กรุงเทพฯ--31 ส.ค.--ตลท.
การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั้งทางตรงผ่านการลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และการกระตุ้นการบริโภคทางอ้อมผ่านโครงการต่างๆ อาทิ เช็คช่วยชาติ เป็นต้น ส่งผลบวกที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ดังเห็นได้จากตัวเลข GDP ใน Q2/52 ที่ปรับตัวดีขึ้นจาก -7.1% ใน Q1/52 เป็น -4.9% สำหรับ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งปี 2555 ซึ่งมีวงเงินรวม 1,431,330 ล้านบาท คาดจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบผ่านการลงทุนด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2552-2554) อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยหนุนให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน mai ตั้งแต่ใน 2H/52 เป็นต้นไปกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
สำหรับผลการดำเนินงานช่วง Q2/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai จำนวน 46 บริษัทที่ประกาศออกมา สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
1) กลุ่มที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ประกอบด้วยได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ให้บริการทั้งในด้านของอุตสาหกรรมและด้านการเงิน
2) กลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง
ทั้งนี้ หากพิจารณาในกลุ่มที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว พบว่าการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ส่งผลให้รายได้โดยรวมของกลุ่มปรับตัวดีขึ้นชัดเจน qoq นอกจากนี้ ความผ่อนคลายในการให้สินเชื่อของธนาคาพาณิชย์ ส่งผลให้เม็ดเงินจากธนาคารพาณิชย์สามารถกระจายครอบคลุมไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการใน mai เริ่มปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2Q/52 ประกอบกับ การเร่งงานก่อสร้างส่วนใหญ่ไปแล้วใน Q1/52 และผลจากช่วงของฤดูกาล ทำให้ภาคการก่อสร้างและความต้องการใช้วัสดุก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มสื่อสารใน Q2/52 เริ่มชะลอตัว qoq และส่งผลต่อเนื่องให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มดังกล่าวยังไม่ฟื้นตัว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 2H/52 ของบริษัทในกลุ่ม mai SCRI คาดจะปรับตัวดีขึ้น hoh โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทนในประเทศ อาทิ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มวัสดุและรับเหมาก่อสร้าง รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตภาคอุตสาหกรรมและกลุ่มผู้ให้บริการทั้งในด้านของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ทิศทางของราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาทิ ถ่านหิน เหล็ก ในช่วง 2H/52 คาดจะยังทรงตัว ทำให้ผู้ประกอบการในกลุ่มยังไม่สามารถปรับราคาขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เริ่มปรับขึ้นได้ ปัจจัยดังกล่าวจะกระทบให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด mai
ทั้งนี้ SCRI กล่าวโดยสรุปได้ว่า ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่ม mai ส่วนใหญ่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 1H/52 และด้วยโครงสร้างธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและยังมีความแข็งแกร่ง ดังเห็นได้จากภาระหนี้ต่อทุน ณ งวด 6 เดือนแรกของปี 2552 ของกลุ่ม mai ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 1.35 เท่า เปรียบเทียบกับบริษัทใน SET ที่ระดับ 1.45 เท่า ทำให้บริษัทมีความพร้อมรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นอกจากนี้ การลงทุนในหุ้นตลาด mai เป็นอีกทางเลือกที่สร้างผลตอบแทนจากเงินปันผลในช่วงปีที่ผ่านมาเฉลี่ยสูงกว่า 5.92% ต่อปี เปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากเงินปันผลในตลาด SET ที่ระดับ 4.26%
SCRI ได้ทำการศึกษาบริษัทใน mai จำนวน 10 บริษัท พบว่าภาพรวมของธุรกิจยังมีความมั่นคงและคาดผลประกอบการปี 2552 จะเติบโต 7% yoy อีกทั้ง ฐานะการเงินบริษัทยังมีความแข็งแกร่ง และมีสภาพคล่องทางการเงินในระดับสูง ส่งผลให้สามารถจ่ายเงินปันผลที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 6.2% ต่อปี ดังนั้น แนะนำ ลงทุนใน TNDT/ TNH/ TPAC/ TRT และ UMS โดยมีราคาเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานเท่ากับ 4.8 บาท 9 บาท บาท 6.60 บาท 9 บาท และ 17.50 บาท ตามลำดับ
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit