จีเอ็มเปิดตัวอีเอ็น-วี คอนเซ็ปต์คาร์: เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต เพื่อการเดินทางในเมืองหลวง

29 Mar 2010

กรุงเทพฯ--29 มี.ค.--เวเบอร์ แชนวิค

  • รูปแบบใหม่ของยานยนต์เพื่อตอบสนองต่อการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเมืองหลวง
  • การประสานความก้าวหน้าด้านวิศวกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีการสื่อสารสำหรับยนตกรรมแห่งโลกอนาคต
  • จีเอ็ม เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีอีเอ็น-วี อย่างยิ่งใหญ่ภายในงานเซี่ยงไฮ้ เวิล์ดเอ็กซ์โป 2010

เซี่ยงไฮ้ – มีการคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2573 ประชากรกว่า 60 เปอร์เซนต์ของโลก จะอาศัยอยู่ในเขตชุมชนเมืองเป็นจำนวนมากถึง 8,000 ล้านคน ซึ่งอาจส่งผลทำให้มีความต้องการด้านระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันระบบดังกล่าวยังไม่สามารถตอบสนองต่อความเพียงพอได้มากนัก

เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) และพันธมิตรทางธุรกิจในประเทศจีน ได้แก่ บริษัท เซี่ยงไฮ้ ออโต้โมทีฟ อินดัสทรี่ (เอสเอไอซี) ได้ร่วมกันสร้างวิสัยทัศน์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในการเดินทางของผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง โดยทั้งสองบริษัทได้ร่วมกันพัฒนาระบบทางเลือกใหม่แห่งการขับขี่ของยานยนต์ในโลกอนาคต และได้ทำการพัฒนาเทคโนโลยีอันล้ำยุคขึ้นภายใต้โครงการรถยนต์เทคโนโลยี อีเอ็น-วี

สำหรับ อีเอ็น-วี หรือ ที่ย่อมาจาก Electric Networked-Vehicle เป็นเทคโนโลยีที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดข้อจำกัดในการเดินทาง และลดปัญญาด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยี อีเอ็น- วี จะเป็นรถยนต์ขนาดสองที่นั่ง ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความคับคั่งของการจราจร ปัญหาในการหาที่จอดรถ ปัญหาคุณภาพอากาศ และปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้นในเมืองใหญ่ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านการออกแบบของจีเอ็ม

ทั้งนี้ จีเอ็ม พร้อมเผยโฉมรถยนต์ อีเอ็น-วี ทั้ง 3 รุ่น ภายในงานเซี่ยงไฮ้ เวิล์ดเอ็กซ์โป 2010 ในระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553 โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวได้ถูกพัฒนาตามขึ้นตามหลักปรัชญาของประเทศจีน โดยมุ่งเน้นถึงความภาคภูมิใจ (Jiao/Pride) ความน่าหลงใหล (Miao/Magic) ความสนุกสนาน (Xiao/Laugh) ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันโดดเด่นที่แตกต่างกันไป

“อีเอ็น-วี เป็นเทคโนโลยีซึ่งรวมเอาความก้าวหน้าด้านวิศวกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีสื่อสารที่ไร้ขีดจำกัดมาพลิกโฉมยานยนต์ยุคใหม่ จะทำให้การขับขี่ยานพาหนะในโลกอนาคตไม่จำเป็นต้องพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และยังสามารถช่วยลดปัญหาด้านการจราจรและการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังสามารถสร้างความสนุกสนานในการขับขี่ และการออกแบบที่มีสีสัน”

นาย เควิน เวลล์ ประธานกรรมการบริษัทจีเอ็ม ไชน่า กรุ๊ป กล่าว

รถยนต์อีเอ็น-วี ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทคโนโลยีต้นแบบ PUMA (Personal Urban Mobility and Accessibility) ซึ่ง จีเอ็ม ได้ทำงานร่วมกับทาง เซ็กเวย์ และพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนี้ขึ้นมา โดยได้ทำการเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายนของปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเป็นระบบขับเคลื่อนด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังขับในช่วงของการเร่งความเร็ว และยังจะช่วยในการควบคุม การชะลอความเร็ว และการหยุดรถอีกด้วย ซึ่งนับว่าแตกต่างไปจากรถยนต์ในยุคปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงที่ใช้ระบบเบรคเพียงอย่างเดียวในการชะลอและหยุดรถ ทั้งนี้ระบบเทคโนโลยีอีเอ็น-วี จะไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพราะใช้แบตเตอรี่ลิเทียมอิออน ซึ่งสามารถขับได้ระยะไกลถึง 40 กิโลเมตรต่อการชาร์ตแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อให้รถยนต์แต่ละคันสามารถสื่อสารระหว่างกัน พร้อมระบบเซนเซอร์ และกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่ช่วยบอกระยะห่างระหว่างรถยนต์ เพื่อการตอบสนองได้อย่างรวดเร็วต่อสิ่งกีดขวาง และการเปลี่ยนแปลงของสภาพการขับขี่ อีกทั้งยังช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเชื่อมต่อกันผ่านระบบจีพีเอส เป็นผลทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนได้เองอย่างอัตโนมัติ และปราศจากการควบคุมจากผู้ขับขี่

สำหรับเทคโนโลยีนี้จะสามารถค้นหาข้อมูลการจราจรในเวลาปัจจุบันได้ทันที ทำให้สามารถเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วที่สุด เทคโนโลยีใหม่นี่ยังรวมถึงระบบเครือข่ายไร้สายที่ผู้ขับขี่สามารถติดต่อกับผู้ขับขี่รายอื่น เพื่อนฝูง และลูกค้าได้ พร้อมกันนี้ จีเอ็ม ยังตอกย้ำความเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบเทคโนโลยียานยนต์ ด้วยโครงการศึกษาวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัย คาร์เนกี้ เมลลอน แห่ง เมืองพิทส์เบิร์ก รัฐเพนซิลวาเนีย โดยได้มีการริเริ่มโครงการ “The Boss” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนารถยนต์สำหรับผู้ที่มีอุปสรรคปัญหาด้านร่างกายต่อการขับขี่รถยนต์อีกด้วย

“คอนเซ็ปต์ อีเอ็น-วี เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สามารถทำให้การขับขี่แบบอิสระไร้ผู้ขับขี่เป็นจริงขึ้นมาได้ ด้วยการคิดค้นเทคโนโลยีระบบการเตือนก่อนการออกตัวของรถยนต์ ระบบการค้นหามุมอับของสายตาขณะขับขี่ หรือ แม้แต่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้มีการนำไปใช้ในรถยนต์บางรุ่นของจีเอ็มในปัจจุบันบ้างแล้ว” นาย อลัน ทอป รองประธานบริหารด้านงานวิจัยและพัฒนาของจีเอ็ม กล่าว

รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีอีเอ็น-วี ถูกออกแบบให้มีน้ำหนักที่เบากว่าเพียง 500 กิโลกรัม และมีความยาวประมาณ 1.5 เมตรเท่านั้น เมื่อเทียบกับรถยนต์ในปัจจุบันที่มีน้ำหนักมากถึง 1,500 กิโลกรัม และยาวกว่าถึง 3 เท่า อีกทั้งยังต้องการพื้นที่ในการจอดรถมากกว่า 10 ตารางเมตร ซึ่งหมายความว่าที่จอดรถยนต์ทั่วไปสามารถรองรับรถยนต์เอ็นอี-วี ได้มากถึง 5 คัน

ทางด้านการออกแบบโดยอาศัยหลักปรัชญาของประเทศจีน โดยเริ่มตั้งแต่ความสนุกสนานในการขับขี่ (Xiao/Laugh) ที่ได้ถูกริเริ่มขึ้นโดยทีมออกแบบของ จีเอ็ม โฮลเดนประเทศออสเตรเลีย โดยเลือกสีฟ้าสดใสเป็นจุดเด่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากท้องทะเลในวันที่อากาศแจ่มใส ขณะที่รูปลักษณ์ที่เน้นถึงความภาคภูมิใจ (Jiao/Pride) ได้ถูกออกแบบโดยทีมงานออกแบบของ จีเอ็ม ยุโรป ที่มีต้นแบบมาจากรถไฟความเร็วสูงของประเทศญี่ปุ่น และหน้ากากที่ใช้ในการแสดงอุปรากรจีน ส่วนแนวคิดความน่าหลงใหล (Miao/Magic) ได้รับการออกแบบมาจากทีมงานของ จีเอ็ม ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เน้นความแข็งแรง ทะมัดทะแมง

“เมื่อแนวคิดทั้งสามมารวมกันจนเกิดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถยนต์อีเอ็น-วี แสดงออกมาถึงรูปลักษณ์ภายนอกอันสง่างาม สีสันเย้ายวนใจ ส่วนภายในบ่งบอกถึงความหรูหรา ซึ่งคอนเซ็ปต์ในการออกแบบรถยนต์อีเอ็น-วี นี้ เป็นการระดมความคิดของทีมออกแบบของจีเอ็มทั่วโลก” นาย เครย์ ดีน ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ บริษัท จีเอ็ม แห่งภูมิภาคอเมริกาเหนือ กล่าวเสริม

ในส่วนวัสดุ ตัวถังรถยนต์รุ่นนี้ ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ วัสดุพลาสติกสังเคราะห์โพลีคาร์บอเนต และสารอะคลีลิก ซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ในการผลิตรถยนต์เพื่อการแข่งขัน เครื่องบินรบ ยานอวกาศ เนื่องจากมีความแข็งแรงทนทาน และมีน้ำหนักเบา การนำนวัตกรรมใหม่ทางด้านวัสดุเหล่านี้มาใช้ก่อให้เกิดโอกาสในการเรียนรู้สำหรับทีมงานการออกแบบของจีเอ็ม ซึ่งนำไปสู่การพัฒนารยนต์แห่งโลกอนาคต

“ในอนาคตเราจะเดินทางสัญจรไปในเมืองใหญ่ๆ อย่างนครเซี่ยงไฮ้ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยียานยนต์อันทันสมัย ผนวกกับโครงสร้างของระบบสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมที่สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับเทคโนโลยียานยนต์รุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิทยาการใหม่ๆ ที่จะสามารถช่วยในเรื่องการเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม” นาย อลัน ทอป กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ เจนเนอรัล มอเตอร์ส

เจนเนอรัล มอเตอร์ส คอมพานี หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตรถที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2451 ปัจจุบันมีการผลิตรถยนต์และรถปิกอัพใน 34 ประเทศ สำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองดีทรอยท์ โดยมีพนักงาน 204,000 คนในทุกภูมิภาคสำคัญทั่วโลก มีการจำหน่าย และการบริการใน 140 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ชื่อดัง ทั้ง บูอิค คาดิลแลค เชฟโรเลต จีเอ็มซี จีเอ็มแดวู โฮลเดน โอเปิล วอกซ์ฮอลล์ และวูลิง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเข้าเยี่ยมชมที่ www.gm.com

สำหรับข้อมูลหรือรูปภาพเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ปภาดา ตวงหิรัญวิมล หรือสถาปนา กาญจนประกร

เวเบอร์ แชนวิค

บริษัท แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด

โทร. 02 343 6057, 081 621 2404

อีเมล์: [email protected], [email protected]

หรือ

ศศินันท์ ออลแมนด์

ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ประจำประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด

โทร. 0-2791-3400 โทรสาร 0-2937-0171

อีเมล์: [email protected]

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net