สถาบันปรีดี พนมยงค์ สรุปผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง“ข้อเสนอในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเนื่องในโอกาสวันอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม 24 มิถุนายน”

18 Jun 2010

กรุงเทพฯ--18 มิ.ย.--สถาบันปรีดี พนมยงค์

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

ร่วมกับ สถาบันปรีดี พนมยงค์

สรุปผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง

“ข้อเสนอในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเนื่องในโอกาส

วันอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม 24 มิถุนายน”

ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต และ กรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์ คุณสินธุ์สวัสดิ์ ยอดบางเตย ผู้จัดการสถาบันปรีดี พนมยงค์ แถลงข่าวถึงผลการสำรวจความคิดเห็นภายใต้หัวข้อ “ข้อเสนอในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองเนื่องในโอกาสวันอภิวัฒน์ประชาธิปไตยสยาม 24 มิถุนายน”

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ร่วมกับ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ได้ออกแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างประชาชน นักศึกษา นักธุรกิจและนักวิชาการ จำนวน 1,181 คน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และได้วิเคราะห์ผลสำรวจความคิดเห็นโดยแบ่งประชากรที่ทำสำรวจออกเป็น 4 กลุ่มได้ดังนี้

กลุ่มที่ 1 : กลุ่มอายุมากกว่า 50 ปี

กลุ่มที่ 2 : กลุ่มอายุน้อยกว่า 50 ปี

กลุ่มที่ 3 : กลุ่มระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี

กลุ่มที่ 4 : กลุ่มระดับการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรี และสูงกว่าขึ้นไป

จากการสำรวจหัวข้อ ความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนายน พบว่า กลุ่มที่ 1 (100% ของผู้ตอบแบบสอบถาม) ทราบถึงความสำคัญของวันที่ 24 มิถุนายนว่า เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในขณะที่ กลุ่มที่ 2 รับรู้เพียง (65 % ของแบบสอบถาม) แสดงให้เห็นว่า กลุ่มประชากรอายุมากกว่า 50 ปี มีการรับรู้เรื่องราวของการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยมากกว่าอย่างมีนัยยสำคัญ นอกจากนี้ยังสะท้อนว่า การจัดการศึกษาประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยยังไม่ครอบคลุมและดีพอ จึงทำให้กลุ่มประชากรที่มีอายุน้อยไม่รับทราบถึงเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการก่อกำเนิดประชาธิปไตยเมื่อ ๗๘ ปีที่แล้ว กลุ่มที่ 3 ( 58.29% ของแบบสอบถาม) กลุ่มที่ 4 (65.88%) จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ระดับการศึกษาไม่มีนัยยสำคัญมากนักต่อการรับรู้เรื่อง การอภิวัฒน์ประชาธิปไตย 24 มิ.ย.

กลุ่มที่ 1 (98.58%) รองลงมาคือกลุ่มที่ 4 (84.88%) ทราบว่าวันที่ 24 มิถุนายน เคยเป็นวันชาติของประเทศไทย ในขณะที่ กลุ่มที่ 3 (63.41%) ไม่ทราบว่าวันที่ 24 มิถุนายน เคยเป็นวันชาติของไทย

กลุ่มที่ 4 (73.51%) เห็นว่าคณะราษฎรมีความสำคัญต่อพัฒนาการประชาธิปไตย รองลงมาคือ กลุ่มที่ 1 (48.82%) กลุ่มที่ 3 (48.05%) และ กลุ่มที่ 2 (45.99%)

กลุ่มที่ 1 (95.26%) รองลงมาคือกลุ่มที่ 4 (82.11%) เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยมีส่วนช่วยให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะประชาธิปไตยมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ

กลุ่มที่ 4 (76.84%) เห็นว่าการชุมนุมและเดินขบวนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด

คำถาม ทางออกของประเทศไทยจากวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

(เรียงจาก 3 ลำดับแรก)

กลุ่มที่ 1

1.

บทบาทที่สร้างสรรค์ของสื่อมวลชน/ไม่เผยแพร่ข้อความยั่วยุ

2.

ทำให้สังคมไทยเกิดความยุติธรรม

3.

แก้ไขความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม

กลุ่มที่ 2

1.

แก้ไขความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม

2.

ทำให้สังคมไทยเกิดความยุติธรรม

3.

ทำให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

คำถาม ท่านคิดว่าการปฏิรูปเศรษฐกิจในเรื่องใดที่มีความสำคัญมากที่สุดในการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางการเมืองและสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม (เรียงจาก 3 ลำดับแรก)

กลุ่มที่ 3

1.

การกระจายรายได้และความมั่นคง

2.

ระบบการจ้างงานและระบบสวัสดิการ

3.

ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

กลุ่มที่ 4

1.

การเข้าถึงปัจจุบันการผลิต (ที่ดิน/เงินทุน)

2.

การกระจายรายได้และความมั่นคง

3.

ระบบการจ้างงานและระบบสวัสดิการ

ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต และ กรรมการสถาบันปรีดี พนมยงค์ กล่าวสรุปและเสนอแนะในช่วงท้าย ดังมีประเด็นดังต่อไปนี้

๑. รัฐบาลควรประกาศให้วันที่ ๒๔ มิถุนายน กลับมาเป็นวันชาติอีกครั้งหนึ่งสอดคล้องกับการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่ต้องการให้มีวันชาติของไทย หรือ หากเห็นว่าควรเป็นวันอื่นก็สามารถร่วมกันพิจารณาได้จากหลายๆฝ่าย เพื่อกำหนดวันที่เหมาะสมและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศและของคนไทยทั้งประเทศ ให้เป็น วันชาติ ประเทศไทยจะได้มีวันชาติเหมือนประเทศอื่นๆ หลังจากถูกยกเลิกไปเมื่อ ๕๐ กว่าปีที่แล้ว

๒. ต้องมีการปลูกฝังความรักชาติที่ถูกต้องและหลักการประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนโดยเฉพาะเยาวชนผ่านบทเรียนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งการศึกษาในห้องเรียนและนอกห้องเรียน (ผ่านสื่อมวลชน)

๓. สนับสนุนแนวทางการดำเนินการให้เกิดสันติสุขและเสถียรภาพการเมืองโดยร่วมกันทุกภาคส่วนในสังคม

๔. การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองให้มั่นคงจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ตามศักยภาพซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและการกระจายความมั่งคั่งให้ดีขึ้น

๕. การสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในชาติได้นั้น รัฐบาลต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นก่อน เพราะความยุติธรรมจะเป็นพื้นฐานสำคัญของสันติสุข ขณะเดียวกัน ต้องจำกัดการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมและละเมิดต่อหลักการประชาธิปไตยก่อน มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ขณะเดียวกัน ต้องแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันและการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐานให้ลดลง

๖. การปฏิรูปประเทศจะเกิดผลเป็นจริงได้ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนทุกระดับ จึงเสนอให้มีการจัดตั้ง สภาปฏิรูปประเทศไทย โดยให้สมาชิกมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรงร้อยละ ๘๐ อีกร้อยละ ๒๐ ให้มาจากผู้แทนวิชาชีพและผู้ทรงคุณวุฒิ

๗. ให้ สภาปฏิรูปประเทศไทย เป็นเจ้าภาพในการพลักดันให้เกิดการปฏิรูปประเทศและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง โดยที่รัฐบาลอาจจะจุดกระแสเริ่มต้นในการปฏิรูปตัวเองก่อน โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูง