กรุงเทพฯ--11 พ.ย.--บลจ. ทิสโก้
บลจ. ทิสโก้ โชว์ผลงานบริหารกองทริกเกอร์ ลงทุนในหุ้นเอเชีย-จีน "ไชน่า ทริกเกอร์ 15% (1-2)" และ "เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% (1-2)" มั่นใจถึงเป้าหมาย 15% ภายในเดือนนี้ พร้อมแนะตลาดหุ้นเอเชียและจีน แรงต่อเนื่องในปีหน้า โดยมีการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชีย และมาตรการ QE2 จากอเมริกาเป็นแรงผลัก
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทริกเกอร์ ฟันด์ ของ บลจ. ทิสโก้ ที่มีนโยบายในการสร้างผลตอบแทนถึงเป้าหมาย 15% ภายใน 1 ปี เพื่อคืนเงินให้กับผู้ลงทุน ได้แก่ กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 15% 1 และ 2 และกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% 1 และ 2 ขณะนี้ทั้ง 4 กองทุน สามารถสร้างผลตอบแทนใกล้ถึงจุดเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 15% หรือ NAV เท่ากับ 11.500 บาท โดยกองทุนกองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% NAV อยู่ที่ 11.0535 บาท กองทุนเปิด ทิสโก้เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15%#2 NAV อยู่ที่ 11.0731 บาท กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 15% NAV อยู่ที่ 10.9144 บาท และ กองทุนเปิดทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ 15%#2 NAV อยู่ที่ 11.0124 บาท (ข้อมูล ณ วันที่ 8 พ.ย.)
"ทิสโก้มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและหุ้นจีนมาโดยตลอด โดยเฉพาะในปีนี้ เราได้จัดตั้งกองทริกเกอร์ฟันด์ถึง 4 กอง คือกองทุนเปิดทิสโก้ เอเชีย ลีดเดอร์ ทริกเกอร์ 15% (1-2) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า ทริกเกอร์ (1-2) ซึ่งขณะนี้มูลค่าหน่วยลงทุนทั้ง 4 กองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 11% โดยเฉลี่ย และเหลืออีกเพียง 3-4% ก็จะเข้าเป้า ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นภายในเดือนนี้ ถ้ากระแสเงินลงทุนยังไหลมาต่อเนื่อง” นายธีรนาถ กล่าว
นายธีรนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนการออกกองทุนใหม่ๆ ในภูมิภาคอื่นนั้น บลจ.ทิสโก้ อยู่ระหว่างการประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคต่างๆ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดเอเชียแปซิฟิก ไม่นับญี่ปุ่น และจีน นั้นถือว่าโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่น โดยมองว่าเศรษฐกิจเอเชียน่าจะเติบโตต่อเนื่องในระดับประมาณ 8.8% นำโดยจีนซึ่งนักวิเคราะห์ทั่วไปมองว่าปีหน้าจะเติบโตเกือบ 10% ทำให้การลงทุนในภูมิภาคนี้มีความน่าสนใจเป็นอันดับต้นๆ ส่วนตลาดที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นนั้นมองว่าการเติบโตยังช้าอยู่ และยังอยู่ในระดับที่ห่างไกลประเทศในแถบเอเชียพอสมควร
ทั้งนี้จากการขยายตัวที่ดีของเศรษฐกิจเอเชีย และ การไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนจากการประกาศนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบที่สอง QE2 ของสหรัฐอเมริกา เป็นสองปัจจัยหลัก ที่ผลักดันหุ้นเอเชียให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า PE ปีหน้า ของดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan จะอยู่ที่ประมาณ 14-15 เท่า ซึ่งยังถือว่าไม่แพง โดยมองว่าเป้าดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan ประมาณ 560 จุด หรือมีอัพไซด์ประมาณ 17% ในขณะเดียวกันประเมินว่าหุ้นจีนก็น่าจะมีโอกาสทำกำไรได้ถึง 25% หากดัชนี HSCEI ปรับตัวขึ้นถึงเป้าหมายที่ 17,500 จุด จากวันนี้ที่ซื้อขายในระดับ 14,000 จุดเท่านั้น ยังถือว่าโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และ จีน ยังมีโอกาสทางการลงทุนที่ดีอยู่
“ต้องยอมรับว่าในปีหน้า เราจะได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกที่แตกต่างกันระหว่างประเทศที่พัฒนาไปแล้ว กับประเทศในกลุ่มเกิดใหม่ ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องพะวงกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจซึ่งอาจจะต้องมีมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเป็นครั้งคราว แต่ประเทศในเอเชียและละตินอเมริกา จะไม่ต้องห่วงเรื่องการเติบโต เพราะการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ไม่น่าเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากการที่ค่าเงินในประเทศกลุ่มนี้จะแข็งค่าไปตามกลไกตลาด ส่งผลให้สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในราคาที่ถูกลง” นายธีรนาถ กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของค่าเงินบาท แม้ว่าจะมีทิศทางที่จะแข็งค่าขึ้น แต่ บลจ.ทิสโก้ มองว่าก็ไม่น่าแข็งขึ้นได้มากนัก เพราะค่าเงินบาทของไทยตอนนี้แข็งค่าเร็วที่สุดในเอเชียล่วงหน้าประเทศอื่นๆไปมากพอควรแล้ว และคิดว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นเอเชียน่าจะให้ผลตอบแทนที่มากพอและคุ้มค่าความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กฤตยาภรณ์ ธีระอรรถ ฝ่ายนิเทศสัมพันธ์ โทร. 02 633 6906
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit