คลีนิกข์...แนะเคล็ดลับ “ผิวสวย...กระจ่างใส” ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า “เดอมา ไวท์ (Derma White)”

24 Feb 2009

กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--เอลก้า

ลมร้อนมาแล้ว แสงแดดที่แผดเปรี้ยง! ส่งผลถึงผิวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่จากการศึกษาพบว่า มีความจำเป็นจะต้องดูแลผิว ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย จึงไม่เพียงพอแค่การปกป้อง แต่จำเป็นต้องป้องกันผิวจากปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจนำไปสู่การผลิตเม็ดสีที่มากเกินไป เมื่อปราการผิวตามธรรมชาติทำงานได้ดีขึ้น ทำให้สามารถทนทานต่อการทำร้ายจากสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดีขึ้น นอกจากนี้ปราการปกป้องผิวที่อ่อนแอจะทำให้ผิวไวต่อปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการผลิตเมลานินมากเกินไป และเกิดเป็นจุดด่างดำในที่สุด

คลีนิกข์” ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านการดูแลผิวที่มีชื่อเสียงมากว่า 40 ปี วันนี้ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สูตรเฉพาะ (Custom-fit) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวดังกล่าวอย่างถูกจุด จึงได้รวบรวมนำเทคโนโลยีล้ำหน้าไว้ในผลิตภัณฑ์ใหม่ของ “Derma White” โดยผสานการทำงานเข้ากับส่วนผสมหลักที่ช่วยเรื่องความกระจ่างใสและปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก เพื่อให้สามารถปกป้องผิวอย่างครอบคลุมในทุกแง่มุม พร้อมกันนี้ คลีนิกข์จึงจัดงาน Clinique Derma White “ Lab Certified Brightening ” เพื่อแนะนำ 6 ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากชุด Derma White โดยผลิตภัณฑ์ 5 ชิ้น เพิ่มส่วนผสมใหม่ล่าสุด ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่าง Coral Glass และ Calcium สารสกัดจาก Coral Glass ถูกค้นพบในประเทศญี่ปุ่น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปราการปกป้องผิวตามธรรมชาติ ด้วยการรักษาระดับความชุ่มชื่นและช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี เมื่อทำงานร่วมกับ Calcium จะช่วยให้ผิวมีความสามารถในการรับมือกับรังสียูวีและการทำร้ายจากสภาพแวดล้อมมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำในอนาคต

งานนี้จึงเรียนเชิญ น.พ.จินดา โรจนเมธินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง มาบอกเล่าเรื่องราว “สวย ใส อย่างปลอดภัย โดยใส่ใจอย่างถูกวิธี”

“ปัญหารอยคล้ำบนผิวหน้าเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในสุภาพสตรี โดยเฉพาะการเกิดกระและฝ้าบนใบหน้า ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวเกิดความกังวลใจ ร่วมกับค่านิยมในสังคมที่ชอบลักษณะใบหน้าขาวใส ปราศจากจุดด่างดำ ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหาดังกล่าวพยายามหาทางแก้ไขด้วยวิธีต่างๆมีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล บางคนโชคร้ายเพราะนอกจากรักษาไม่ได้ผลแล้วยังเกิดอาการข้างเคียงทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม ดังนั้นเราจึงควรทำความรู้จักกับปัญหาทั้งสองอย่างให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำการรักษา

กระ และ ฝ้า คืออะไร

กระและฝ้าเกิดจากการที่มีเม็ดสีเมลานิน (melanin pigment) สะสมในผิวหนังมากผิดปกติ ทำให้เกิดผื่นสีน้ำตาลเป็นรอยคล้ำ อย่างไรก็ตามผื่นทั้งสองจะมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้

  • กระมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลขนาดมักเล็กกว่า 0.5 ซม. พบกระจายอยู่บริเวณใบหน้าและผิวหนังที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ เชื่อว่าอาจมีสาเหตุจากพันธุกรรมร่วมด้วย เริ่มพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก จากนั้นจะค่อยๆมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นและสีเข้มขึ้น
  • สำหรับฝ้าพบบ่อยในสุภาพสตรีวัยกลางคน มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากด้านบนและคาง ผื่นมักมีสีคล้ำขึ้นเมื่อถูกแสงแดด เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็นสามชนิด

1. ชนิดแรกคือฝ้าที่เกิดในบริเวณหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้ม บริเวณขอบเขตของผื่นจะเห็นชัด ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษาเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนังจึงง่ายต่อการกำจัด

2. ชนิดที่สองคือฝ้าที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตจะเห็นไม่ชัดเจนเนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในระดับที่ลึกมากขึ้น มีผลทำให้รักษาค่อนข้างยาก ตอบสนองไม่ดีต่อการรักษา

3. ชนิดสุดท้ายเป็นชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากผิดปกติทั้งในชั้นหนังแท้และหนังกำพร้า

การแยกชนิดของฝ้านั้นจะมีประโยชน์ต่อการรักษา ทำให้สามารถประเมินได้ว่าจะรักษาได้ผลดีมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยสายตาอาจมีข้อจำกัด บางครั้งอาจต้องใช้กล้องแสงอัลตราไวโอเลต (UV Camera) ช่วยในการจำแนกชนิดของฝ้า

สาเหตุการเกิด

สาเหตุของการเกิดฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะมีปัจจัยหลายอย่างร่วมกันได้แก่ แสงแดด ฮอร์โมน ยา การแพ้เครื่องสำอาง ตลอดจนพันธุกรรม

  • สำหรับแสงแดดมีส่วนประกอบของรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด A (UVA) และชนิด B (UVB) รังสีทั้งสองชนิดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น
  • ในส่วนของฮอร์โมนเชื่อว่าฮอร์โมนเพศชนิดเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) มีผลทำให้เกิดฝ้า โดยสังเกตพบว่าฝ้าจะเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจะจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิดหรือหลังคลอดบุตร
  • นอกจากนั้นการรับประทานยาบางชนิดอาจมีส่วนทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้นเช่น ยากันชักชนิด diphenylhydantoin เป็นต้น สำหรับการแพ้เครื่องสำอางอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะการแพ้น้ำหอมหรือสีที่ผสมอยู่ในเครื่องสำอางนั้นๆ

การรักษา

สำหรับการรักษากระและฝ้านั้นจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่ประสบปัญหาเสียก่อนว่า ส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้เพราะเราไม่ทราบสาเหตุต้นกำเนิดที่แท้จริง การรักษามุ่งเน้นหลักสำคัญสองประการคือ

  • หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้กระหรือฝ้าเป็นมากขึ้น
  • ร่วมกับการพยายามรักษาให้รอยคล้ำนั้นจางลง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาอื่นๆที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงการตากแดดเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ การเลือกครีมกันแดดจะต้องเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับปัญหาของตัวเรา ในกรณีที่มีปัญหากระหรือฝ้าควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF (Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 15 ถึง 30 หรือสูงกว่าขึ้นไป อย่างไรก็ตามครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ บางชนิดอาจมีลักษณะข้นเหนียว ทำให้รู้สึกเหนอะหนะไม่น่าใช้ รวมทั้งอาจทำให้เกิดสิวง่ายขึ้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และถ้าจำเป็นต้องตากแดด ควรทาครีมกันแดดวันละสองครั้งหรือมากกว่า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าครีมกันแดดบนผิวหน้ายังมีปริมาณที่เพียงพอต่อการป้องกันแสงแดด มิได้จางหายไปกับเหงื่อที่มักจะถูกซับด้วยกระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าอยู่เสมอ ในกรณีที่มีสภาพผิวหน้าแบบผิวมันเป็นสิวง่าย ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่เป็นสูตร Non-comedogenic หรือ สูตร water-based และควรอยู่ในรูปของเจลหรือโลชั่นจะเหมาะสมกว่าในรูปของครีม

การทำให้รอยคล้ำจากกระและฝ้าจางลงมีได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีที่ง่ายและสะดวกคือการรักษาด้วยการทายา ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหรือยาทาที่ใช้ในการรักษานั้นแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม

  • กลุ่มที่หนึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์ที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้ามีผลทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือ Alphahydroxy acid (AHA) และกรดวิตามินเอ ซึ่งใช้รักษากระฝ้าได้ผลดี แต่การใช้เป็นเวลานานอาจทำให้ผิวบาง ระคายเคืองง่าย และไวต่อแสงแดด
  • กลุ่มที่สองได้แก่ยาหรือผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานินเช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค (Kojic acid) เป็นต้น ผลการรักษาจะต้องใช้ระยะเวลา 4 ถึง 8 สัปดาห์จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง มักได้ผลในกรณีที่ฝ้าเกิดในชั้นหนังกำพร้า ส่วน

กระอาจจะจางลงได้บ้าง ข้อควรระวังคือใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น อาการหน้าลอกเป็นขุย แสบแดง ระคายเคือง ทำให้คล้ำมากกว่าเดิม หรือาจเกิดเป็นด่างขาวได้

เนื่องจากยาทาบางชนิดเช่นกรดวิตามินเอ หรือยาทาไฮโดรคิวโนน มีผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย ดังนั้นควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนั้นมักจะมีผลข้างเคียงน้อยกว่า แต่ในขณะเดียวกันผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะน้อยกว่าด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นยังมีการนำยารับประทานชนิด Tranxemic acid ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ทำให้บริเวณที่กำลังมีเลือดไหลออกมานั้นหยุดได้เร็วขึ้น มาประยุกต์ใช้รักษาฝ้าเนื่องจากยาชนิดนี้สามารถลดการสร้างเม็ดสีในผิวหนัง มีผลทำให้ฝ้าจางลงบ้างในบางราย อย่างไรก็ตามยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยเป็นที่ยืนยันอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังต้องรับประทานยาระยะยาวจึงจะเห็นผล จึงควรต้องระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นเช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดดำเกิดการอุดตัน ซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

  • การรักษาด้วยวิธีกรอผิวชนิด Microdermabrasion (หรืออาจได้ยินในชื่อของเครื่องกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีผู้นำมาใช้ในการรักษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ ข้อควรระวังคืออาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากำหนดระดับความแรงในการทำงานของเครื่องมือสูงมากเกินไป อาจทำให้เกิดบาดแผลถลอก และมีเลือดออกได้
  • ส่วนการรักษาด้วยเครื่องไอออนโตฟอรีซิสอาศัยหลักการว่า เครื่องมือชนิดนี้ให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อนๆ และมีผลช่วยผลักยาหรือวิตามินที่เราทาไว้ก่อนบนผิวหน้าให้ซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ยาหรือวิตามินที่ทาไว้ก่อนนั้นออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้มีผลข้างเคียงน้อย อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้างแต่มักไม่รุนแรง อย่างไรก็ตามผลการรักษายังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าได้ผลดีอย่างชัดเจน
  • สำหรับเทคโนโลยีของเลเซอร์และเครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือ IPL) เป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ถึงแม้เลเซอร์และ IPL จะมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่แตกต่างกัน แต่กลไกในการทำงานใช้หลักการเดียวกัน กล่าวคือเครื่องมือทั้งสองชนิดให้กำเนิดพลังงานแสงไปยังบริเวณผิวหนังที่มีรอยคล้ำจากกระหรือฝ้า ผิวหนังในส่วนที่มีเม็ดสีเมลานินปริมาณมากกว่าปกติจะดูดซับพลังงานแสงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน มีผลทำให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทำลายและมีจำนวนลดลง มีผลทำให้กระหรือฝ้านั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยวิธีนี้ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำการรักษาโดยผู้ที่ขาดความรู้ความชำนาญ และที่สำคัญกระและฝ้ายังจะกลับมาเป็นใหม่ได้อีกเมื่อหยุดการรักษา ทั้งนี้เพราะเลเซอร์และ IPL สามารถกำจัดเม็ดสีส่วนเกินในผิวหนังได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดเม็ดสีที่สะสมขึ้นมาใหม่ ดังนั้นภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ IPL ยังคงต้องทายาเพื่อลดจำนวนเม็ดสีร่วมกับการใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

จากข้อมูลที่ได้กล่าวมาจะพบว่า การรักษาฝ้าและกระยังมีข้อจำกัดอยู่มาก เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุของปัญหาอย่างชัดเจน การแก้ปัญหาส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุทำให้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ นอกจากนั้นการรักษาแต่ละชนิดล้วนแล้วแต่มีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้นการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาจึงควรทำด้วยความระมัดระวัง ควรปรึกษาผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ร่วมกับป้องกันปัจจัยที่จะมากระตุ้นการเกิดกระและฝ้า จึงจะทำให้ได้ผลดีต่อการรักษา”

เคล็ดลับดีๆ อย่างนี้ หน้าร้อนคราวนี้คงช่วยให้คุณผ่อนคลาย เผยผิวสวย...กระจ่างใสได้

เผยแพร่ข่าวในนาม : บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด

เครื่องสำอางคลีนิกข์ โทร. 02 624 6029 / 6031

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ฝากข่าวประชาสัมพันธ์?

ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit