กรุงเทพฯ--8 ธ.ค.--ตลท.
แม้รัฐบาลจะเร่งการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภค ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจในประเทศกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ดังเห็นได้จาก GDP ใน Q3/52 ที่เริ่มปรับตัวขึ้นจากใน Q2/52 ที่ -3.7% เป็น -2.8% แต่โครงสร้างธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม mai ส่วนใหญ่ยังมีความแข็งแกร่งต่ำกว่าบริษัทใน SET ประกอบกับลักษณะการดำเนินงานธุรกิจที่อยู่ในช่วงขยายฐานการเติบโตจากกิจการ SME และจะอยู่ในรูปของการรับจ้างผลิตอีกต่อหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จะทำให้บริษัทใน mai ยังไม่ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังเห็นได้ว่าผลการดำเนินงานรวมของบริษัทใน mai ช่วง Q3/52 ปรับลดลง 67% yoy และ 58% qoq อย่างไรก็ตาม SCRI ประเมินการเร่งเบิกจ่ายงบไทยเข็มแข็งภายในช่วง Q4/52 จากที่มีความล่าช้าในการเบิกจ่ายช่วงที่ผ่านมาคาดจะทำให้ GDP ใน Q4/52 กลับมาเป็นบวกที่ 2.3% และจะช่วยหนุนให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน mai ตั้งแต่ใน Q4/52 เป็นต้นไปกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับผลการดำเนินงานช่วง Q3/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai จำนวน 55 บริษัทที่ประกาศออกมา สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
1) กลุ่มที่ฟื้นตัวทั้ง yoy และ qoq ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม
2) กลุ่มที่ฟื้นตัว yoy แต่ลดลง qoq ได้แก่ ผู้ให้บริการด้านการเงินและกลุ่มสื่อสาร
3) กลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวทั้ง yoy และ qoq ได้แก่ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มผู้ให้บริการด้านงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ SCRI ประเมินแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 4Q/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai เบื้องต้น และคาดกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศจะได้รับประโยชน์สูงสุด อาทิ กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ช่วง Q4/52 ยังเป็นช่วงที่เข้าสู่ไฮซีซั่นในหลายธุรกิจ อาทิ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ที่คาดการโฆษณาภายใต้รูปแบบต่างๆจะกลับมาขยายตัวในช่วงวันหยุดต่อเนื่องยาว รวมถึงกลุ่มผู้ให้บริการทั้งในด้านของอุตสาหกรรมที่มีการเร่งงานเพื่อให้จบทันสิ้นปี นอกจากนี้ อุปสงค์การใช้สินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก จะทำให้ทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาทิ ถ่านหิน เหล็ก ในช่วง 4Q/52 เป็นต้นไปขยายตัวสูงขึ้นและหนุนให้ผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวเริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น
ดังนั้น ผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม mai ที่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 3Q/52 ประกอบกับการเร่งกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐ จะช่วยเสริมสภาพคล่องของกลุ่มให้กลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้โครงสร้างธุรกิจยังคงความยืดหยุ่นและพร้อมรองรับการขยายตัวในอนาคตได้ และทำให้กำไรสุทธิปี 2553 กลับมาเติบโตแข็งแกร่ง และหากพิจารณาภาระหนี้ต่อทุน ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2552 ของกลุ่ม mai ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.26 เท่า เปรียบเทียบกับบริษัทใน SET ที่ระดับ 3.08 เท่า นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นตลาด mai เป็นอีกทางเลือกที่สร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงปีที่ผ่านมาเฉลี่ยสูงกว่า 5.8% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินปันผลในตลาด SET ที่ระดับ 3.82%
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทใน mai จำนวน 10 บริษัทที่ SCRI ทำการศึกษา แม้คาดกำไรสุทธิในปี 2552 จะปรับตัวลดลง 7% yoy แต่โครงสร้างทางการการเงินของกลุ่มบริษัท mai ยังมีสภาพคล่องที่ดี ส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 4% ต่อปี ดังนั้น แนะนำ ลงทุนใน QLT (7.60 บาท/หุ้น) /TNDT(5.20 บาท/หุ้น) / TNH (11 บาท/หุ้น) / TPAC (8.50 บาท/หุ้น) / TRT (9 บาท/หุ้น) และ AGE (8 บาท/หุ้น) ตามลำดับ
(ณ 4 ธ.ค. 52)
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit