นก่อน เปรี้ยวเด็กอีสานตัวจริงไม่เคยขี่ควายมาก่อนต้องจับมือแล้วก็ดึงขึ้นด้วยความยากลำบากเหมือนกัน พอขึ้นไปแล้วน้องควายจะโยกเยกบางครั้งก็กินแต่หญ้าไม่เชื่อฟังก็ต้องตบๆ ให้เข้ามาในฉาก ก็จะเป็นความยาก ก่อนไปถ่ายจริงก็ต้องมีการเตรียมตัวก่อน
Q. สาว AF อย่างเปรี้ยวต้องเข้าฉากขี่ควายด่อน แถมยังต้องกุ๊กกิ๊กโรแมนติคกับรอนด้วย เป็นไงบ้าง
P. อยากจะบอกว่าการขี่ควายว่ายากแล้ว แต่ในฉากนี้เปรี้ยวยังต้องมีไดอาล็อกพูดกันแถมยังต้องแอ็คติ้งเลิฟซีนกัน มองหน้ากัน แล้วก็ต้องไม่มองทางด้วยนะ ก็ยากเหมือนกันแล้วก็ต้องใช้ความสามารถกัน ต้องให้น้องควายเดินตรงๆ เราก็บอกน้องรอนยิ้ม ซิยิ้ม จะได้ผ่านฉากนี้เร็วๆ ถามว่า มีตกควายมั้ย ก็มีนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นรุนแรง จะมีพี่ทีมงานคอยเซฟ และด้วยความที่ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังโรแมนติคคอมิดี้ก็จะมีฉากที่พระเอกนางเอกต้องจีบกัน กระเซ้าเหย้าแหย่กุ๊กกิ๊จีบกันรักกันค่อนข้างเยอะ นอกจากบนหลังควายแล้วก็ยังมีในน้ำอีกซึ่งเป็นอะไรที่เปรี้ยวลำบากใจมาก เพราะตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วไม่ได้เรียนว่ายน้ำ พอโตมาเปรี้ยวก็จะไม่ค่อยได้ว่ายน้ำ ก็เลยว่ายน้ำไม่เป็น แล้วในหนังอีนางเอ๊ย....ฯ จะมีอยู่ฉากหนึ่งในหนังคือตัวเปรี้ยวจะต้องตกน้ำ เป็นฉากกุ๊กกิ๊กในน้ำ ก็เลยต้องเดือดร้อนถึงพี่ทีมงานที่ต้องไปหาเหล็กมาตั้งค้ำไว้ในน้ำ เราก็อาศัยยืนอยู่บนท่อนเหล็ก เพราะน้ำในบ่อมันค่อนข้างลึกเหมือนกัน แต่น้องรอนเขาตีขาว่ายน้ำได้ แล้วตอนที่ถ่ายทำฉากนี้ก็ถ่ายทำตอนเข้าฤดูหนาวพอดี อากาศก็กำลังเย็นๆ เลย เราต้องแช่น้ำกันอยู่ประมาณครึ่งวัน ก็เล่นอยู่หลายเทค เพราะในกระบวนการของภาพยนตร์ต้องมีการถ่ายทำหลายมุม แล้วต้องมีการเปลี่ยนขนาดของภาพใกล้ไกล โคลสอัพ ซึ่งต้องใช้เวลาถ่ายทำในฉากนี้นานเลยทีเดียว แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน และถ้าสังเกตุดูหน้าเปรี้ยวดีๆ หลายคนอาจจะคิดว่าเปรี้ยวว่ายน้ำเป็น แต่จริงๆ ว่ายไม่เป็น แล้วในฉากนี้ตัวมาร์คพระเอกของเรื่องซึ่งรับบทโดยน้องรอนเขาเข้าใจผิดก็เลยมีการแหย่แกล้งกัน เราก็นั่งอยู่บันไดริมตลิ่ง ส่วนรอนเขาอยู่ในน้ำ เขาก็จะต่อว่า แล้วก็ดึงเราตกลงไปในบ่อน้ำ ต้องบอกว่าอากาศเย็นมาก หนาวสุดๆ อาจเป็นซีนที่ดูเหมือนว่าค่อนข้างลำบาก หรือลำบากที่สุดแต่เปรี้ยวก็คิดว่าเป็นอีกฉากที่สนุกสนานดี แล้วยังต้องมีพูดไดอาล็อคหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ ที่เราต้องโต้ตอบกันก็ต้องคอนเซนเทรดกับคำพูดแล้วก็ประโยคที่ต้องพูดด้วย แล้วไหนยังต้องแก้มแนบแก้ม จมูกโดนจมูก มองตาใกล้ชิดกันอีก ก็พยายามที่จะให้ออกมาดีที่สุด คือบางทีพี่เก่งผู้กำกับก็แกล้งให้เล่นอยู่หลายเทค แล้วก็เอาเทคแรกๆหรือบางทีไปเตี๊ยมกับน้องรอน พอถึงเวลาก็ให้น้องรอนนอกบทกะให้เปรี้ยวเขิน หรืออย่างมีอีกซีนหนึ่งที่ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ช่วงหน้าหนาว แต่ช่วงเวลาที่ถ่ายคือฤดูหนาวผ่านไปแล้ว มันกำลังเข้าหน้าร้อน ก็ต้องใส่เสื้อแขนยาวแล้ว พอใส่แขนยาวตอนอากาศช่วงนั้นเหงื่อก็แตกเชียว แล้วฉากนั้นหวานสุดๆ เลย เป็นฉากข้าวจี่สื่อรัก คือเปรี้ยวจะต้องไปหาน้องรอนที่เถียงนาของเขา ด้วยวัฒนธรรมของคนอีสานเวลาหน้าหนาวเขาก็จะมีผิงไฟก่อไฟ ก็มีการปิ้งข้าวเหนียวกันเอามาชุปไข่แล้วก็เอามาผิง ตอนนั้นก็คือเรามาปิ้งข้าวจี่ให้พี่มาร์คกิน แล้วตอนที่ถ่ายมีกองไฟข้างหน้าเปรี้ยวก็นั่งบนขอนไม่น้องรอนก็นั่งข้างๆ แล้วต้องผิงข้าวจี่ก่อนแล้วก็ป้อนน้องรอน น้องก็บอกพอแล้วพี่พอแล้ว คือเวลากินต้องสื่อออกมาว่าข้าวจี่หวานแต่จริงๆ แล้วข้าวจี่ชุบแป้งคลุกเกลือจะเค็มมาก ก็น่ารักดีสำหรับฉากนี้
Q. ทราบมาว่าไม่เพียงแค่ฉากหวานๆ กุ๊กกิ๊กๆ ใน “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” ต้องมีฉากแสดงอารมณ์ของแววดาวด้วยที่เปรี้ยวต้องเล่นออกมา
P. เป็นฉากที่เกี่ยวกับโยงความสัมพันธ์ของตัวละครพ่อมาร์ค( รับบทโดย ปิยะ ตระกูลราษฎร์) กับแม่มะลิแม่ของนางเอก (รับบทโดยปริศนา วงศ์ศิริ) ในอดีตที่ส่งผลมาถึงแววดาวกับมาร์ค เป็นซีนที่ทั้งแววดาวและมาร์คต้องเสียน้ำตา สำหรับเปรี้ยวคือมันไม่ต้องเค้นเลย เป็นฉากซีนอารมณ์ของแววดาว เป็นฉากที่ต้องร้องไห้ด้วย เป็นซีนความรู้สึกของแววดาวที่จะไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น แต่วันนั้นคือ ด้วยความที่รู้ว่าแม่มะลิรู้สึกยังไง มันเลยทำให้ร้องไห้ ด้วยความอึ้งแล้วเสียใจที่แม่รู้สึกอย่างนั้น คือตอนนั้นเปรี้ยวไม่ต้องอะไรมากมาย คืออาทุกคนทั้งอาปิยะและอาไก่ปริศนาส่งอารมณ์ถึงเราก็เลยรู้สึกว่ามันอินจริงๆ ก็คิดว่าถ้าแม่เราเป็นแบบนี้เราก็รู้สึกเศร้าเหมือนกัน เราก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากให้แม่เสียใจเลยแสดงอารมณ์ด้วยการร้องไห้ออกมา
Q. ร้องอยู่กี่เทค
P. คือร้องทุกเทคเลย คือรู้สึกจริงๆ แล้วก็แม่เขาเล่นได้ดีมาก เปรี้ยวก็เลยซึ้งตาม คือสำหรับเปรี้ยวแล้วเป็นหนังเรื่องแรกที่เปรี้ยวได้ร่วมแสดงกับนักแสดงมืออาชีพ อาปริศนา อาปิยะ พี่รุ้งหนูหิ่น พี่เปิ้ลชไมพร พ่อครูนพดล และนักแสดงอีกมากมาย ยังได้เล่นกับน้องรอนเป็นครั้งแรกที่เจอกันแบบจริงจัง ตื่นเต้นมากที่จะได้เล่นแต่ละฉาก ยิ่งฉากที่เจอกับอาปริศนาที่เล่นเป็นแม่ก็เกร็งๆ เขินๆ แต่อาเขาน่ารัก เขาแนะนำเราในการปรับตัวในวงการบันเทิง การทำงานตรงนี้ต้องทำตัวยังไงถึงจะอยู่ในวงการนี้ได้นานๆ ส่วนในเรื่องการแสดงเปรี้ยวได้หยิบจับเคล็ดลับดีๆ จากพี่ๆ หลายคน แต่ที่เห็นบ่อยๆ ก็คือพี่เหลือเฟือ นอกฉากกับในฉากจะคนละคนเลย พี่เขามีอินเนอร์มากๆ จะมีครั้งหนึ่งที่เปรี้ยวพูดภาษาอีสานแล้วพูดเพี้ยนไป แล้วพี่เหลือเฟือก็มาแซวเราว่าเป็นคนที่ไหน อย่างคำว่า “ไปไร่” เปรี้ยวพูดผิดเขาก็มาแนะนำว่าต้องพูดเสียงอย่างไร หรือเล่นยังไงให้มันธรรมชาติ
Q. หนังเรื่องแรกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับเปรี้ยวใน “อีนางเอ๊ย...ได้ทำนั่นโน่นนี่เยอะมาก รวมทั้งต้องมีฉากแต่งงานด้วย
P. ค่ะ ในหนังก็มีฉากที่เราต้องแต่งงาน ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้แต่งงานแล้ว เพราะว่าแม่อยากได้เขยฝรั่งแต่จริงๆ แล้วสำหรับเปรี้ยวตั้งแต่ได้เล่นละครมายังไม่เคยเข้าฉากแต่งงานมาก่อน แล้วหนังเรื่องแรกก็ทำให้เปรี้ยวได้แต่งงาน พี่เมคอัพช่างแต่งหน้าทำผมเขาก็มาแต่งหน้าให้แล้วผมเปรี้ยวก็สั้นมากพี่เขาก็เลยต้องดึงตั้งแต่โคนเลย ก็ทำผมให้สูงขึ้นแล้วก็ได้ชุดสวยๆ มาใส่ก็ประทับใจเหมือนกัน แล้วในฉากนี้ต้องแอบมีให้น้องรอนมาหอมแก้มด้วย แล้วก็ต้องมีฉากที่เปรี้ยวต้องหอมแก้มน้องร้อนกลับ พอเปรี้ยวหันไปน้องรอนก็เบนหน้าออก ก็เลยบอกน้องรอนว่าอย่าทำแบบนี้กับพี่สิ (หัวเราะ) ก็มีแซวกัน ก็หอมไปสองครั้งเองค่ะ คือพี่เก่งผู้กำกับเขาคงไม่เอาอะไรมาก เพราะน้องรอนไม่เต็มใจ (หัวเราะ) ของเปรี้ยวเทคเดียวแน่นเลย ไม่ให้หอมดีนักก็มีแซวบ้าง แต่พอเห็นภาพออกมาสวยมาก พี่ๆทีมงานก็บอกว่าเปรี้ยวสวยมาก (หัวเราะ) แต่ไปเพิ่มความสูงนิดหนึ่งนะลูก
Q. หลายคนบอกว่าเปรี้ยวฉากนี้สวยมากๆ มีถ่ายรูปไปอวดใครบ้างไหมในชุดเจ้าสาว
P. มีค่ะ พี่ๆ ทีมงานก็ถ่าย พ่อแม่เห็นก็บอกเปรี้ยวว่าแล้วจะได้แต่งจริงหรือเปล่า คือ ผู้ใหญ่เขาจะมีเคล็ด คือว่าถ้าอยากจะแต่งงานจริงๆ แล้วเรามาแสดงฉากแบบนี้กลัวว่าจะไม่ได้แต่งงานก็เลยต้องมีเคล็ดว่าให้ข้ามชุด แล้วปรากฎว่าพ่อกับแม่ก็บอกกับน้องรอนคนเดียว แต่ไม่ได้บอกเปรี้ยว เปรี้ยวก็เลยไม่ได้ข้าม แล้วต้องบอกว่าเป็นการแต่งงานแบบประเพณีอีสานแท้ๆ ก็มีขันหมาก บายศรีสู่ขวัญ ผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือ
Q. เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่นำเสนอภาพชีวิตของอีสานในยุคปัจจุบันที่สอดแทรกวิถีชีวิตภาพของอีสานรุ่นใหม่ได้อย่างกลมกลืน
P. ค่ะเป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่พูดอีสาน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องในหนังเรื่องนี้มีความเป็นอีสานเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต มุมมองความคิด ทัศนคติของคนอีสานในยุคปัจจุบัน แล้วก็มีหลายๆ ฉากที่สอดแทรวัฒนธรรมอีสานได้อย่างกลมกลืนและลงตัวอย่างมีอยู่ฉากหนึ่งที่เราจะต้องไปถ่ายกันที่วัดแล้วก็เป็นงานบุญ เป็นงานบุญสลากพัฒน์ เป็นฉากที่ได้เห็นวัฒนธรรมที่ประทับใจมากๆ ของชาวอีสาน คือจะมีชาวบ้านที่เขามาทำบุญที่วัดโดยปกติอยู่แล้ว เห็นแล้วเขาก็ดีใจมีทีมงานมาถ่ายหนังเขาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแล้วน่ารักๆ มากๆ มีน้องๆ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย มาช่วยแนะนำว่าการทำบุญทำยังไง ในฉากนั้นนักแสดงหลักๆ ส่วนใหญ่ก็จะได้เข้าฉากด้วย สำหรับเปรี้ยวเป็นฉากที่อบอุ่นมากๆ คือได้เห็นวัฒนธรรมของคนไทยจริงๆ ว่าความเป็นมาเขาเป็นยังไง กว่าเติบโตมาได้เด็กๆ ทุกคนต้องมาทำบุญแบบนี้ แล้วฉากนั้นเปรี้ยวกับน้องรอนต้องไปเข้าตรงเขาวงกตต้องวิ่งกันแล้วถ้าใครวิ่งไปถึงข้างในได้คนนั้นก็จะได้ขึ้นสวรรค์แล้วยิ่งไปกับคู่รักก็จะสมหวัง แต่วันนั้นวิ่งวนกันมากเพราะเป็นเขาวงกตจริงๆ ชาวบ้านเขาช่วยกันทำ ทำให้เห็นถึงความสามัคคีกว่าจะทำขึ้นมาได้มันยากมากๆ มันเหมือนเราเล่นเกมส์ถ้าเราไปถึงได้ก็เท่ากับว่าเราเก่งมากๆ ที่จะหาทางสว่างเจอซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกุศโลบายที่ชาวบ้านสามารถเอาพุทธศาสนามาเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ทำให้น้องๆ ตัวเล็ก เด็กเยาวชนทุกคนจนถึงวัยรุ่นสามารถเข้าใจที่เข้ามาร่วมเล่นในเขาวงกตได้รู้ถึงความสามัคคีในหมู่บ้านในชุมชนด้วยกัน แล้วยังทำให้เด็กๆได้รู้ว่าการทำดีย่อมได้ดีก็สามารถไปสู่ทางที่ดีได้
Q. ทราบมาจากผู้กำกับว่าในหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง มีฉากหนึ่งซึ่งเป็นฉากสำคัญที่ตัวผู้กำกับตั้งใจทำขึ้นมาเป็นการคาราวะหรือรำลึกถึงหนังไทยคลาสสิคอย่างแผลเก่าด้วย
P. อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ฟังดูแล้วอาจจะอีสาน แต่จริงๆ แล้วจะบอกว่าเป็นอีสานประยุกต์ เพราะว่ามีฉากหนึ่งที่พี่เก่งตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อคาราวะหนังไทยคลาสสิคอย่างแผลเก่า เป็นฉากที่มาร์คกับแววดาวต้องไปบนบานศาลกล่าวพ่อปู่ แสดงถึงความรู้สึกที่ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดผูกผันกันมากขึ้น ว่าจะคบหาดูใจเป็นแฟนกันแล้วนะ ก็เป็นฉากน่ารักๆ อีกฉากหนึ่ง เราจะต้องไปให้คำมั่นสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เรานับถือ ก็เป็นฉากหนึ่งที่เราต้องการให้คนไทยเห็นถึงวัฒนธรรมว่าเราก็ยังเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ถือว่าเป็นฉากหนึ่งที่เป็นทั้งฉากบอกรักและเป็นฉากให้คำมั่นสัญญากันของแววดาวแล้วก็มาร์ค แต่ว่าแววดาวก็ยังคงความก๋ากั่น ว่าถ้ายังไม่เปลี่ยนตัวเอง ไม่ตั้งใจแล้วเรียนให้จบ แววดาวก็อาจจะเอาเขยฝรั่งก็ได้
Q. มีฉากไหนที่ประทับใจเป็นพิเศษบ้างไหม
P. ก็มีฉากที่เปรี้ยวประทับใจมากๆก็เป็นฉากที่เปรี้ยวย้อนความสัมพันธ์ระหว่างมาร์คกับแววดาวตอนสมัยยังเด็ก แล้วเปรี้ยวต้องแปลงโฉมเป็นเด็ก ม.ต้น ตอนอายุ 14 ปี ต้องตัดผมแต่ใส่วิกผมเอาแล้วพี่ช่างผมก็ตัดผมถึงติ่งหู ไว้หน้าม้า แล้ววันนั้นจะต้องปั่นจักรยานอยู่แถวๆ เถียงนา แล้วมาร์คหรือน้องรอนก็ต้องปั่นจักรยานตามมาแซวเราเหมือนเดิม แต่เริ่มแอบดีใจว่าเขามาอีกแล้วเหรอ แต่เป็นฉากที่เปรี้ยวประทับใจมาก ด้วยความน่ารักของฉากนี้และความตลกของทรงผม คืออยากให้ดูมากว่าเปรี้ยวในวัย 14 ปีเป็นอย่างไร ไม่ใช่ลุคส์นี้แน่นอน เป็นฉากที่น่ารักแล้วก็แอบเขิน คือมาร์คเขามาแซวเรา เราก็ปั่นจักรยานไปแล้วล้มคว่ำอีกต่างหาก พอมาร์คเห็นเป็นห่วงก็จะวิ่งเข้ามาขยี้หัวเราถามว่าทำไมทำแบบนี้ แล้วน้องรอนขยี้กึ่งผลักหัวจริงหลายเทคมาก แล้วก็ต้องมีแผลถลอก หัวกระเซิง ก็จะเป็นในลักษณะคู่กัดกัน ตัวมาร์คก็จะต่อว่าแววดาวว่าช่วยแล้วไม่ขอโทษเหรอ เราก็บอกว่าไม่ขอโทษ (หัวเราะ) เป็นฉากน่ารักกุ๊กกิ๊ก น่าจะทำให้คนเห็นแล้วประทับใจได้ ด้วยความที่ไม่เคยเห็นเปรี้ยวในลุคส์นี้มาก่อน ซึ่งเบื้องหลังของฉากนี้ที่พี่ๆ ช่างทำผมต้องมารุมเปรี้ยว แล้วเขาก็เอาวิกมาให้เปรี้ยวดูทีแรก เปรี้ยวก็ถามว่าวิกทรงนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) เลยตั้งชื่อให้เลยว่าวิกทรงเอ เวลาใส่มันเหมือนกระท่อมอยู่บนหัวแล้วพี่ช่างแต่งหน้าก็มาเติมคิ้วให้เปรี้ยวเหมือนเด็กอายุ 14 ยังไม่กันคิ้วน่ารักๆ ทำให้ผิวดำๆ คล้ำๆ เหมือนโดนแดด บอกได้ว่าพอเห็นตัวเองแล้วฮา เดินไปที่ไหนพี่ๆทีมงานก็ขำหัวเราะออกจากข้างในจริงๆ ทำให้ไม่มั่นใจในตัวเอง ตอนถ่ายก็ตะวันกำลังจะตกดินปั่นไปเห็นเงาตัวเองที่พื้นก็ตกใจ ไม่กล้าส่องกระจกเลย ก็ขำลุคส์ตัวเองที่พี่เขาแปลงโฉมมาให้
Q. มองว่าเสน่ห์ของหนังเรื่อง “อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง” อยู่ที่ตรงไหนอย่างไร
P. เปรี้ยวว่า มันคือความเป็นธรรมชาติมากกว่า หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นของคนในยุคปัจจุบันตอนนี้ อย่างฝรั่งตอนนี้เข้ามามีบทบาทในอีสาน คือผู้หญิงแถบอีสานจะชอบมีแฟนป็นฝรั่งกันเยอะ แล้วลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นหนุ่มอีสานแท้ๆ แต่แล้วแฟนๆ ของเรา หรือสาวๆ ชาวอีสานหันไปปิ๊งหนุ่มฝรั่งกันหมด ทีนี้หนุ่มอีสานจะอยู่อย่างไร จะทำตัวอย่างไรกัน นี่คือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ที่จะสะท้อนให้คนดูได้เห็นวิถีชีวิตการดำเนินชีวิตที่มีความน่ารักที่มีความจริงใจอยู่ในตัวเอง แถมเขายังอยู่อย่างพอเพียงมีความสามัคคีรักใคร่ปองดองกัน จะว่าไปแล้วเสน่ห์ของหนังเรื่องอีนางเอ้ย...เขยฝรั่งมีอยู่มากมาย สำหรับเปรี้ยวๆ มองว่าหนังเรื่องอีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง คือเป็นหนังที่ทำให้ทุกคนได้รู้ว่าความเป็นธรรมชาติ ความเป็นกันเองและความน่ารักของชาวอีสาน วิถีชีวิตในการดำเนินไปของเขาเรียบง่าย พอเพียงจริงๆ โดยเฉพาะตัวบท คือตัวบทผ่านการประกวดในโครงการไทยแลนด์สคริปต์โปรเจ็กต์มาแล้วเรียบร้อยเพราะตัวบทชนะเลิศ BEST SCRIPT ซึ่งมีพี่อุ๋ย-นนทรีย์ นิมิบุตร แล้วก็พี่ต้อมเป็นเอก รัตนเรืองเป็นคนสกรีน ซึ่งก็สามารถการันตีได้ถือว่าหนังเรื่องนี้คุ้มค่าแก่การดูแก่การชมแน่นอน
Q. พูดถึงผู้กำกับ เก่ง ชิโนเรศ คำวันดี
P. คุณผู้กำกับที่น่ารักของเปรี้ยว พี่เก่ง ชิโนเรศ ก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้ร่วมงานกับพี่เขา เพราะพี่เขาเป็นคนหนึ่งที่เปรี้ยวอยากจะขอบคุณมากกว่า ขอบคุณพี่เก่งมากๆ ที่ให้โอกาสเปรี้ยวมาเล่นกว่าจะได้มาเล่นจริงๆ เราแคสติ้งกันมาเยอะมาก พี่เก่งมั่นใจในตัวเปรี้ยว ให้โอกาสเปรี้ยวมาเล่นบทแววดาวตอนแรกพี่ทีมสหฯ โทรมาบอกเปรี้ยวว่า น้องเปรี้ยวพี่ได้เบอร์น้องเปรี้ยวมาจากคนนี้นะ น้องเปรี้ยวอยากเล่นหนังไหม ตัวเปรี้ยวเองดีใจมากๆ มีคนโทรมาชวนเล่นหนัง แต่เป็นหนังพูดอีสานทั้งเรื่องเลยนะ พี่เขาก็ให้ไปแคสท์เปรี้ยวก็ไปแคสท์ ให้แต่งชุดแบบเสื้อยืดกางเกงขาสั้น พอเข้าไปพี่เขาก็บอกว่าตัวจริงโอเคนะแล้วเขาก็บอกเลยว่าเขาเห็นเราตั้งแต่ในบ้าน แล้วเขาก็ไปเสิร์ชดูรูปเราว่าตอนนี้น้องหน้าตาเป็นยังไง ผมยาวหรือสั้น เขาก็เห็นเลยว่ามันตรงกับบทของแววดาวพี่เก่งก็เลยเลือกเปรี้ยวให้มารับบทนี้ พี่เก่งเขาน่ารักมากค่ะเป็นกันเอง แต่ว่าเขาบอกว่าใครโดนพี่เก่งดุถือว่าโชคร้ายมากๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เปรี้ยวเข้าฉากแล้วซ้อม มีฉากหนึ่งที่เล่นกับพี่รุ้ง เขาก็เลย เฮ้ย เล่นกันทำไม หนูก็เลยเฮ้ยพี่เก่งดุครั้งแรกเลยที่เห็นพี่เก่งดุ จริงๆ พี่เก่งเป็นคนน่ารักมากเวลาบรีฟเขาก็บรีฟบทได้เข้าใจ พอถึงตอนถ่ายก็เป็นไปด้วยดี ด้วยความที่พี่เขาเป็นกันเองแล้วก็น่ารักกับทีมงานทุกคนก็ง่ายต่อการทำงาน สำหรับพี่เก่งผู้กำกับของเรา ถึงแม้จะเป็นหนังเรื่องแรกที่กำกับการแสดง พี่เก่งก็บ่งความสามารถมากมายมานานถึง 10 กว่าปีแล้ว พี่เขาเป็นคนที่มีความสามารถสูงเป็นคนที่ละเอียด กว่าจะผ่านแต่ละฉากได้ พี่เขาต้องเช็คถึงความเรียบร้อย แล้วก็เป็นคนที่พูดอะไรชัดเจน เป็นคนที่น่าเชื่อถือกับน้องๆแล้วก็ทีมงาน แล้วพูดได้เลยว่าพอเปรี้ยวได้มีโอกาสมาเล่นหนัง ได้รู้ว่าคนทำหนังแต่ละคนให้ใจแบบสุดๆ ไปเลย ก็กว่าจะมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆ ทีมงานแต่ละฝ่ายแต่ละแผนก ทีมงานช่างไฟ แต่ละบทแต่ละสคริปต์กว่าจะได้มา การตรียมงานถ่ายทำแต่ละฉากแต่ละซีน มีรายละเอียดเยอะมากมาย กว่าจะไปลงโลเคชั่น เห็นถึงความยากลำบากของทีมงานแล้วก็ความตั้งใจ ก็อยากให้ทุกคนช่วยสนับสนุนหนังไทยแล้วก็ไปดูหนังกันจริงๆ กว่าจะออกมาเป็นหนังเรื่องหนึ่งมันก็ยากลำบากเหมือนกัน
Q. มาถึงตรงนี้รู้สึกว่าติดใจกับการเล่นหนังแล้วหรือยัง
P. สำหรับงานหนังโดยเฉพาะหนังเรื่องนี้ เปรี้ยวรู้สึกชอบมากๆ เหมือนว่าเราไม่ได้มาทำงาน เพราะเป็นการทำงานที่สนุกมากๆ ก็ติดใจแล้วละค่ะ
Q. ให้คำนิยามคำว่า “เขยฝรั่ง”
P. คำว่าเขยฝรั่ง เปรี้ยวก็นึกถึง แถวอีสานบ้านเฮานะค่ะ ก็จะมีแบบที่ว่าบ้านนี้จะมีลูกเขยเป็นฝรั่ง อย่างเวลาเปรี้ยวกลับบ้าน ก็จะมีคุณยายแบบทั้งหมูบ้านเลย มารอรับเขยฝรั่ง ที่มาจากเมืองนอก และก็พาไปเที่ยว ก็เป็นความอบอุ่นอีกแบบหนึ่ง ก็สำหรับเรื่องเขยฝรั่งในเรื่องอีนางเอ๊ย ในมุมมองของเขยฝรั่งในเรื่องนี้ สะท้อนถึงมุมมองอีกส่วนหนึ่งที่เราอาจจะไม่เคยเห็น เพราะเราอาจจะมองฝรั่งแค่เปลือกนอก เรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่าฝรั่งก็จะมีหลากหลาย ที่จะสอนให้คนดูได้รู้ เกี่ยวกับจะเลือกคบยังไง แบบไหน จะทำความรู้จักกับเขาแบบไหน สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้ค่ะ
Q. อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
P. หนังเรื่องอีนางเอ้ย...เขยฝรั่ง เป็นหนังแนวตลก โรแมนติกคอมมิดี้ หนังเรื่องนี้จะสื่อถึงการดำเนินชีวิตของชาวอีสานในปัจจุบันที่มีค่านิยมเปลี่ยนไปซึ่งส่งผลกระทบต่อในชุมชน ผ่านเรื่องราวของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็คือมาร์ค รับบทโดยน้องรอนที่อยู่มาวันหนึ่ง สาวๆ ในหมู่บ้านหันไปมีค่านิยมชื่นชอบการมีแฟนเป็นฝรั่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพี่สาวของผู้หญิงที่เขารัก เพื่อนสนิทที่ภรรยาของเขาทิ้งไปมีแฟนเป็นฝรั่ง จนกระทั่งแววดาวผู้หญิงที่เขารัก แม่ของแววดาวก็สนับสนุนให้แววดาวมีแฟนเป็นฝรั่ง ทำให้หนุ่มอีสานคนนี้ต้องลุกขึ้นมาพิสูจน์ว่า หนุ่มอีสานก็มีอะไรดีกว่าฝรั่งนะ ไม่ได้สำมะเลเทเมาหรือเจ้าชู้อย่างที่คิด โดยตัวหนังก็จะสอดแทรกแนวคิดของคนอีสาน ค่านิยม รวมไปถึงแนวทางพระราชดำรัสของในหลวงเกี่ยวกับความพอเพียง ก็อยากให้ลองได้มาชมกันนะค่ะ ยังไงก็ติดตามภาพยนตร์เรื่อง อีนางเอ๊ย...เขยฝรั่ง ด้วยนะค่ะ วันที่ 12 พฤษภาคม ทุกโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน ยังไงก็ไปดูกันเยอะๆ นะค่ะ
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit