ธนาคารกรุงเทพมีกำไรสุทธิ 24,808 ล้านบาทจากผลการดำเนินงานปี 2553

20 Jan 2011

กรุงเทพฯ--20 ม.ค.--ธนาคารกรุงเทพ

  • กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9
  • สินเชื่อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9
  • รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยขยายตัวร้อยละ 26.3

ธนาคารกรุงเทพรายงานผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยสำหรับปี 2553 มีกำไรสุทธิ 24,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 จากปีที่แล้ว โดยเป็นผลมาจากการดำเนินงานหลัก และกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน นอกจากนี้ สินเชื่อในไตรมาส 4 ของปี 2553 มีการเติบโตดี

ผลการดำเนินงานของธนาคารที่ปรับตัวดีขึ้นนั้นเกิดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นผลดีต่อการดำเนินกิจการของลูกค้า ประกอบกับความพร้อมด้านพื้นฐานทางธุรกิจที่มั่นคงและความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคาร

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “ตลอดปี 2553 ที่ผ่านมา ธนาคารยังคงยึดมั่นในแนวทางการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในธนาคาร โดยยึดถือความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งแนวทางการทำงานดังกล่าวช่วยให้ธนาคารเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง ทำให้ธนาคารสามารถสนับสนุนลูกค้าในการวางแผนและช่วยให้ลูกค้าปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ธนาคารคาดว่าการเติบโตที่เกิดในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาจะยังคงมีกำลังขับเคลื่อนต่อไปในปี 2554 และนำมาซึ่งการขยายตัวและความสำเร็จทางธุรกิจของธนาคารยิ่งขึ้น”

เงินให้สินเชื่อ ณ สิ้นปี 2553 ขยายตัวสุทธิ 112,836 ล้านบาทหรือร้อยละ 9.9 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2552 โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 89,635 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การที่สินเชื่อเติบโตได้ดีในไตรมาส 4 นั้น ส่วนหนึ่งเป็นสินเชื่อที่ให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเกษตรซึ่งมักจะมีความต้องการสินเชื่อเป็นปริมาณมากเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของทุกปี อีกส่วนหนึ่งคือผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรม มีความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งแนวโน้มความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนเช่นนี้คาดว่าจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องในปี 2554 และธนาคารกรุงเทพมีความพร้อมทั้งในด้านสภาพคล่องและเงินกองทุน เพื่อรองรับความต้องการสินเชื่อที่จะเพิ่มขึ้น

สินทรัพย์สภาพคล่องสูงของธนาคาร ซึ่งประกอบด้วยเงินสดและรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงิน มีจำนวน 385,978 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 เงินฝากของธนาคารมีจำนวน 1,394,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 จาก ณ สิ้นปี 2552 คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากที่ร้อยละ 90.1 ซึ่งเป็นระดับที่ยังคงต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในระบบธนาคารไทย

ธนาคารสามารถรักษาคุณภาพของสินทรัพย์ได้เป็นอย่างดี สินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 ลดลงเหลือ 45,588 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.0 เทียบกับ 55,638 ล้านบาทหรือร้อยละ 4.4 ณ สิ้นปี 2552 ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้และสภาพเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการลดจำนวนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อไปในปี 2554

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงแนวทางความระมัดระวังในการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ ณ สิ้นปี 2553 ธนาคารมีค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวมทั้งสิ้น 72,452 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนซึ่งมีอยู่ 65,145 ล้านบาท และมีสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 158.9

ในปี 2553 ถึงแม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิคงตัวที่ร้อยละ 2.95 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2,986ล้านบาท ในขณะเดียวกันรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 7,075 ล้านบาท ส่วนใหญ่จากกำไรพิเศษจากการขายทรัพย์สินรอการขายและการขายเงินลงทุนในธนาคารสินเอเซีย

รายได้ค่าธรรมเนียมยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 ส่วนใหญ่เป็นค่าธรรมเนียมจากการให้สินเชื่อ บริการบัตรเครดิต บริการชำระเงิน และบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร (แบงก์แอสชัวรันส์) ในปี 2554 ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการเติบโตในผลิตภัณฑ์และบริการดังกล่าว รวมถึงบริการวาณิชธนกิจและบริการจัดการเงินสด

ธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในระดับที่น่าพอใจ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 เนื่องจากธนาคารสามารถสร้างรายได้ในอัตราที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงเหลือร้อยละ 49.2

ธนาคารดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับสูง โดยเมื่อนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือนหลังของปี 2553 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 17.0 และร้อยละ 13.4 ตามลำดับ ความแข็งแกร่งด้านเงินกองทุนของธนาคารสะท้อนถึงศักยภาพในการรองรับความต้องการสินเชื่อทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ได้เป็นอย่างดี

ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553 มีจำนวน 231,348 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้น 12.9 บาท และมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น 120.8 บาท