กรุงเทพฯ--15 ต.ค.--มหาวิทยาลัยศรีปทุม
มหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยสำนักวิจัย ได้จัดทำโครงการสำรวจ “ศรีปทุมโพล” โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการทราบถึงความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะเขตกรุงเทพมหานครถึงปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หัวข้อ “ความคิดเห็นของประชาชนต่อปัญหาการละเมิดสินค้าลิขสิทธิ์ในปัจจุบัน” จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,000 ซึ่ง ดร.ปิยากร หวังมหาพร ผู้อำนวยการสำนักวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุมได้สรุปผลการสำรวจได้ดังนี้
เมื่อถามถึงสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่พบเจอมากที่สุด ส่วนใหญ่ตอบว่า เพลง มากที่สุด ถึงร้อยละ 42.60 รองลงมา คือ หนัง ร้อยละ 28.24, กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า ร้อยละ 21.23 และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น Windows, เกมส์, โปรแกรมต่าง ๆ เป็นต้น ร้อยละ 7.93 โดยประชาชนส่วนใหญ่ เคย ซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ถึงร้อยละ 82.37 และ ไม่เคยซื้อเพียง ร้อยละ 17.63
ส่วนเหตุผลสำคัญที่เลือกซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์แทนสินค้าของจริง คือ ราคาถูก ถึงร้อยละ 56.80 รองลงมา คือ เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 19.20, เปลี่ยนได้บ่อย ร้อยละ 11.97, ไม่มีเงินซื้อของจริง ร้อยละ 7.10 และ ไม่ต้องการเก็บไว้ ใช้เพียงครั้ง สองครั้ง ร้อยละ 4.93 ซี่งส่วนใหญ่ ร้อยละ 97.53 ทราบว่าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ที่กล่าวมาข้างต้น ผิดกฎหมาย และไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย ร้อยละ 2.47
สำหรับการแก้ปัญหาดังกล่าว ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่าแนวทางที่จะทำให้คนหันมาซื้อของจริง มากที่สุด คือ ลดราคา ร้อยละ 37.67 รองลงมา คือ ตำรวจมีการเอาจริงเอาจังในการกวดขันสินค้าผิดกฎหมาย ร้อยละ 32.93, เพิ่มโทษผู้ขายให้มากขึ้น ร้อยละ 17.47 และกำหนดบทลงโทษผู้ซื้อ ร้อยละ 11.93
โดยดร.ปิยากร ได้ให้ความความคิดเห็นเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า ปัจจุบันประชาชนพบเห็นปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญามากที่สุด คือ ด้านเพลง ร้อยละ 42.60 รองลงมา คือ หนัง ร้อยละ 28.24 จะเห็นได้ว่ากว่า ร้อยละ 70.84 จะเป็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์การก็อปปี้ซีดี รองลงมาจะเป็นการก็อปปี้กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า แบรนด์ดัง ร้อยละ 21.23 และ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ร้อยละ 7.93 ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เคยซื้อสินค้าดังกล่าว ถึงร้อยละ 82.37 ทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังทราบอีกว่าสินค้าดังกล่าวนี้ผิดกฎหมาย ถึงร้อยละ 97.53 แต่ก็ยังซื้อสินค้าเหล่านี้อยู่ด้วยเหตุผลหลัก คือ ราคาถูก ร้อยละ 56.80 เพื่อประหยัดเงิน ร้อยละ 19.20 สามารถเปลี่ยนได้บ่อย ร้อยละ 11.97 ไม่มีเงินซื้อของจริง ร้อยละ 7.10 และ ไม่ต้องการเก็บไว้ ใช้เพียงครั้งสองครั้ง ร้อยละ 4.93 และ ประชาชนเห็นว่าการที่จะทำให้คนหันมาซื้อสินค้าของจริง คือ ลดราคาลง ร้อยละ 37.67 ตำรวจมีการเอาจริงเอาจังในการกวดขันสินค้าผิดกฎหมาย ร้อยละ 32.93 เพิ่มโทษผู้ขายให้มากขึ้น ร้อยละ 17.47 และกำหนดบทลงโทษผู้ซื้อ ร้อยละ 11.93 แสดงให้เห็นว่า ประชาชนทราบว่าสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ผิดกฎ หมาย แต่ก็ยังซื้อทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะราคาถูก และ ยังไม่มีการเอาจริงเอาจังกับบทลงโทษผู้ซื้อหรือผู้ขายอย่างจริงจัง
ดังนั้น เราจึงควรแก้ไขแนวทางที่จะทำให้ประชาชนหันมาซื้อสินค้าของจริงแทนการซื้อสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ คือ ลดราคาสินค้า ร้อยละ 37.67 ตำรวจมีการเอาจริงเอาจังในการกวดขันสินค้าผิดกฎหมาย ร้อยละ 32.93 เพิ่มโทษผู้ขายให้มากขึ้น ร้อยละ 17.47 และกำหนดบทลงโทษผู้ซื้อ ร้อยละ 11.93 จะเห็นได้ว่าเหตุผลหลักที่จะทำให้ประชาชนหันมาซื้อของจริง คือ การลดราคา ก็จริง แต่แนวทางในการที่จะทำให้ประชาชนหันมาซื้อของจริงโดยรวมจะเป็นเกี่ยวกับตัวกฎหมาย คือ อยากให้ ตำรวจมีการเอาจริงเอาจังในการกวดขันสินค้าผิดกฎหมายมากขึ้น ให้มีการเพิ่มโทษผู้ขาย และให้มีการกำหนดบทลงโทษผู้ซื้อ หากแก้ปัญหาเกี่ยวกับตัวกฎหมายในเรื่องการเอาจริงเอาจังในการกวดขันสินค้าผิดกฎหมายมากขึ้น การเพิ่มโทษผู้ขายมากขึ้น และมีการกำหนดบทลงโทษผู้ซื้อได้ ก็จะทำให้ประชาชนหันมาเกรงกลัวต่อกฎหมายแล้วก็จะหันมาให้ความสนใจกับการซื้อสินค้าของจริงเพิ่มมากขึ้น จึงอยากจะขอฝากตำรวจไทยช่วยเอาจริงเอาจังกับการกวดขันสินค้าผิดกฎหมายเหล่านี้ด้วย เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้สร้างสรรค์ มีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit