กรุงเทพฯ--23 มี.ค.--สหมงคลฟิล์ม
Q: ความรู้สึกเมื่อได้รับการติดต่อให้ร่วมงานภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กับท่านมุ้ย A: เจอท่านตอน casting เรื่องเพชรพระอุมา แต่โปรเจคนี้ยังไม่เริ่ม ท่านก็เรียกมา casting เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในบท “มณีจันทร์” ตอนแรกตื่นเต้นมาก สงสัยว่าจริงรึเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลย รู้สึกดีใจที่ได้รับเกียรตินี้ เราและครอบครัวก็ภูมิใจ เพราะเป็นประวัติศาสตร์ของไทย ที่ไม่ได้สร้างบ่อยๆ โดยเฉพาะการกำกับภาพยนตร์โดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล (ท่านมุ้ย) ไม่ใช่ทุกคนจะได้โอกาสดีๆ แบบนี้ พอเราได้โอกาสนี้ก็ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
Q: มองภาพท่านมุ้ยในใจไว้อย่างไรก่อนมาร่วมงานกับท่าน A: ภาพของท่านมุ้ยในความคิดของเรา ได้ยินชื่อ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล มาตั้งแต่เด็กๆ นึกไม่ออกว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่ภาพท่านตอนแรกต้องดุแน่เลย ตื่นเต้น กลัว พอเจอท่านวันแรกความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ไม่กลัวท่านอีกแล้ว ท่านมีความเมตตา ไม่ดุ แถมมีมุกตลกอีกต่างหาก ท่านชอบเล่าถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่อง ตัวละคร ท่านไม่เบื่อ ไม่เหนื่อยที่จะเล่าหรืออธิบายให้นักแสดงฟัง ยิ่งมีคำถามยิ่งดีท่านชอบ ตรงนี้ทำให้เรากล้าที่จะถาม ไม่เกร็ง เรื่องแบบนี้ต้องถามเยอะเพราะเราเองมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์น้อยมาก ไม่ได้ลงลึก และบทก็ไม่มีอ่านล่วงหน้า
Q: เมื่อมาร่วมงานกับท่าน คิดว่าท่านเป็นอย่างไร เช่น วิธีการทำงาน A: การทำงานกับท่านสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ระบบการทำงานจะไม่เหมือนที่ไหนเลย เราไม่สามารถเตรียมตัวอะไรก่อนได้เพราะไม่มีบทให้อ่านก่อน ภาษาก็ยากเป็นคำราชาศัพท์ คำโบราณ หนักใจเหมือนกันค่ะ ตามประสาเด็กก็จะตื่นตูม กังวล เครียด แต่ท่านก็จะบอกเสมอว่าไม่ต้องเครียด เตรียมตัว เตรียมร่างกายให้แข็งแรง พร้อมเสมอ มีสมาธิในการทำงาน และทำตามที่ฉันบอก ถ้าท่านบอกได้ก็คือได้ ทุกอย่างก็จบ การถ่ายทำใช้เวลาค่อนข้างยาวต้องมีความต่อเนื่องซึ่งเราก็ต้องถาม หากไม่ได้รับการ Brief จากท่านก่อนเราก็เล่นไม่ได้
Q: ได้เรียนรู้อะไรจากท่านบ้าง A: ได้เรียนรู้ว่าการทำงานกับท่านไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ หากเราทุ่มเท ตั้งใจทำให้กับมันจริงๆ เคยเห็นสิ่งที่ท่านทำมาอะไรที่เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายท่านก็ทำสำเร็จจนได้ ไม่ว่าจะยากเย็นหรือใช้เวลานาน สุดท้ายท่านก็ต้องทำให้ได้
Q: งานหนังกับงานละครต่างกันอย่างไร A: ต่างมากเลยค่ะ แอฟยังไม่เคยเล่นภาพยนตร์อื่นนอกจาก ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ Production ใหญ่มากกว่าภาพยนตร์ปกติ แตกต่างจากละครมาก หนังถ่ายเป็นคัทสั้นๆ แต่แอฟว่าหนังยากกว่า บทสั้นจำง่ายแต่บิ้วอารมณ์ยาก ละครบทยาวแต่อารมณ์มันไปได้เรื่อยๆ แอฟเล่นบทไหนก็ได้แต่ขอให้เป็นบทที่สำคัญในเรื่องๆ นั้น เป็นบทบาทมีผลต่อเรื่องค่ะ
Q: ความประทับใจต่อภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อนร่วมงาน (นักแสดง/ใครบ้าง/เรื่องอะไร) การทำงานของฝ่ายต่างๆ A: ประทับใจทีมงาน ทุกคนที่อยู่ในทีมน่ารัก มีความสามัคคี เป็นกองถ่ายที่ใหญ่แต่ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันเลย ส่วนเพื่อนๆ นักแสดง แอฟรู้สึกว่าทั้งนักแสดงและทีมงานทุกคน เราไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานตามกองละครปกติ แต่เราเป็นครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น แอฟสามารถทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่ต้องคิดมาก จะนอนกับพื้นก็นอนจะพูดอะไรก็พูด เพราะเราอยู่ด้วยกันนานปีที่ 8 แล้ว ผ่านอะไรมาด้วยกันมาหมดทุกอย่าง ทั้งสนุกสนาน ลำบากที่สุด โหดที่สุด น่ากลัวที่สุด เหนื่อยที่สุด เราผ่านด้วยกันมาหมดแล้ว มันไม่มีกรอบอะไร เรารู้สึกสบายใจที่ได้เป็นตัวของตัวเอง ทั้งหมดทุกอย่าง ทั้งกับทีมงานและนักแสดงด้วยกันความประทับใจโดยรวมกับเพื่อนนักแสดง ที่เราเจอกันบ่อยก็มี แอฟ ทราย พี่เบิร์ด พี่ต๊อด ปีเตอร์ พี่ปราบต์ พี่ต้น ทั้ง 7 คน เราจะให้กำลังใจกัน เขารู้ว่าแอฟไม่ถนัดบู๊ไม่ถนัดฉากรบแล้วก็กลัวด้วย ทุกคนก็ให้กำลังใจ ทุกคนคอยเซฟ คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา จะเห็นน้ำใจกันตั้งแต่ตอนที่ฝึกซ้อม เก็บตัวเหมือนนักกีฬา ช่วงนั้นหนักหน่วงมาก ซ้อมวันเว้นวันตั้งแต่เช้าถึงเย็น มีตารางมาเป๊ะๆ เรียนฟันดาบ ซึ่งแอฟไม่ชอบ แต่ทรายเขาจะบู๊เก่ง
พูดถึงพี่เบิร์ด เป็นพี่ชายที่แสนดี ใจดี นับแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงทุกวันนี้ พี่เขาเรียบร้อยมาก พี่เขาเป็นทหารจริงๆ เป็นสุภาพบุรุษ เป็นทหารทั้งนอกจอ และในจอ 8 ปีที่เจอกันพี่เขาจะเหมือนเดิมทุกอย่าง ปัจจุบันเขาเป็นคนสาธารณะไปแล้วแต่เขาก็ปฏิบัติเหมือนเดิมกับทุกคน ทุ่มเทในการทำงานไม่ว่าจะปีแรกถึงปีที่ 8 เขาก็เหมือนเดิม รักในงานที่ทำ ทุ่มเทกับบท ดูแลเผื่อแผ่ไปถึงทุกคน ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
Q: ความรู้สึกต่อบทมณีจันทร์ A: บทมณีจันทร์ ในภาค 3 ไม่ค่อยออกรบเหมือนภาคที่แล้ว แต่จะเป็นการให้กำลังใจ ดูแล เป็นบทที่ทำให้คนดูได้เห็นอีกบทบาทที่สำคัญของผู้หญิงสมัยก่อน ไม่ใช่แค่ช้างเท้าหลังอย่างเดียว แต่มณีจันทร์ มีบทบาทเรื่องการดูแลพยาบาลกองทัพ การออกความคิดเห็นในการวางแผนการรบ ทำให้เห็นบทบาทของผู้หญิงเพิ่มขึ้น
Q: ฉากที่ร่วมแสดงชอบฉากไหนในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช A: ชอบฉากท้องพระโรงที่มีคนเยอะๆ อลังการ เหมือนเราได้เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวจริงๆ ทุกคนกราบพร้อมกัน รู้สึกขนลุกเหมือนอยู่ในสมัยก่อนจริงๆ ฉากสวยงามอลังการ คงไม่มีที่ไหนทำแบบนี้อีกแล้ว ประทับใจกับ Production ที่ใหญ่และทุกอย่างมีที่มาที่ไปมีรายละเอียดบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง
Q: ความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สำหรับการเป็นภาพยนตร์แห่งชาติ A: ไม่มีใครสร้างภาพยนตร์ได้แบบนี้อีกแล้ว ทั้งเรื่อง Production การสำรวจค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์ ท่านมุ้ยลงมือค้นคว้าด้วยตัวเอง ดูสถานที่จริงทุกอย่าง จะหาความเที่ยงตรงความจริงในประวัติศาสตร์ไปมากกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว การลงทุนทุ่มทุนระดับนี้ก็คงไม่มีอีกแล้ว ก็จะเป็นภาพยนตร์ของคนไทยทุกคน ท่านมุ้ยพูดเสมอว่าไม่ได้ทำให้ฝรั่งดูแต่ทำให้คนไทยดู ไม่ได้ทำเพื่อรายได้ รางวัล แต่ทำเพื่อให้คนไทยดู ดูแล้วให้คิดต่อ ข้อคิดที่สำคัญคือบรรพบุรุษไทยได้เสียสละอะไรมาบ้างเพื่อลูกหลาน กว่าเราจะได้มีแผ่นดินอยู่มาจนทุกวันนี้ คาดหวังว่าคนไทยจะไปดูทุกคน ดูแล้วคิดต่อ เกิดความรักความสามัคคีในชาติ คงเป็นเรื่องหลักที่สุดในตอนนี้ที่ทุกคนอยากให้เกิดขึ้น
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net