แอสเซท พลัส เตรียมนำลูกค้า Private Fund ลงทุนเมืองนอก มองการลงทุนต่างประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง

15 May 2008

กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--บลจ.แอสเซท พลัส

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ออกกฎเกณฑ์อนุญาตให้นักลงทุนสามารถออกไปลงทุนในต่างประเทศได้โดยตรง จากเดิมที่อนุญาตให้นักลงทุนลงทุนได้เฉพาะช่องทางกองทุนรวมเอฟไอเอฟและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเท่านั้น โดย ธปท.อนุญาตให้นิติบุคคลที่มีทรัพย์สินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท ขึ้นไป สามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในการลงทุนแต่ละครั้งไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีทรัพย์สินต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท (ยกเว้นคณะบุคคล) จะสามารถลงทุนได้ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และลงทุนในแต่ละครั้งไม่เกิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ

“การลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนส่วนบุคคลถือว่าเป็นช่องทางลงทุนใหม่ที่เปิดโอกาสการลงทุนในต่างประเทศสำหรับนักลงทุนรายย่อยให้สามารถลงทุนในตราสารที่ตอบสนองความต้องการของตนเองได้มากขึ้น

สำหรับแอสเซท พลัส บริษัทฯ ได้ศึกษาและติดตามภาวะตลาดการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับผู้จัดการกองทุนชั้นนำในต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า โดยนำนวัตกรรมการเงินมาช่วยเพิ่มระดับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการลงทุนในตราสารระดับเดียวกัน (Enhanced return) ซึ่งคาดว่า จะสามารถเริ่มลงทุนได้ประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้”

สำหรับภาพรวมการลงทุนในต่างประเทศ นางลดาวรรณ กล่าวว่า จากการพบปะหารือกับผู้จัดการกองทุน หลายแห่งในต่างประเทศ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า สภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นแม้ว่าจะมีความผันผวนจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ยังคงมองว่าจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การลงทุนในหุ้นภูมิภาคเอเชียยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยการปรับตัวลดลงของตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งในเอเชียช่วงที่ผ่านมา เป็นเพียงช่วงหนึ่งของการลงทุนเท่านั้น

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่จะสามารถสร้างผลตอบแทนจากผลการดำเนินงานที่ดี โดยแนวโน้มลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ การลงทุนในกลุ่มประเทศจีนและไต้หวันที่จะได้รับผลดีจากความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลในด้านบวกต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของไต้หวัน และแนวโน้มการอนุญาตให้ธนาคารของประเทศไต้หวันเข้ามาลงทุนในธนาคารของประเทศจีนได้โดยตรงก็จะส่งผลดีต่อการลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินอีกด้วย

นอกจากนี้ การลงทุนในกลุ่มพลังงานทางเลือก (Alternative Energy) จะได้รับผลดีจากความต้องการใช้น้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและภาวะการปรับตัวของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น กลุ่มเกษตรโภคภัณฑ์ (Agricultural) มีแนวโน้มการเติบโตสูงจากราคาอาหารที่สูงขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จะส่งผลดีต่อธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคม อิเล็คทรอนิกส์ วัสดุภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เหล็ก เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ :

ส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ

นิตยา เลิศแสงเพชร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3314 อีเมล์: [email protected]

มุกพิม จุลพงศธร โทร. 02-672-1000 ต่อ 3308 อีเมล์: [email protected]

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน