กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ออนไลน์ แอสเซ็ท
"มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์" โชว์ผลงานปี 51 รวมบริษัทฯ ย่อยมีกำไรสุทธิ 357.45 ลบ. โดยมี "บี อาร์ พี สตีล" เป็นแรงหนุนสำคัญ ทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น ในขณะที่ราคาเหล็กพุ่งสูงเป็นใจหนุนมาร์จิ้นขยายตัวโดดเด่น "สิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล" เผยพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งผลิตภัณฑ์เหล็กทั่วไปและเหล็กเกรดพิเศษ มั่นใจสิ้นปีนี้ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจชะลอตัวปั๊มรายได้ทะลุ 1 หมื่นลบ.สำเร็จ จากปี 2551 ที่ทำได้ 9,400 ลบ.
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยถึงผลประกอบการประจำปี 2551 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ว่าบริษัท มีรายได้จากการขาย 7,521.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,239.51 ล้านบาท ในงวดบัญชีเดียวกันของปี 2550 เพิ่มขึ้นเท่ากับ 4,282.17 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 132.19 สาเหตุที่ทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้นประกอบกับราคาขายของสินค้าในช่วงกลางปี สูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ MILL ยังมีรายได้จากการขายของบริษัท บีอาร์ พี สตีล จำกัด (เหล็กบูรพาอุตสาหกรรม ) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย รับรู้เป็นรายได้ในงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม -31 ธันวาคม 2551 เท่ากับ 1,894.11 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 488.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 245.71 ล้านบาท ในงวดบัญชีเดียวกันของปี 2550 เพิ่มขึ้นเท่ากับ 243.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.74 โดยเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่ากับ 181.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในงบการเงินรวมเฉพาะส่วนที่เป็นของบริษัทเท่ากับ 806.29 ล้านบาท
เขากล่าวต่อว่า จากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดในสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบต่อสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และเกี่ยวเนื่องมายังประเทศไทย ทำให้ราคาสินค้าหลายประเภทที่อ้างอิงราคามาตรฐานสากล มีความผันผวน โดยหนึ่งในนั้นคือสินค้าประเภทเหล็กก่อสร้าง ซึ่งมีการปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 36 ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2551 ที่กำหนดให้บริษัทต้องมีการตั้งสำรองเผื่อการลดลงของมูลค่าสินค้า MILL จึงตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าที่ราคาตลาดต่ำกว่าราคาทุน ดังที่ปรากฏในงบการเงินเฉพาะกิจการเท่ากับ 281.07 ล้านบาท และในงบการเงินของบริษัทย่อยเท่ากับ 167.77 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าของการตั้งสำรองทั้งสิ้น 448.84 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานในงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ สำหรับงวดปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 99.15 ล้านบาท ลดลงจากงวดบัญชีเดียวกันของปี 2550 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 105.57 ล้านบาท ลดลงเท่ากับ 204.68 ล้านบาทคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 193.88
ส่วนงบการเงินรวมสำหรับงวด 8 เดือนตั้งแต่ 30 เมษายน- 31 ธันวาคม2551 หลังจากการควบรวมกิจการกับ บริษัท บี อาร์ พี สตีล จำกัด MILL มีกำไรสุทธิเป็นจำนวนเงินรวม 434.04 ล้านบาท โดยมีส่วนที่เป็นของบริษัทจำนวน 357.41 ล้านบาท และเป็นของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 22.57 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ของ MILL จะมุ่งมั่นผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ซึ่งล่าสุดบริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจหันมาเน้นขายสินค้าให้กับพันธมิตรในลักษณะเป็นสัญญาต่อเนื่องในระยะยาวเพื่อผลักดันรายได้ของบริษัทให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต เพราะเมื่อมีคำสั่งซื้อสินค้าที่ชัดเจนและแน่นอนระยะยาวอยู่ในมือทำให้สามารถลดความเสี่ยงเรื่องความไม่แน่นอนของยอดขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีรายได้มั่นคงตามนโยบายที่วางไว้
โดยที่ผ่านมา MILL ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum Of Understanding -MOU) กับพันธมิตรต่างประเทศ ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งมีโครงการกระจายอยู่ทั่วโลก เพื่อจัดส่งเหล็กเส้นเกรดพิเศษให้กับพันธมิตรเพื่อใช้ในงานก่อสร้างประมาณ 50,000-100,000 ตัน/ปี เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป ผ่านทาง บริษัท บีอาร์ พี สตีล จำกัด และขณะนี้บริษัทเริ่มจัดส่งสินค้าป้อนให้กับพันธมิตรแล้ว โดยจะรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 1/2552 เป็นต้นไป และคาดว่าจากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ในปี 2552 บริษัทสามารถสร้างรายได้ให้อยู่ในระดับ 10,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2551 ที่ ทำได้ 9,400 ล้านบาทได้ ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ปภาดา สุวรรณกูฎ (ตุ้ย) โทร.02-554-9394 , 085-133-0184
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit