กรุงเทพฯ--27 ส.ค.--JGSEE
JGSEE ศึกษาแนวทางลดก๊าซมีเทนจากนาข้าว ตัวการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับหนึ่งในภาคเกษตร เผยการปล่อยน้ำออกจากนาก่อนข้าวออกดอกช่วงลดก๊าซมีเทนได้เกือบ 50% แนะปลูกข้าวนาปรัง ไม่เผาตอซังฟางข้าว แยกฟางข้าวออกจากนา ไถกลบเฉพาะตอซัง ช่วยเพิ่มปุ๋ยให้ดิน และลดโลกร้อนได้พร้อมๆ กัน
ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรเป็นสัดส่วน 10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แม้อาจมองว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก แต่ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ที่ปล่อยออกจากภาคเกษตรคือ ก๊าซมีเทน ซึ่งมีความร้อนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่านัก
น.ส.ทัศนีย์ เจียรพสุอนันท์ นักศึกษาปริญญาเอกด้านสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า การจัดการนาข้าวหลังการเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งนาปรัง ที่ทำนาปีละสองครั้ง จะจัดการฟางข้าวที่เหลือโดยการเผาในที่โล่ง ซึ่งทำให้เกิดมลภาวะฝุ่นควัน ทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของผู้ที่อยู่ใกล้เคียง และยังปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้มีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรลดการเผาตอซังฟางข้าว และเปลี่ยนมาสนับสนุนการไถกลบตอซังฟางข้าวลงไปในดิน เพื่อลดมลภาวะทางอากาศและเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน
อย่างไรก็ตาม จากรายงานทางวิชาการได้ระบุว่าการเพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน หรือการไถกลบตอซังฟางข้าวลงไปจะยิ่งเป็นการเพิ่มปริมาณการปลดปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่บรรยากาศ เนื่องจากจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินจะย่อยสลายของธาตุอาหารและผลิตก๊าซมีเทนเพิ่มมากขึ้นตามปริมาณธาตุอาหาร ซึ่งการจัดการน้ำในนาข้าว โดยการปล่อยน้ำออกจากนาในบางช่วงของการปลูกข้าวจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนในนาข้าวได้ ทั้งนี้จากการทำวิจัยการเปรียบเทียบวัฏจักรคาร์บอนในนาข้าว โดย น.ส.ทัศนีย์ เจียรพสุอนันท์ ทำให้ทราบว่าควรปล่อยน้ำออกจากนาในช่วงเวลาใด
ทัศนีย์ กล่าวว่า จากการเฝ้าติดตามและเก็บตัวอย่างก๊าซที่ปล่อยออกมาจากนาข้าว พบว่าช่วงที่ข้าวปล่อยก๊าซมีเทนมากที่สุด คือ ช่วงเวลาที่ข้าวออกดอก การจัดการเพิ่มลดการปล่อยก๊าซมีเทนทำได้โดยการปรับสภาพดินในนาให้แห้ง ไม่มีน้ำท่วมหน้าดิน หรือทำให้เกิดสภาพมีออกซิเจน ด้วยการปล่อยน้ำออกเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วง 3-5 วันก่อนข้าวออกดอก เนื่องจากกลไกการสร้างก๊าซมีเทน จะเกิดเมื่อจุลินทรีย์ย่อยสลายธาตุอาหารในสภาพไร้ออกซิเจน ดังนั้นการเพิ่มออกซิเจนให้กับดินนาจึงทำให้จุลินทรีย์ลดการสร้างก๊าซมีเทนลงได้ การจัดการด้วยวิธีนี้จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากเกือบ 50% และส่งผลกระทบต่อผลผลิตไม่ถึง 1%
นอกจากนี้ ยังได้มีการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณก๊าซมีเทนที่ลดลงเมื่อมีการจัดการน้ำระหว่างการไถกลบทั้งตอซังและฟางข้าว และการไถกลบเฉพาะตอซัง พบว่าการจัดการน้ำช่วยการปล่อยก๊าซมีเทนในแปลงที่ไถกลบทั้งตอซังและฟางข้าว 49% เนื่องจากปริมาณของอินทรียสารที่ไถกลบลงไปมีมาก จึงสามารถลดการปล่อยก๊าซได้มากเมื่อเปรียบเทียบการเมื่อไม่มีการจัดการน้ำ ในขณะที่แปลงที่ไถกลบเฉพาะตอซังลดลง 32% จะเห็นว่าการจัดการน้ำในแปลงที่ไถกลบเฉพาะตอซังช่วยลดก๊าซมีเทนได้ไม่มากนัก เพราะอินทรียสารที่ไถกลบไม่มากเท่ากับกรณีแรกนั่นเอง
อย่างไรก็ดี จากการเปรียบเทียบดังกล่าว น.ส.ทัศนีย์ ให้ข้อคิดเห็นว่า ชาวนาไม่ควรไถกลบทั้งตอซังและฟางข้าว แม้ว่าจะมีวิธีการจัดการให้สามารถลดก๊าซมีเทนได้มากก็ตาม เพราะในทางปฏิบัติการนำฟางข้าวออกจากนาก่อน แล้วจึงไถกลบเฉพาะตอซัง ชาวนาสามารถนำฟางข้าวมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกหลายทาง เช่น นำไปใช้เป็นวัสดุปลูกพืช ปลูกเห็ด ใช้ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือแม้แต่นำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนในรูปแบบชีวมวล ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งของการลดโลกร้อน ทั้งนี้ วิธีการดังกล่าวได้มีหน่วยงาน และแปลงนาบางแห่งนำไปทดลองใช้แล้ว หากเห็นผลสัมฤทธิ์ที่ดีน่าจะมีการเผยแพร่การจัดการน้ำและดินนาในรูปแบบนี้ให้กว้างขวางออกไป
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit