ย้อนวันวานในคืนวันอันทรงเกียรติ กับ 5 นางสาวไทยในแต่ละช่วงทศวรรษ

13 Nov 2008

กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์

จะมีฝันอยู่สักกี่ความฝันของหญิงสาว แต่เชื่อแน่ว่ามีอยู่หนึ่งฝันที่เด็กสาวหลายๆ คนอยากเป็น “นางสาวไทย” หญิงสาวที่เพียบพร้อมไปด้วยความสวยงามที่ชวนมอง กิริยามารยาทที่ตราตรึงใจ ที่ไม่ว่าจะ กี่ยุค กี่สมัย เวลาจะผ่านไปนานแค่ใด “นางสาวไทย” ก็ยังเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติที่หญิงสาวหลายๆ คนอยากจะเป็น และในค่ำคืนของวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ใกล้จะมาถึงเรากำลังจะได้นางสาวไทยคนที่ 44 ที่จะเปล่งประกายงามแห่งปัญญา ด้วยความสวยสง่า และความฉลาดรอบรู้ในทุกด้าน แต่ก่อนจะถึงวันนั้นเรามาย้อนคืนวันอันทรงเกียรติที่แสนประทับใจ กับ 5 นางสาวไทย ในแต่ละช่วงทศวรรษ

เริ่มต้นด้วยความสวย และกิริยาที่น่าประทับใจ และยังแสดงให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้จักประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ผ่านผู้หญิงที่สวยที่สุดในไทยเมื่อปี 2507 และผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกเมื่อปี 1965 แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยไป 44 ปีแล้ว แต่ ปุ๊ก - อาภัสรา หงสกุล นางสาวไทยปี 2507 และ นางงามจักรวาลปี 1965 ยังคงสวยไม่เปลี่ยน แม้ปัจจุบันคุณปุ๊ก อาภัสรา จะมีความสุขกับครอบครัวซึ่งมีลูกชายสุดหล่อถึง 2 คน และการทำธุรกิจความสวยความงาม กับ “อาภัสรา บิวตี้ สลิมมิ่ง สปา” เผยถึงชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังการได้เป็นนางสาวไทยว่า “นางสาวไทยสอนให้พี่มีความเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดชอบ เปิดประสบการณ์ดีๆในชีวิต ถึงขั้นได้เป็นนางงามจักรวาล แม้ว่าในเวลานั้นอายุเพียง 17 ปีเท่านั้นเอง แต่พี่ก็ยังเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเองอยู่ โดยไม่ได้รู้สึกกดดันที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอะไร ต้องขอบคุณครอบครัวที่ได้สอนให้พี่รู้จักการเข้าสังคมตั้งแต่เด็ก จึงทำให้ไม่เป็นปัญหาเมื่อเวลาที่เจอผู้ใหญ่ หรือพบผู้นำระดับประเทศ ซึ่งการประกวดนางสาวไทยในเวลานั้นไม่มีการเก็บตัว และเป็นภาครัฐบาลที่ร่วมให้การสนับสนุน โดยคณะกรรมการจะตัดสินจากความเป็นไทย เรียบร้อย ทั้งกิริยามารยาท ความอ่อนน้อม ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความเป็นสากล พูดภาษาอังกฤษได้ ด้วยบุคลิกที่สูง สมาร์ท ทันสมัย ดูคล่องตัว เพราะนางสาวไทยในปีนั้นเป็นปีแรกที่เข้าประกวดนางงามจักรวาล และก็สามารถหอบหิ้วความสำเร็จกลับบ้านเกิดได้ สร้างความดีใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ และความภาคภูมิใจให้กับครอบครัว ซึ่งพี่มองว่าแม้การประกวดนางสาวไทยจะผ่านไปกี่ยุค กี่สมัย ก็ตาม แต่ความเป็นไทย ความงดงามในกิริยามารยาทที่เรียบร้อย และความเป็นธรรมชาติในแบบของตัวเอง ยังได้รับความสนใจในการประกวดทุกปี เพียงแค่ปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยนั้นๆ ค่ะ”

ในปี 2514 แอร์โฮสเตสสาวสวยจากการบินไทย เล็ก - นิภาภัทร สุดศิริ เป็นผู้ครองตำแหน่งนางสาวไทย ปี 2514 ปัจจุบันคุณเล็กเป็นภริยาของคุณจตุพร สิหนาทกถากุล ประธานกรรมการ แลนด์มาร์ค กรุ๊ป หรือโรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพฯ และ ลอนดอน และเป็นคุณแม่ของลูก 4 ที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายดูแลครอบครัว

เผยถึงความทรงจำเมื่อครั้งได้เป็นนางสาวไทยว่า “พี่เข้ามาประกวดด้วยการชักชวนจากผู้ใหญ่ ซึ่งในเวลานั้นพี่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นแอร์โฮสเตสให้กับสายการบินไทย และในสมัยการประกวดมีเพียงเวทีเดียว การประกวดนางสาวไทยจึงเป็นเวทีที่ยิ่งใหญ่และมีประวัติที่ยาวนาน ซึ่งตอนที่เข้าประกวดพี่ก็ยังบินไปทำงานอยู่เช่นเดิม จนกระทั่งถึงวันประกวดจนตัดสินว่าเราคือคนที่ได้เป็นนางสาวไทย ความรู้สึกในตอนนั้นดีใจและก็ตื่นเต้น แต่พี่ค่อนข้างมีสติ จึงไม่ค่อยแสดงออกว่าตื่นเต้น เพราะพี่จะเคยชินกับการทำงานร่วมกับคนเยอะๆ จึงทำให้ไม่รู้สึกประหม่า พี่คิดว่าจุดนี้มั๊งค่ะที่ทำให้ได้รับตำแหน่งนางสาวไทย หลังจากนั้นก็ออกงานสังคมต่างๆ ช่วยเหลือองค์กรการกุศล อย่างงานกาชาด ซึ่งพี่เองก็รู้สึกดีใจและภูมิใจค่ะ ว่าการเป็นนางสาวไทยทำให้พี่ได้มีโอกาสอุทิศตนช่วยเหลือคนได้มากมาย ถึงแม้ว่าในบางครั้งพี่ท้อ หรือเหนื่อย แต่ด้วยภาพลักษณ์ของนางสาวไทย ที่เป็นตัวแทนของหญิงไทย ที่มีคนให้ความสนใจและรอชื่นชมเยอะมาก จึงทำให้เราต้องบังคับตัวเองไปโดยปริยาย ซึ่งพี่คิดว่าแม้การประกวดจะผ่านไปหลายปี ความทันสมัย ความเป็นผู้หญิงสมัยใหม่เขามาแทนที่ แต่ความงดงามแบบกุลสตรีไทย ของเวทีการประกวดนางสาวไทยยังคงอยู่ค่ะ”

ส่วน เอ๋ – สาวิณี ประการะนัง นางสาวไทยปี 2527 ที่ปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัว และเป็นคุณแม่ของลูก 3 เผยถึงตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ว่า “เป็นคนหนึ่งค่ะที่ฝันอยากจะเป็นนางงาม โดยติดตามการประกวดนางงาม มาตลอดแม้ว่าจะเรียนอยู่ที่อเมริกา ซึ่งในปีที่เอ๋เข้าประกวดนางสาวไทยเป็นปีแรกหลังจากที่ไม่มีการจัดประกวดนางสาวไทยมา 14 ปี และยังเป็นปีที่ถูกเพ่งเล็งมาก เพราะมีเด็กอิมพอร์ตเข้ามาประกวดหลายคน และในปีนั้นการประกวดจัดขึ้นที่พัทยา การตัดสิน การเก็บตัวจึงอยู่ที่นั่นหมดประมาณอาทิตย์กว่า ซึ่งจะมีการซ้อมเดินบนเวที การแห่ขบวนนางงาม จนถึงตอนตัดสินว่าตัวเองเป็นนางสาวไทย ตอนแรกยังงงๆ ไม่เชื่อ แต่พอรู้ว่าเป็นตัวเองก็ดีใจ และก็โล่งอก เพราะด้วยความที่อยู่เมืองนอกมานาน จึงมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจ และก็เหนื่อยมาก ซึ่งในยุคนั้นภาพลักษณ์ของนางสาวไทย จะต้องเป็นผู้ที่มีความสง่า รู้จักวางตัว และต้องเป็นผู้เสียสละช่วยเหลือคนอื่นด้วย ถึงแม้ว่าเอ๋จะเป็นเด็กที่โตเมืองนอกก็ตาม แต่เอ๋ก็ภูมิใจในความเป็นคนไทยและเป็นผู้หญิงไทยเช่นกัน จึงอยากฝากถึงผู้เข้าประกวดในปีนี้ว่า เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะให้เราได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะมาก และยังสามารถนำมาพัฒนาตัวเองได้อีกด้วย และในปีนี้ที่การประกวดจะมองหาหญิงสาวที่มีประกายงามแห่งปัญญา เอ๋มองว่าประกายงามแห่งปัญญาคือความรู้ที่มีของแต่ละคน และจะนำเอาความรู้ที่มีนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม และส่วนรวมอย่างไรค่ะ”

ด้าน มะปราง – ภาวดี วิเชียรรัตน์ นางสาวไทยปี 2538 ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตาเธอ กับรายการทำอาหารเมนูสุขภาพต่างๆ และยังเป็นนักเขียนหนังสือดูแลสุขภาพอีกด้วย เผยถึงช่วงเวลาแห่งความทรงจำว่า “เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะมากค่ะ มะปรางได้เรียนรู้ ได้รู้จักกับผู้ใหญ่หลายท่าน ได้รู้จักการทำธุรกิจที่หลากหลาย และยังทำให้มะปรางได้ค้นหาตัวเองด้วยว่าเราชอบอะไร อย่างมะปรางชอบเรื่องการดูแลสุขภาพ จึงทำให้มะปรางมุ่งทำงานด้านนี้ไม่ว่าจะทำรายการ เป็นวิทยากร รวมถึงเขียนหนังสือเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ซึ่งมะปรางคิดว่าการประกวดนางสาวไทยเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก และยังเป็นการสร้างโอกาสให้กับตัวเราค่ะ แม้ว่าในตอนนั้นมะปรางไม่เคยทราบมาก่อนว่านางสาวไทยมีประวัติยาวนานเท่าไร คนที่เป็นนางสาวไทยมีเกียรติขนาดไหน เพราะมะปรางเติบโตที่อเมริกา โดยเป็นอดีตธิดาโดม อเมริกา จึงมี ผู้แนะนำว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ประกวดนางสาวไทย ซึ่งตอนที่ประกวดปีนั้นเข้มงวดมากค่ะ เกี่ยวกับเรื่องของการใช้ภาษาไทย นางสาวไทยในตอนนั้นมีความชัดเจนมากค่ะคือนางงาม จะไม่เหมือนยุคนี้ที่เริ่มมีความเป็นบันเทิง อย่างเป็นนางแบบ นักแสดง ซึ่งตอนที่อยู่ในตำแหน่งรู้สึกกดดันค่ะ ด้วยความที่เรายังเด็ก และปกติเป็นคนไม่ชอบคนเยอะๆ ไม่ชอบแต่งตัว จึงอยากฝากถึงผู้เข้าประกวดในปีนี้ค่ะว่า อย่าเปลี่ยนแปลงตัวเองค่ะ ควรเป็นธรรมชาติในแบบของเรา เพื่อที่จะไม่ได้รู้สึกกดดันและให้สนุกกับการประกวด เก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ ให้มากที่สุดเพราะนี่คือประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตค่ะ”

เจี๊ยบ - ลลนา ก้องธรนินทร์ นางสาวไทยปี 2549 ที่ปัจจุบันกำลังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยถึงความประทับในการได้เป็นนางสาวไทยว่า “เจี๊ยบมีความฝันที่อยากจะเปิดฟรีคลีนิค รักษาผู้ป่วยในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งเป็นความฝันที่ยากมากหากเราจะทำ เพราะเราไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วจะมีวิธีไหนที่จะทำให้เราได้เป็นที่รู้จัก และมีคนมาช่วยเหลือเรา เจี๊ยบจึงตัดสินใจเข้าประกวดและก็ได้รับตำแหน่งนางสาวไทย ซึ่งการเป็นนางสาวไทยได้สอนให้เจี๊ยบโตขึ้น ได้เรียนรู้ และได้มีโอกาสทำงานให้กับองค์กรการกุศลหลายๆ องค์กร มีโอกาสได้ทำงานในวงการบันเทิง ได้รับประสบการณ์ดีๆ มากมาย เจี๊ยบคิดว่าการประกวดนางสาวไทยเป็นเวทีที่มีมานาน ถือเป็นตำนานเลยก็ได้ และเจี๊ยบก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับตำแหน่งนี้ ซึ่งเจี๊ยบมองว่าเวทีนี้ไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่สวยที่สุด แต่ต้องการผู้หญิงที่พร้อมในทุกๆ ด้านมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นความสวย กิริยามารยาท ความรู้ความฉลาด ซึ่งอยากฝากถึงผู้เข้าประกวดในปีนี้ว่า ตั้งใจทำให้ดีที่สุด เป็นธรรมชาติในแบบของตัวเองให้มากที่สุด ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะประกายงามแห่งปัญญานั้น เจี๊ยบคิดว่ามันคือความสวยที่มาจากความคิดภายในจิตใจของเราค่ะ ถ้าเราคิดดี จิตใจดี คนจะรับรู้ได้เอง และสิ่งนี้ค่ะที่จะอยู่คู่กับเราไปตลอด”

มาร่วมลุ้นร่วมเชียร์กันว่าใครจะเป็นผู้ได้ครอบครองมงกุฏเพชร เป็นนางสาวไทย คนที่ 44 ประจำปี 2551 ในวันที่ 29 พฤศจิกายนศกนี้ ณ สยามพารากอน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ

บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด โทร.0-2434-8300

สุจินดา, แสงนภา, ภัควลัญชญ์

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net