ไอเอจี กรุ๊ป เดินหมากรุกธุรกิจประกันภัยในเอเชีย นำร่องจับมือ 2 ยักษ์ใหญ่ใน มาเลเซียและอินเดีย สร้างความแกร่งหวังโตแบบก้าวกระโดด

06 Jan 2009

กรุงเทพฯ--6 ม.ค.--โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น

อินชัวรันซ์ ออสเตรเลีย กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจประกันภัยระดับแนวหน้าของโลก ประกาศแผนเชิงรุก เดินหน้าขยายตลาดประกันภัยในทวีปเอเชีย เริ่มก่อน 2 ประเทศหลัก "มาเลเซีย" และ "อินเดีย" อัดเม็ดเงินเต็มพิกัด หวังสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด

มร. จัสติน เบรนนี่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารภูมิภาคเอเชียของ ไอเอจี เปิดเผยถึงการรุกตลาดธุรกิจประกันภัยในมาเลเซียว่า อินชัวรันซ์ ออสเตรเลีย กรุ๊ป หรือ ไอเอจี ได้ตัดสินใจเข้าถือหุ้นเพิ่มในส่วนธุรกิจประกันภัยของบริษัทแอมแอสชัวรันซ์ ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนในประเทศมาเลเซีย โดยขยายสัดส่วนจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 49 เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจประกันภัยของกลุ่มในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นอัตราส่วนสูงสุดที่กฎหมายมาเลเซียกำหนด โดยได้ตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ แอมจี อินชัวรันซ์ (AmG Insurance) โดยยังได้สิทธิ์ในการใช้แบรนด์ของแอมแอสชัวรันซ์ดังเดิม "ตั้งแต่บริษัทได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 30 ในบริษัทร่วมทุนสัญชาติมาเลเซียแห่งนี้ในปี 2549 บริษัทฯ ได้ร่วมทำงานกับ ธนาคารเอเอ็มแบ็งค์ กรุ๊ป อย่างใกล้ชิด ในการเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจผ่านการให้บริการและถ่ายทอดประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจประกัน อันนำไปสู่ผลการดำเนินธุรกิจที่น่าพอใจจนถึงปัจจุบัน และในปี 2551 สามารถเพิ่มยอดเบี้ยประกันภัยขึ้นร้อยละ 15 เมื่อคิดเป็นมูลค่าจากเงินสกุลท้องถิ่น และก็มีการคาดหมายว่ายอดเบี้ยประกันจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกร้อยละ 10 ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และเมื่อเราได้ทำการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น จาก 30% เป็น 49% เราก็พร้อมเดินหน้าไปกับพาร์ทเนอร์ของเราในการขยายธุรกิจ และเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจประกันภัย ผ่านทางเครือข่ายและความหลากหลายของสินค้าที่เราสร้างสรรค์ขึ้น"

ทั้งนี้ ไอเอจี กรุ๊ป ได้รับการอนุมัติทางกฏหมายเรียบร้อยแล้วในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้น โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคมปี 2008 และเมื่อเร็วๆนี้ แอมจี อินชัวรันซ์ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงที่จะเข้าถือหุ้นใน มาเลเซียน แอสชัวรันซ์ อัลลานแอนซ์ หรือ เอ็มเอเอ (MAA) ซึ่งการลงทุนดังกล่าว ส่งผลให้ แอมจี อินชัวรันซ์ กลายเป็นบริษัทประกันภัยรายใหญ่ระดับ 1 ใน 3 ของประเทศมาเลเซีย นอกจากนี้ แอมจี อินชัวรันซ์ ยังมีแผนเข้าถือหุ้นร้อยละ 4.9 ใน MAA Takaful Bhd ซึ่งเป็นธุรกิจบริษัทประกันภัยสำหรับชาวอิสลามอีกด้วย โดยคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2552

ด้านการรุกธุรกิจประกันภัยในประเทศอินเดียนั้น ไอเอจี กรุ๊ป ได้ประกาศร่วมทุนกับ ธนาคาร State Bank of India หรือ SBI โดย มร. ไมเคิล วิลคินส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ของ ไอเอจี กรุ๊ป กล่าวถึงรายละเอียดดังกล่าวว่า ไอเอจี กรุ๊ป และธนาคาร State Bank of India หรือ SBI ได้ลงนามในข้อตกลงที่จะลงทุนร่วมกันในบริษัทร่วมทุนเพื่อดำเนินธุรกิจประกันภัยในประเทศอินเดีย โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินธุรกิจได้ในปี 2552 โดยการร่วมทุนดังกล่าวเป็นไปตามประกาศที่ออกมาก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 ที่ได้มีการเลือกให้ SBI เป็นพาร์ทเนอร์ในการตั้งบริษัทร่วมทุนในอินเดีย "การลงทุนในบริษัทร่วมทุนดังกล่าวเป็นอีกก้าวหนึ่งในการเสริมความแกร่งด้านธุรกิจประกันภัยในเอเชียของกลุ่ม เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับสถาบันด้านการเงินชั้นนำของประเทศอินเดียอย่าง SBI ซึ่งจะทำให้เรามีโอกาสในการเจาะตลาดประกันภัยที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศอินเดีย อันเป็นผลมาจากการรวมจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดผลกำไรในระยะยาว ประเทศอินเดียถือเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่และยังคงมีอัตราการขยายตัวอยู่ตลอด ซึ่งถือเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมประกันภัยที่จะเข้ามามอบบริการที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะมีการเติบโตอย่างน้อยร้อยละ 15-20 ต่อปี"

ทั้งนี้ การลงทุนในบริษัทร่วมทุนดังกล่าวนี้จะเปิดโอกาสให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากเครือข่าย และชื่อเสียงของธนาคาร SBI ในการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กร กลุ่ม SME และลูกค้ารายย่อย ในระดับแรก ไอเอจี จะถือหุ้นร้อยละ 26 ในบริษัทร่วมทุน ซึ่งเป็นอัตราที่กฏหมายกำหนดสูงสุดในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามบริษัทก็มีทางเลือกที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็นร้อยละ 49 ในอนาคต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกฏหมายในอนาคตด้วย ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ไอเอจี จะได้รับสิทธิ์แต่งตั้งตัวแทนบอร์ด แต่งตั้งตำแหน่งบริหารสำคัญๆ รวมไปถึงมีสิทธิ์ในการแนะนำทิศทางการดำเนินธุรกิจในเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจหลักๆ ของบริษัทด้วย "การลงทุนของ ไอเอจี ในบริษัทร่วมทุนจะอยู่ที่ 5,421 ล้านรูปี หรือประมาณ 170 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยการลงทุนของเราจะทุ่มไปที่บริษัทร่วมทุนทั้งหมดเพื่อถือหุ้นร้อยละ 26 ตามแผนที่วางเอาไว้โดยเราไม่จำเป็นจะต้องเพิ่มทุนอีกเป็นเวลาอย่างน้อย 4 ปี ซึ่งการลงทุนของเราสะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่นในการสร้างโอกาส ซึ่งก็เชื่อว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระยะกลาง และระยะยาวได้ตามแผนที่วางไว้" มร. ไมเคิล วิลคินส์ กล่าว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์:

บริษัท โฟว์ดี คอมมิวนิเคชั่น จำกัด

วิภาวริศ เกตุปมา หรือ จาจิญา เพ็งพันธ์, อรพร สุขสถิตย์ และชวิสรา สัมฤทธิ์นรพงศ์

02-951-9119, 081-890-3568, 084-155-1987, 081-824-3679 และ 087-496-8462