แบงก์ออฟไชน่าเซ็นMOU ปล่อยกู้นักธุรกิจไทย

13 May 2011

กรุงเทพฯ--13 พ.ค.--ธนาคารแห่งประเทศจีน

แบงก์ออฟไชน่าจับนักธุรกิจ 35 รายเซ็น MOU ตั้งเป้าวงเงิน 7 พันล้านเอาใจลูกค้าคนไทยไม่อั้น ด้านนายยันเตรียมผลักดันนักธุรกิจถีบจีนให้ถึงที่สุด

นาย เชอจวิน ผู้จัดการทั่วไปธนาคารแห่งประเทศจีน สาขากรุงเทพ เปิดเผยว่า การร่วมลงนามสัญญา MOU ในครั้งนี้ ระหว่างธนาคารแห่งประเทศจีนกับนักธุรกิจระดับชั้นนำของประเทศ และบุคคลสำคัญต่างๆอีกมากมาย เพื่อเป็นการรองรับธุรกิจและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงินทุน การให้ความรู้และช่วยเหลือในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนของบริษัทที่ทำการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดวงเงินการปล่อยกู้แต่อย่างใด เพราะการปล่อยกู้ให้กับบริษัทที่เข้าร่วมลงนามนั้น จะต้องรอให้แต่ละบริษัทขอวงเงินสินเชื่อมาก่อนว่าต้องการวงเงินสินเชื่อเท่าไหร่ ถึงจะมีการพิจารณาและอนุมัติให้ ถ้าลูกค้าทั้ง 35 บริษัทขอวงเงินมาเท่าไหร่ทางธนาคารก็สามารถปล่อยสินเชื่อให้ได้ในทันที แต่ในปีนี้ทางธนาคารได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อในประเทศไทยไว้ 7,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนของนักธุรกิจไทยที่ต้องการขยายธุรกิจ และคาดว่าในปีหน้าจะมีการตั้งเป้าวงเงินสินเชื่อให้นักธุรกิจไทยมากขึ้น เพราะทิศทางการเจริญเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยยังมีอีกมาก อีกทั้งในปีนี้จะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ตามกฎมาสเตอร์แพลน 2 ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้

ทั้งนี้ 35 บริษัทที่ร่วมลงนามเซ็นสัญญา MOU ทางธนาคารเห็นว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการของธนาคาร อาทิเช่น เซ็นทรัลกรุ๊ป กรีนไดมอนต์ โอเร็นทอลลิงค์ สามารถคอร์เปอเรชั่น เป็นต้น และ ณ สิ้นปี 53 ทางธนาคารมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 1 ล้านล้านหยวน และได้ผลกำไรอยู่ที่ 1 แสนล้านหยวน มีสาขาทั้งหมด 11,000 สาขาทั้งในและนอกประเทศ และมีพนักงานกว่า 260,000 คน และมีการลงทุนในด้านอื่นๆมากมายเช่น ลิสซิ่ง ประกันภัย เป็นต้น จึงสามารถรองรับการลงทุนของนักลงทุนไทยได้เป็นอย่างดี แต่ทางธนาคารยังต้องปรับปรุงเรื่องผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมธุรกิจการค้าระหว่างไทย – จีนให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาให้สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ของไทยได้อีกด้วย

พล.อ. เชษฐา ฐานะจาโร นายกสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย – จีน และสมาคมเครือข่ายกระจายสินค้าไทย – จีน กล่าวว่า ประเทศจีนนับว่าเป็นประเทศสุดท้าย ที่ให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาอาศัยได้ สังเกตในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเกิดวิกฤตการณ์ตั้งแต่ปี 2539 – 2541 ทั้งเรื่องปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาชายแดน ซึ่งประเทศจีนแสดงได้เจตจำนงค์ที่จะช่วยเหลือประเทศไทยในเรื่องของค่าเงิน และข้อพิพาทระหว่างชายแดนอย่างจริงจัง และประเทศจีนก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถเป็นที่พึ่งได้จริง ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจที่สามารถเติบโตได้เป็นอันดับ 2 ของโลก และบุคลากรจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเรื่องของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และการที่ประเทศจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็วก็ยังทำให้ประเทศในแถบเอเชียเติบโตตามไปด้วย ดังเช่นประเทศไทย

สำหรับทางสมาคมทั้ง 2 สมาคมที่ตั้งขึ้นนี้คือสมาคมส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย – จีน และสมาคมเครือข่ายกระจายสินค้าไทย – จีน เป็นความร่วมมือระหว่างคนไทย และคนจีน ที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถทำการค้าระหว่าง 2 ประเทศได้อย่างราบรื่น ให้ธุรกิจที่ลงทุนสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการลงทุน ด้านกฎหมายโดยไม่สนใจว่าว่าจะเป็นบริษัทที่อยู่ในสมาคมหรือนอกสมาคม ถ้าบริษัทใดที่ต้องการความช่วยเหลือก็สามารถติดต่อทางสมาคมได้ทันที