MOVIE: The Chronicles of Narnia : The Voyage of the Dawn Treader อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล

25 Nov 2010

กรุงเทพฯ--25 พ.ย.--MMM Digital

หวนคืนสู่โลกแห่งความหวังและความน่าพิศวงของ ซี.เอส.ลูอิส – ผ่านเรือใบแห่งจินตนการของชาวนาร์เนียที่มีชื่อว่า ดอว์น เทรดเดอร์ ในรูปแบบ 3 มิติ ในภาพยนตร์เรื่อง อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล มหกรรมภาพยนตร์สำหรับฤดูกาลวันหยุด เอ็ดมันด์และลูซี่ พรีเวนซี่ พร้อมกับยูซตาสลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาถูกดูดกลืนเข้าไปยังภาพวาด ถูกส่งกลับไปยังนาร์เนียและเรือดอว์น เทรดเดอร์อันงดงาม พวกเขาร่วมมือกับกษัตริย์แคสเปี้ยนและหนูนักรบผู้มีนามว่ารีพิชีป เพื่อภารกิจที่กุมชะตาแห่งนาร์เนียเอาไว้ เหล่านักเดินทางผู้กล้าผ่านพ้นสิ่งล่อตาล่อใจอันยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาเดินทางไปยังเกาะลึกลับต่างๆ ; มีการเผชิญหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายกับสิ่งมีชีวิตแห่งเวทมนตร์ และเหล่าศัตรูผู้ชั่วร้าย; รวมไปถึงการกลับมารวมตัวกับเพื่อนและผู้คุ้มกันของพวกเขาอย่าง “ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่” อัสลาน

ภาพยนตร์ภาคใหม่นี้สร้างขึ้นจากหนังสือเล่มที่ 3 จากหนังสือทั้ง 7 เล่มของลูอิสในชุด “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย” ถูกตีพิมพ์ระหว่างปี 1950 และ 1956 ซึ่งถูกยอมรับมาเป็นเวลานาน ในฐานะที่เป็นผลงานวรรณกรรมที่เป็นอมตะและมีจินตนาการมากที่สุด หนังสือของลูอิสมียอดขายมากกว่า 100,000,000 เล่ม ด้วยภาษาต่างๆ ที่มากกว่า 50 ภาษา ภาพยนตร์สร้างขึ้นจากหนังสือ “นาร์เนีย” เล่มแรกของลูอิสที่มีชื่อว่า “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง” กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์แห่งปี 2005 ที่มีรายรับมากที่สุด ในปี 2008 เป็นภาพยนตร์ภาคที่สอง “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งใหญ่แห่งปีนั้น

มาถึงตอนนี้สำหรับภาพยนตร์เรื่อง อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล Fox 2000 Pictures และ Walden Media ได้ร่วมกันนำภาพยนตร์ซีรี่ย์กลับมาสู่รากฐานแห่งความมีชื่อเสียง – พร้อมกับทุกสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับแฟนๆ ภาพยนตร์และหนังสือจำนวนมาก ผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไมเคิล แอ็ปเท็ด เจ้าของภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงต่างๆ รวมไปถึงภาพยนตร์ชุด James Bond ตอน “The World Is Not Enough” เช่นเดียวกับภาพยนตร์สุดฮิตที่ได้รับรางวัลเรื่อง “Gorillas in the Mist” และ “Coal Miner’s Daughter” เขาเป็นผู้ควบคุมภาพยนตร์ตอนใหม่ เหล่านักแสดงที่หวนกลับมาจากภาพยนตร์ 2 ภาคแรกอย่าง จอร์จีย์ เฮนลีย์ ที่รับบทแสดงเป็น ลูซี่ พรีเวนเซี่ และ สแกนเดอร์ เคนส์ ที่รับบทแสดงเป็น เอ็ดมันด์ พรีเวนซี่ และ ทิลด้า สวินตัน ก็กลับมารับบทที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำอย่างแม่มดขาว จากภาพยนตร์ตอนที่ 2 เบ็น บาร์นส รับบทแสดงเป็นแคสเปี้ยนอีกครั้ง นักแสดงวัยรุ่นที่มาจากลอนดอนอย่าง วิล โพลเตอร์ รับบทแสดงเป็นยูซตาส ลูกพี่ลูกน้องจอมน่ารำคาญของลูซี่และเอ็ดมันด์ นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ไซมอน เพ็กก์ ให้เสียงพากย์เป็นรีพิชีป หนูนักรบผู้กล้าหาญ และเลียม นีสัน กลับมาให้เสียงของผู้ปกครองอันทรงพลังอย่างสิงโตอัสลาน

ขณะที่มีการสละเก้าอี้ตำแหน่งผู้กำกับครั้งนี้, ผู้สร้างภาพยนตร์ แอนดรูว์ อดัมสัน (“Shrek,” “Shrek 2”) กลับมารับหน้าที่เป็นหนึ่งในสามของผู้อำนวยการการสร้างภาพยนตร์ กลับมาร่วมทีมอีกครั้งกับเพื่อนร่วมทีมจากภาพยนตร์มหากาพย์ “นาร์เนีย” สองภาคแรก – มาร์ค จอห์นสัน ผู้คว้ารางวัล Academy Award (“Rain Man”) และฟิลลิป สติวเออร์ ผู้เชี่ยวชาญแห่งวงการ (“The Rookie,” “The Alamo”) ยังกลับมาสู่การผจญภัยของชาวนาร์เนียครั้งที่สาม โดยมีผู้อำนวยการสร้างบริหาร แพร์รี่ มัวร์ และลูกเลี้ยงของ ซี.เอส.ลูอิส อย่างดักลาส กรีแชม ผู้เขียนบทภาพยนตร์คือ คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ สตีเฟ่น แมคฟีลี่ (“อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง” “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน”) และ ไมเคิล เพโทรนี่

เรื่องราวของเหล่านักแสดงมนุษย์ที่กลับมาสร้างความสมบูรณ์อีกครั้ง โดยแกลอรี่ของต้นฉบับของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่นำมาสร้างให้มีชีวิตขึ้นมา ผ่านการผสมผสานด้วยความพยายามทางไลฟ์-แอคชั่นและแอนิเมชั่น CGI ถัดมาที่ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ อังกัส บิคเคอร์ตัน (“The Da Vinci Code,” “Angels and Demons”) ฮาเวิร์ด เบอร์เกอร์ ผู้คว้ารางวัล Oscar? และ เทมี่ เลน ที่กลับมาในภาพยนตร์เรื่อง “นาร์เนีย” ครั้งที่สามของพวกเขา ควบคุมเอ็ฟเฟ็กต์การแต่งหน้าเทียมมากมายของตัวละครใหม่ๆ รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตในอีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่าดัฟเฟิลพัดส์

ขั้นตอนการถ่ายทำในภาพยนตร์เรื่อง อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล เริ่มต้นในสถานที่ควีนส์แลนด์, ประเทศออสเตรเลีย ในวันที่ 27 กรกฎาคม 2009 ซึ่งใช้เวลาของการถ่ายทำทั้งหมด 90 วัน การทำงานที่สตูดิโอยังรวมถึงเวทีการถ่ายทำมากมาย ที่โรงถ่าย Warner Roadshow ใน Gold Coast (เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ภายนอกของครึ่งวงกลมทางตอนใต้ – องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของการสร้างภาพยนตร์

ถัดมาสำหรับการทำงานด้านสตูดิโอ สถานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งรวมถึงคาบสมุทรที่อยู่ชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของสตูดิโอ เรียกว่า Cleveland Point ซึ่งตัวละครนำของภาพยนตร์อย่างเรือดอว์น เทรดเดอร์อันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างขึ้นด้วยเวลากว่า 3 อาทิตย์ที่ถ่ายทำนอกสถานที่ มีความสูง 140 ฟุต น้ำหนัก 125 ตัน การสร้างสรรค์จากนั้น มากกว่า 50 ส่วน และเข็นกลับไปยังสตูดิโออยู่หลายอาทิตย์สำหรับการทำงานภายในกองถ่าย การถ่ายทำภาพยนตร์ปิดกล้องเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 พร้อมด้วยขั้นโพสต์-โพสดักชั่นตลอดทั้งปี ที่มีการฉายภาพยนตร์ทั่วโลกวันที่ 10 ธันวาคม 2010

เรื่องราว

การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของ “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย” ตอนที่ 3 ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 1952 ในหนังสือซีรี่ย์ทั้ง 7 เล่มของ ซี.เอส.ลูอิส ที่มีชื่อว่า “The Chronicles of Narnia” เหตุการณ์เรื่องราวเกี่ยวกับชาวนาร์เนียในอีก 3 ปี ถัดจากนวนิยายก่อนหน้านั้นตอน “เจ้าชายแคสเปี้ยน” ขณะที่สองพี่น้องพรีเวนซี่คนโตต้องไกลห่างไป – ปีเตอร์กำลังเรียนอยู่ในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย; ซูซานใช้เวลาในช่วงวันหยุดที่อเมริกา – สองพี่น้องคนเล็กอย่างลูซี่และเอ็ดมันด์ต้องฝืนใจเดินทางไปเยี่ยมญาติที่บ้านของเขา ซึ่งใกล้กับแคมบริดจ์ในยามสงครามที่อังกฤษ, ประมาณปี 1943 ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของลูซี่และเอ็ดมันด์กำลังเกิดขึ้นไปพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องจอมน่ารำคาญอย่าง ยูซตาส คลาเรนซ์ สครับบ์ – จนกระทั่งสามเด็กน้อยได้ก้าวข้ามผ่านภาพวาดของเรือดอว์น เทรดเดอร์ เรือเดินสมุทรอันยิ่งใหญ่ที่กำลังแล่นอยู่ ดูน่าจับตาด้วยเหล่ามังกร (หัวเรือที่พรรณาถึงหัวมังกร; ท้ายเรืออันน่าเกรงขาม; และด้านข้างที่ตกแต่งด้วยกาบขวาและกาบซ้ายเรือ)

ผ้าใบก็กลับมีชีวิตขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เกิดน้ำท่วมในห้องและเด็กๆ ต่างจมลงใต้น้ำก่อนที่จะเข้าไปสู่มหาสมุทรตะวันออกอันยิ่งใหญ่_แห่งนาร์เนีย พวกเขาได้รับการช่วยชีวิตจากกษัตริย์แคสเปี้ยนและเหล่าลูกเรือขึ้นไปบนเรือดอว์น เทรดเดอร์ เรือที่มีเสากระโดงอันเดียวกันกับที่บรรยายออกมาให้เห็นทางผลงานศิลปะ เอ็ดมันด์และลูซี่ตื่นเต้นที่จะได้กลับไปยังดินแดนที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้ปกครองในฐานะกษัตริย์และราชินีผู้สูงส่ง; ยูซตาสจอมวีนซึ่งเป็นสมาชิกคนใหม่สำหรับโลกนี้มีความสนใจอย่างเพียงเล็กน้อย ในไม่นานทั้งสามก็ได้เรียนรู้ถึงเหตุผลในการเดินทางของแคสเปี้ยนไปทางตะวันออก: แคสเปี้ยนกำลังทำตามคำสัตย์สาบานแด่บิดาผู้ถูกสังหาร เพื่อค้นหาลอร์ดที่หายไปทั้ง 7 แห่งเทลมาร์ การเดินทางได้พาพวกเขาไปยังเกาะทั้ง 5 ที่แต่ละแห่งได้นำมหันตภัยและการผจญภัยอันไม่คาดฝันมาสู่พวกลูกเรือ และแต่ละแห่งมีสิ่งซ่อนเร้นอันเย้ายวนใจซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง แคสเปี้ยนและลูกทีมของเขาพบการคงอยู่ของควันชั่วร้ายสีเขียว ที่ไม่ได้มีอานุภาพในการลักพาผู้คนไปเท่านั้น แต่ยังหมายถึงจิตใจของพวกเขาด้วย

โคเรียอคิน ผู้วิเศษชราที่ชาญฉลาดอธิบายให้แคสเปี้ยนและเหล่าพรีเวนซี่ฟังว่า การทำลายเวทมนตร์อันชั่วร้ายนี้ได้ พวกเขาต้องพบลอร์ดทั้งเจ็ดและนำดาบแต่ละเล่มกลับมามอบให้พวกเขา โดยอัสลานเป็นผู้ปกป้องนาร์เนีย เพื่อรวบรวมนำไปวางไว้บนโต๊ะอาหารอัสลาน ดาบจะมอบพลังอำนาจให้พวกเขา เพื่อเอาชนะหมอกและแม่มด หากไม่มีการรวบรวมของดาบทั้งเจ็ดแล้ว พวกเขาและนาร์เนียจะต้องถูกทำลาย

ภารกิจของเหล่านักเดินทางเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว เมื่อพวกเขาต้องเสี่ยงภัยไปกับคลื่นลมที่รุนแรงในทะเล และงูทะเลอันโหดร้ายท่ามกลางภัยอันตรายอื่นๆ เมื่อพวกเขาลงเรือไปในการเดินทางที่พลิกผันชีวิต ความกล้าหาญและความเชื่อทั้งหลายของพวกเขาถูกยั่วยวนและทดสอบในชะตากรรมของการเดินเรือ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พาพวกเขาเดินทางไปไกลยังขอบโลก

ขณะที่หนังสือเล่มแรกของลูอิสในชุดหนังสือนาร์เนีย ที่มีชื่อตอนว่า “ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง” อาจเป็นซีรี่ย์ที่โด่งดังและได้รับความนิยมมากที่สุด สาวกจำนวนมากของเรื่องราวสุดคลาสสิคของลูอิส กล่าวว่า “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล” เป็นตอนที่ดีที่สุดของ “นาร์เนีย” ในทั้งหมดเจ็ดตอน “มั่นใจได้เลยว่าเป็นตอนหนึ่งที่น่าหลงใหลที่สุดของหนังสือในซีรี่ย์” ผู้อำนวยการสร้าง แอนดรูว์ อดัมสัน กล่าวว่า “‘อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย’ หวนคืนสู่ความพิศวง, เวทมนตร์, ความน่ากลัวและการผจญภัยของ ‘ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง’”

สำหรับการดัดแปลง “นาร์เนีย” ของเขาในภาคที่สามจากหนังสือมาสู่จอภาพยนตร์ (พร้อมกับผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์กันมาอย่างยาวนาน คริสโตเฟอร์ มาร์คัส และ ไมเคิล เพโทรนี่) ผู้เขียนบทภาพยนตร์ สตีเฟ่น แมคฟีลี่ กล่าวว่า “ในแง่ของความท้าทายในการเขียนบทภาพยนตร์คือ การรักษารสชาติเฉพาะตัวของการผจญภัยในแต่ละเกาะ โดยที่ไม่ทำให้ภาพยนตร์มีฉากต่างๆ มากมาย ภาพยนตร์ควรรู้สึกได้ถึงเศษเสี้ยวของภาพยนตร์สองภาคก่อน ที่เป็นการรวมตัวกันของชาวนาร์เนียผู้กล้าหาญและยิ่งใหญ่ ในเวลาเดียวกันก็มีการเพิ่มดินแดนต่างๆ , ประเภทและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราไม่ได้พบเจอในเรื่องราวที่ผ่านมา”

ผู้นำทีมของภาพยนตร์แฟรนไชส์คนใหม่อย่าง ไมเคิล แอ็ปเท็ด ถูกดึงมาร่วมโปรเจ็กต์ได้เพราะ เขากล่าวว่า “ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเดินทาง โดยมี 2 สิ่งที่เกิดพร้อมกัน อย่างแรกคือการผจญภัยผ่านคลื่นลมทะเลที่อันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต และอีกอย่างคือสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเขาเอง เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อย่างเช่นที่พวกเขาเอาชนะพลังแห่งความชั่วร้ายที่พวกเขาพบในการเดินทาง พวกเขาจึงเรียนรู้การจัดการกับสิ่งล่อใจต่างๆ และทำเช่นนั้นเพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ในนาร์เนีย ฉะนั้นสุดท้ายในเรื่องราวของเราแล้ว พวกเขาจะพร้อมออกเดินทางไปตามชีวิตของเขา นั่นเป็นรูปแบบทั่วไปที่ลูอิสนำเสนอเอาไว้ในภาพยนตร์ของเขา” ขณะที่ยังคงรักษาความรู้สึก, อารมณ์และตัวละครต่างๆ ที่แท้จริงของหนังสือเอาไว้ ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องมีการปรับตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพื่อนำเรื่องราวของลูอิสในหนังสือมาสู่จอภาพยนตร์ แอ็ปเท็ดอธิบายว่า “เรื่องราวในหนังสือถักทออยู่ รอบๆ การค้นหาลอร์ดทั้งเจ็ดของแคสเปี้ยน แต่ในภาพยนตร์, ภารกิจคือเพื่อดาบทั้งเจ็ด การคุกคามของหมอกสีเขียวอย่างที่บรรยายเอาไว้ในภาพยนตร์ของเรา ไม่ได้ซึ้งจับใจมากในหนังสือ ‘ผจญภัยโพ้นทะเล’ – แม้ว่ามันจะมีการปรากฏให้เห็นในหนังสือต่อมา”

“ในภาพยนตร์ ภารกิจสำหรับดาบทั้งเจ็ดเล่มคือการเสริมความแกร่ง เป้าหมายในการเดินทางของแคสเปี้ยนไปสู่ขอบโลก” ผู้อำนวยการส้รางบริหาร ดักลาส กรีแชม อธิบายเพิ่ม กรีแชมเป็นลูกเลี้ยงของ ซี.เอส.ลูอิส ได้ทำหน้าที่นำหนังสือของลูอิสสู่จอภาพยนตร์มาทั้งชีวิต “มาตรฐานอันเข้มงวดของภาพยนตร์คือการเพิ่มเติมขึ้นจากเนื้อเรื่องในหนังสือ เกี่ยวกับลอร์ดทั้งเจ็ดแห่งเทลมาร์ และถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวให้ก้าวต่อไปข้างหน้า เพื่อรักษาความตราตรึงใจให้แก่ผู้ชม”

ผู้สร้างภาพยนตร์ต่างๆ ยังระวังถึงการรักษาใจความหลักของหนังสือที่สมบูรณ์ “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล เป็นเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวกับสิ่งยั่วยวนใจ” กรีแชม กล่าวว่า “ตลอดการเดินทาง แคสเปี้ยน, ยูซตาส, ลูซี่และเอ็ดมันด์ รวมไปถึงลูกเรือทั้งหมดของเรือดอว์น เทรดเดอร์ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและการผจญภัยต่างๆ และรับมือกับสิ่งยั่วใจต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา ตัวละครแต่ละตัวพบกับสิ่งล่อใจที่อยู่ในตัวพวกเขาหรือพวกเธอลึกๆ ซึ่งเราได้เห็นมาบ้างแล้วจากภาพยนตร์ตอนก่อนๆ”

“ความกลัวและสิ่งยั่วยวนใจคือประเด็นสำคัญที่ตัวละครต่างๆ เผชิญหน้า และประเด็นหลักเหล่านั้นคือจุดที่ชี้ถึง น้ำหนักและเนื้อหาสาระของหนังสือ ‘นาร์เนีย’” แอ็ปเท็ด กล่าวว่า “ภาพยนตร์เตือนเราว่า เราต้องรู้ทันตัวเองเพื่อจัดการกับสิ่งยั่วยวนใจและความกลัว ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นผู้ใหญ่”

“สิ่งแรกที่เราต้องทำเมื่อเราตัดสินใจจะดัดแปลงหนังสือมาสู่ภาพยนตร์คือ การถามว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร” ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค จอห์นสัน กล่าวว่า “ใจความสำคัญคืออะไร? ผู้แต่งพยายามบอกอะไรแก่เรา และเราจะทำให้ภาพยนตร์เต็มไปด้วยใจความสำคัญในแบบเดียวกันเหล่านั้นไว้ได้อย่าไงร? ‘ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง’ เต็มไปด้วยความศรัทธาเชื่อมั่น ‘เจ้าชายแคสเปี้ยน’ เกี่ยวกับการสูญเสียและการนำศรัทธาเชื่อมั่นนั้นกลับคืนมา ในภาพยนตร์ตอนใหม่นี้เกี่ยวกับการเอาชนะต่อสิ่งยั่วใจ เรามั่นใจว่าประเด็นหลักนั้นคือองค์ประกอบสำคัญของภาพยนตร์ โดยภายนอกของการบอกเล่าถึงเรื่องราวอันยิ่งใหญ่และน่าหลงใหล_”

นักแสดงต่างๆ และการเดินทางของพวกเขา

จอร์จีย์ เฮนลีย์เป็นนักแสดงคัดเลือกคนแรก หลังจากที่ผู้สร้างภาพยนตร์เริ่มทำการค้นหาพี่น้องพรีเวนซี่ในปี 2003 เพื่อตอน “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง” เมื่อจอร์จีย์ถูกพบตัวโดยผู้กำกับคัดเลือกนักแสดงที่ลอนดอน เด็กทั้งหมดมีอายุเจ็ดขวบ และไม่มีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อน 8 ปีต่อมา -- จอร์จีย์ใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิตของเธอในอุ้งมือของนาร์เนีย – เธอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กวัยรุ่นที่สวยงาม ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางส่วนตัวของจอร์จีย์ผ่านภาพยนตร์ทั้งสามเรื่อง สะท้อนถึงประสบการ์ของตัวละครลูซี่ โดยเฉพาะในภาพยนตร์ภาคใหม่ แน่นอนว่าการผจญภัยของลูซี่เกิดขึ้นในโลกอันน่าพิศวงของนาร์เนีย; จอร์จีย์อยู่ในดินแดนแห่งจินตนาการที่แตกต่างออกไป – โลกแห่งฮอลลีวูด

“ฉันเป็นกังวลเล็กน้อยสำหรับการกลับมาสู่นาร์เนียเป็นครั้งที่สาม” จอร์จีย์ กล่าวยอมรับ ซึ่งบางทีความวิตกกังวลของเธอแผ่ขยายมาจากความจริงที่ว่า เธอเป็นตัวละครหญิงหลักเพียงคนเดียวในเรื่อง เพราะการเดินทางผ่านไปยังนาร์เนียของซูซานซึ่งเป็นพี่สาวของลูซี่ จบสิ้นลงที่ “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” ที่ยิ่งไปกว่านั้นลูซี่มีการเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ที่เธอได้เยี่ยมนาร์เนียในครั้งก่อน “เธอข้ามผ่านช่วงเวลาที่ใครๆ ต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยมาแล้ว” จอร์จีย์ กล่าวว่า “ลูซี่ยังคงอยากเป็นเหมือนซูซานพี่สาวของเธอ และสวยแบบเธอ เพราะทุกคนรู้ว่าซูซานดูงดงามจริงๆ

“การเดินทางของตัวละครต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งล่อใจ และในภาพยนตร์เราจะเห็นลูซี่เป็นคนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น” จอร์จีย์ กล่าวต่อว่า “ในภาพยนตร์สองภาคแรก เธอแสดงออกอย่างจริงใจ ซื่อตรงและมั่นใจ ตอนนี้เธอมีความซับซ้อนมากขึ้น และฉันว่าการเดินทางของเธอกำลังจะผ่านพ้นความท้าทายต่างๆ และเข้าใจได้ว่าเธอคือมนุษย์ เธอกำลังเติบโตขึ้น และความรู้สึกต่างๆ ที่เธอมีคือสิ่งปกติ” เกี่ยวกับการเดินทางของเธอผ่านนาร์เนียเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จอร์จีย์ กล่าวว่า “สแกนเดอร์ [เคนส์แสดงเป็นเอ็ดมันด์] และฉันโตขึ้นพร้อมตัวละครเหล่านี้ ฉันรู้สึกผูกพันกับลูซี่มาก เพราะเธอเป็นส่วนหนึ่งอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน”

สแกนเดอร์ เคนส์ เป็นนักแสดงอายุ 12 ซึ่งรับบทเป็นเอ็ดมันด์จอมทรยศในภาคแรก และขณะที่จอร์จีย์อาจเดินหน้าในเส้นทางอาชีพการแสดงของเธอต่อไป (“สิ่งที่ฉันจะคว้าเอาไปจากนาร์เนีย ในบรรดาสิ่งอื่นๆ คือความหลงใหลในการแสดง” เธอยืนยัน), สแกนเดอร์มีแผนที่แตกต่างออกไป ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล สแกนเดอร์ได้รับการยอมรับจาก Cambridge University ซึ่งเขามุ่งมั่นในการเรียนภาษาอาหรับ (แม่ของเขามาจากเลบานอน) การได้รับสิทธิ์จากสถาบันที่ได้รับการนับถืออย่างสูงทางด้านการศึกษา (ที่ ซี.เอส.ลูอิส สอนด้านการเขียนหนังสือในปี 1954-63) 2-3 เดือนหลังจากสิ้นสุดการถ่ายทำ สแกนเดอร์ได้เริ่มวันหยุดพักผ่อนจากอาชีพการแสดงของเขา มาสู่การศึกษาด้านวิชาการ

เมื่อวันและชั่วโมงสุดท้ายแห่งนาร์เนียใกล้เข้ามา สิ่งเดียวที่สร้างความเครียดให้ความรู้สึกสแกนเดอร์คือ การเฝ้ารอการตอบรับว่าเขามีสิทธิ์เรียนที่แคมบริดจ์ ไม่เหมือนกับตัวละครของเขาในตอนท้ายแห่งการเดินทางบนทะเลที่ยาวนาน เมื่ออัสลานอธิบายให้เอ็ดมันด์และลูซี่ฟังว่า พวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจหวนคืนสู่นาร์เนียได้อีก สแกนเดอร์สร้างการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นเด็กมาสู่ผู้ใหญ่ “รู้มั้ยหลังจากช่วงเวลา 6 ปีที่ได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่อง ‘นาร์เนีย’ ผมรู้สึกขอบคุณในประสบการณ์นี้มาตลอด” เขากล่าวว่า “มันช่วยผมหลายอย่างจริงๆ ตอนนี้ผมมั่นใจมากขึ้นกว่าที่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ มันทำให้ผมกล้าที่จะยืนหยัดในการรับภาระหน้าที่ต่างๆ ผมพร้อมที่จะเดินหน้าแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะพาผมไปสู่จุดไหน แต่ผมรู้สึกดีใจและมีความสุข”

สำหรับตัวละครเอ็ดมันด์ของสแกนเดอร์ การเดินทางบนเรือดอว์น เทรดเดอร์ หมายถึงการเผชิญหน้าต่อสิ่งยั่วยวนที่ยากจะต้านทาน ในรูปแบบของแม่มดขาวผู้ชั่วร้าย ซึ่งเป็นการกลับมารับบทอีกครั้งของ ทิลด้า สวินตัน การมีชีวิตอยู่ในเงาของปีเตอร์พี่ชายคนโต เอ็ดมันด์มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นตัวของตัวเอง แม่มดขาวศัตรูผู้ทรงพลังในภาคแรกปรากฏขึ้นในความฝันของเอ็ดมันด์ เพื่อยื่นเสนอพลังอำนาจและบารมีอันเลิศล้ำเหนือกว่าที่พี่ชายเขาจะได้รับ

อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการเดินทางโดยเรืออย่างเป็นพิธีของเบ็น บาร์นสและเป็นอีกด้านในบทภาพยนตร์ของเขาอย่างกษัตริย์แคสเปี้ยนบนจอภาพนตร์ “แคสเปี้ยนเป็นผู้นำแห่งนาร์เนีย 3 ปีแล้ว” บาร์นส อธิบายว่า “เขาต่อสู้และได้รับชัยชนะ ในการกลับมารับบทของแคสเปี้ยน ผมต้องการความเชื่อมั่นและพลังอำนาจ ผมมีความสุขจริงๆ สำหรับช่วงเวลา 2 ระหว่างขั้นตอนการสร้าง ‘อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน’ และในภาคนี้ เพราะมันยอมให้ผมทำสิ่งอื่น และได้รับความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งผมก็สามารถนำมาใส่ในบทบาทได้”

บาร์นสยังทำการศึกษาประวัติส่วนตัวของแคสเปี้ยนมากขึ้นอีกด้วย “แคสเปี้ยนรู้สึกเหมือนเขาไม่เคยมีครอบครัว หรือพ่อที่แข็งแกร่งอย่างเป็นรูปร่าง” เขากล่าวว่า “ประเด็นหนึ่ง, แคสเปี้ยนเติมช่องว่างของพี่ชายคนโตให้แก่ลูซี่กับเอ็ดมันด์ ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำของบริวารเขา เมื่อแคสเปี้ยนเดินทางไปสู่สุดขอบโลกและได้พบกับอัสลาน เขาสงสัยว่าพ่อของเขาอาจอยู่อีกด้านหนึ่ง ความต้องการของแคสเปี้ยนที่อยากพบพ่อเป็นสิ่งยั่วใจสิ่งสุดท้าย แต่เขารู้ตัวว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาคือเพื่อนาร์เนีย เพื่อประชากรของเขา และเพื่อสิ่งสืบทอดต่อจากพ่อของเขา”

เมื่อบาร์นสแสดงเรื่อง “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” เขายังไม่เป็นที่รู้จักของโลกฮอลลีวูด และเป็นสมาชิกใหม่แห่งตระกูลนาร์เนีย วิล โพลเตอร์ นักแสดงหนุ่มน้อยที่แสดงเป็นยูซตาส พบตัวเองในสถานการณ์ที่คุ้นเคยของ อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล ตอนที่แสดงเป็นยูซตาสที่น่ารังเกียจ โพลเตอร์อธิบายว่า “ทำตัวแย่สุดๆ” นักแสดงหนุ่มน้อยชนะใจผู้สร้างภาพยนตร์และเพื่อนร่วมแสดง “วิลเป็นคนหนึ่งที่สุภาพมาก, อ่อนโยนมาก, เป็นเด็กมารยาทดีที่สุดเท่าที่เราเคยพบมาในชีวิต” กรีแชม กล่าวว่า “ขอบคุณในการทำงานที่น่าประทับใจของวิล ผมไม่คิดว่าจะมีผู้ชมคนไหนที่จะปฏิเสธว่า ตอนแรกไม่ชอบยูซตาสแต่สุดท้ายก็ตกหลุมรักเขา” แอ็ปเท็ด กล่าวว่า “เราเห็นคนจำนวนมากในบทบาทนั้น แต่เมื่อเราได้พบวิล เรารู้เลยว่าเราได้ตัวยูซตาสของพวกเราแล้ว เขาเป็นธรรมชาติมาก” เหมือนตัวละครหลักตัวอื่นๆ ยูซตาสต้องเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วใจ สำหรับเขาคือรูปแบบของหุบเขาที่ประดับด้วยเพชรพลอยที่เกาะน้ำมรณะ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจสำหรับยูซตาสที่ต้องกลายเป็นมังกร ซึ่งกลับช่วยให้ยูซตาสเป็นคนที่ทำตัวดีขึ้น “มังกรเป็นตัวละครที่น่าสนใจและสำคัญ เพราะมันคือยูซตาสตัวจริง” อดัม วัลเดซ ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ MPC กล่าว ซึ่งเขาควบคุมการสร้างตัวละครบนคอมพิวเตอร์ “เมื่อทุกคนพบสิ่งที่วิลนำมาใส่ในบทบาท มันกลายเป็นสิ่งสำคัญเมื่อเขาต้องมาอยู่ในร่างมังกร เราจับมาเชื่อมโยงกับการแสดงของเขา เราเลยใส่บุคลิกบางอย่างของวิล/ยูซตาสลงไปในมังกร”

วัลเดซยังเป็นผู้ควบคุมแอนิเมชั่นของรีพิชีป นักรบเคียงบ่าผู้กล้าของแคสเปี้ยน ซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนและผู้คุ้มกันของยูซตาส หนูแอนิเมชั่นเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับวัลเดซ เขามีหน้าที่เป็นผู้กำกับแอนิมชั่นของเรื่อง “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” รวมไปถึงการสร้างรีพิชีปขึ้นบนจอภาพยนตร์ “สำหรับเรื่องนี้ เราได้เพิ่มอายุของรีพิชีปขึ้นมานิดหน่อย เพิ่มสัญญาณแห่งความชราให้เขาเล็กน้อย พร้อมด้วยความรู้สึกอันอ่อนโยนรอบๆ ดวงตา” วัลเดซ กล่าวว่า “เราทำให้ดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเพราะรีพิชีปสร้างสายสัมพันธ์สำคัญกับยูซตาส ทั้งคู่ไม่ได้ผูกพันกันเท่านั้น แต่เขาเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตขึ้นของยูซตาส และการเคลื่อนไหวของเรื่องราว”

“รีพิชีปเป็นตัวละครที่สำคัญมาก ความสัมพันธ์ของเขากับยูซตาสเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของภาพยนตร์” แอ็ปเท็ด กล่าวว่า “มุมมองของมนุษย์เกี่ยวกับตัวละครแอนิเมชั่นเป็นจุดสำคัญของการบอกเล่าเรื่องราวของลูอิซ และเป็นความโดดเด่นของแฟรนไชส์ ทีมงานวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ได้ตัวรีพิชีปที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด การเคลื่อนไหวและท่าทางต่างๆ ของเขาตรงเป๊ะ เขาเป็นที่ยอมรับกันในภาพยนตร์ภาคแรกๆ และตอนนี้เราเห็นเขาอายุมากขึ้น ฉลาดขึ้น และเป็นตัวละครหนึ่งแห่งชะตากรรม”

นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ไซมอน เพ็กก์ ผู้เป็นที่รักรอบโลกแห่งการทำงานของเขาในภาพยนตร์เรื่อง “Shaun of the Dead” และ “Hot Fuzz,” เป็นผู้ให้เสียงของรีพิชีป เขาเป็นแฟนคนหนึ่งของหนังสือ “นาร์เนีย” ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เพ็กก์นำโอกาสในการแสดงเป็นหนึ่งในตัวละครอันเป็นที่รักที่สุดของตำนานการผจญภัยและความกล้าหาญ “รีพิชีปเป็นหนูน้อยอันน่าทึ่งที่มีตระกูลชั้นสูง มีจิตใจข้างในที่ยิ่งใหญ่หลายพันเท่า – ในแง่ของความกล้าหาญแห่งเกียรติของเขา – มากกว่าสัดส่วนทางร่างกาย” เพ็กก์ กล่าวว่า “เขาต้องเป็นตัวละครที่เราอยากมีไว้เพื่อคอยปกป้องดูแลเราแน่นอน” จริงๆ แล้วยูซตาสโชคดีมากที่มีรีพิชีปคอยคุ้มกันหลัง – ถึงแม้ตัวละครทั้งสองไม่ได้ผูกมิตรกันอย่างรวดเร็วก็ตาม “รีพิชีปไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมยูซตาสถึงทำตัวน่ารำคาญทุกอย่างตลอดเวลา และเขาก็ไม่สบอารมณ์ในความหยาบคายของยูซตาสนิดหน่อย” เพ็กก์ กล่าวว่า “แต่รีพิชีปพบบางอย่างในตัวเขา – บางทีรีพิชีปอาจเป็นหนูน้อยที่ไม่ได้แตกต่างไปจากยูซตาส ดังนั้นจึงเกิดความสัมพันธ์อันงดงามขึ้นระหว่างพวกเขา”

สิ่งที่มากกว่าการผจญภัยของการดวลดาสำหรับรีพิชีป ก็เหมือนเพื่อนๆ ของเขาบนเรือดอว์น เทรดเดอร์ เขามีเป้าหมายสำคัญ “สิ่งที่รีพิชีปอยากทำจริงๆ คือการเดินทางไปยังขอบโลก และเกษียณตัวที่ดินแดนของอัสลาน” เพ็กก์ กล่าวว่า “เขาไม่มีทางจะปฏิเสธการผจญภัย แต่ในใจเขาอยากจะเดินหน้าต่อไป”

ในฉากที่เหล่านักเดินทางไปถึงดินแดนของอัสลาน เป็นจุดพบกันของภาพยนตร์ระหว่างตัวละครคอมพิวเตอร์กราฟฟิคที่สำคัญของภาพยนตร์อย่างรีพิชีปและสิงโตอัสลาน มันเป็นฉากที่เปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ เมื่อตัวละครทั้ง 5 ได้พบชะตากรรมของเขาและเธอ (รีพีชีปกับอัสลานเคยเจอกันมาก่อนในตอน “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” ในฉากตลกและเร้าอารมณ์ที่อัสลานทำให้หางของรีพิชีปที่หายไประหว่างการสู้รบกลับมา)

ตัวละครหลัก

“หัวเรือของเธอเคลือบสีทอง รูปร่างเหมือนหัวมังกรกำลังอ้าปากกว้าง มีเสากระโดงเพียงเสาเดียว และใบเรือใหญ่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีม่วงเข้ม ด้านข้างตัวเรือที่โผล่พ้นปีกสีทองของมังกรทาสีเขียว” (จากนวนิยาย “ผจญภัยโพ้นทะเล” - ตอนที่ 1- รูปภาพในห้องนอน) “เรือดอว์น เทรดเดอร์ เป็นมากกว่าฉากหนึ่ง; มันเป็นตัวละคร” ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ มาร์ค จอห์นสัน กล่าวว่า “มันเป็นฉากที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา” ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ แอนดรูว์ อดัมสัน กล่าวว่า: “เรือดอว์น เทรดเดอร์เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่โดดเด่น บางระดับแล้วมันเกือบเหมือนกับอัสลาน ตอนที่ผมเห็นการประกอบกันของเรือที่สมบูรณ์เป็นครั้งแรก และผมเดินเข้าไปในนั้น ประสบการณ์เหมือนกับสิ่งที่ผมจินตนาการไว้ในตอนเด็กขณะที่อ่านหนังสือเลย”

เหมือนกับตู้พิศวงงดงามและโดดเด่นในภาคแรก เรือดอว์น เทรดเดอร์สร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวละครหลักหนึ่งที่น่าประทับใจ “ในมุมมองของผม เรือดอว์น เทรดเดอร์ก็คือนาร์เนีย” แอ็ปเท็ด กล่าวว่า “เราไม่เคยไปยัง [อาณาจักรแห่ง] นาร์เนียในเรื่องนี้ ผมเลยสร้างความคิดขึ้นมาตลอดว่าเรือนั้นคือนาร์เนีย ทุกๆ อย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเรือนั่นคือนาร์เนีย เมื่อเราอยู่บนเรือดอว์น เทรดเดอร์ เราคือนาร์เนีย”

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แบร์รี่ โรบินสัน เริ่มสร้างผลงานใน อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ผจญภัยโพ้นทะเล เมื่อฤดูใบไม้ผลิ 2008 – ท้ายที่สุดแล้วโปรเจ็กต์ใช้เวลาในชีวิตเขานานกว่า 2 ปี – เมื่อการสร้างภาพยนตร์เสร็จสิ้นลงในตอน “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: เจ้าชายแคสเปี้ยน” โรบิสันสร้างแรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของเรือ The Endeavor ของกัปตัน เจมส์ คุก ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเรือในซิดนีย์, ออสเตรเลีย “เราเดินทางไปเยี่ยมชมเรือ เพื่อให้ได้อารมณ์ความรู้สึกของมัน เราใช้เรือ The Endeavor เป็นเหมือนพิมพ์เขียวสำหรับสัดส่วนของเรือ” ขณะที่เรือดอว์น เทรดเดอร์กลับใหญ่โตกว่าเรือเดินสมุทรในประวัติศาสตร์ของคุก (เขาเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ไปถึงชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียในปี 1770), โรบิสันและผู้ควบคุมการกำกับศิลป์ เอียน กราซี (ผู้ทำหน้าที่เดียวกันในเรื่อง “อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย: ราชสีห์, แม่มดกับตู้พิศวง”) ยังไม่แน่ใจว่าเรือของพวกเขาควรมีขนาดใหญ่แค่ไหน พวกเขาจึงวาดโครงร่างของเรือลงบนเวทีแสดงของการสร้างไว้อีกฝั่ง เพื่อแสดงให้แอ็ปเท็ดเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวพวกเขา “ไมเคิลบอกว่าเรือจากการออกแบบของเรามันเตี้ยไปมาก เขาอยากได้ระยะห่างของดาดฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 20 ฟุต” โรบิสัน จำได้เช่นนั้น

โรบิสันนำกลุ่มช่างเขียนแบบผู้มีความสามารถมาจากแม็กซิโกซิตี้และบาฮา “ช่างเขียนแบบมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างเรืออย่างน่าทึ่ง” โรบิสัน กล่าวว่า “และมันเป็นจุดที่เรือดอว์น เทรดเดอร์ เริ่มมีรูปร่างเหมือนจริงขึ้นมา เรือที่มีชีวิต ช่วงก่อร่างสร้างตัวของเรือเป็นเวลาเกือบ 18 เดือน มันเป็นฉากที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่ผมเคยสร้างมา”

ช่วงเริ่มต้นนั้นกับโครงร่างของโรบิสัน (ผู้ออกแบบเป็นศิลปินและเป็นผู้วาดภาพประกอบผู้ชำนาญ) ทำตามโดยแบบจำลองที่ปั้นโดยดินน้ำมัน เมื่อผู้กำกับและสตูดิโอได้เซ็นอนุมัติการออกแบบของมัน การก่อสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จึงเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2009 และใช้เวลา 21 อาทิตย์จนเสร็จสิ้น “เรือดอว์น เทรดเดอร์มีความสำคัญมาก เพราะมันเป็นนักแสดงของภาพยนตร์” แอ็ปเท็ด กล่าวย้ำว่า “เมื่อแบร์รี่ออกแบบรูปร่างและขนาดของมัน เราจะเห็นความรักและความใส่ใจในรายละเอียดของเขา ช่างฝีมือที่เก่งและเมื่อมันมารวมตัวเข้าด้วยกัน มันเป็นความตื่นเต้นของเราทุกคนที่ได้เห็น เราเห็นเรือดอว์น เทรดเดอร์เกือบครึ่งหนึ่งของภาพยนตร์ ฉะนั้นมันต้องเป็นอะไรที่น่ามอง การได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่านี้โดยการใช้จ่ายให้คุ้มค่ากับเงิน เพื่อให้สมกับความเอาใจใส่และความตั้งใจ ผมว่ามันสร้างความเร้าใจให้เราทุกคน”

ก่อนทำการสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2.7 ล้านดอลลาร์ในการสร้าง การปรึกษาหารือทั้งโรบิสัน, แผนกศิลป์ของเขา และทีมผู้ก่อสร้าง (ซึ่งมีจำนวนเกือบ 400 คนระหว่างการวางแผน และขั้นตอนการสร้างของภาพยนตร์) ควรสร้างเรือที่สามารถแล่นบนน้ำได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย ไอเดียนั้นถูกมองข้ามไปก่อนที่ค้อนจะตอกลงตะปู และแปรงจะจุ่มลงในสี

โรบิสันกล่าวว่า องค์ประกอบต่างๆ ที่ใช้สร้างเรือส่วนสำคัญคือ “เหล็กและไม้ โพลีสเตอรีนและไฟเบอร์กลาส ยังมีส่วนของทองเหลือง, ปูนปลาสเตอร์และเชือกด้วย มันเป็นสิ่งก่อสร้าง 100% เพราะมันไม่มีร้านค้าของชาวนาร์เนีย ผมล้อเล่นกับผู้ตกแต่งฉากตลอดว่า เราออกไปซื้ออะไรเพื่อเอามาใส่ในฉากไม่ได้ มันต้องสร้างขึ้นมาทั้งนั้นเพราะมันเป็นโลกที่สร้างขึ้นมา”

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net