ปารีส--28 พ.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์ - เอเชียเน็ท / อินโฟเควสท์
เพื่อพิสูจน์ว่ายาดังกล่าวมีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมจริง
กลุ่มความร่วมมือเพื่อวิจัยโรคมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ประกาศเปิดรับผู้ป่วยอาสาสมัครในการวิจัย โดยปัจจุบันการวิจัย BETH (การใช้ยา Bevacizumab และยา Trastuzumab ร่วมกันเพื่อรักษาโรคมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive) กำลังอยู่ในระยะที่ 3 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การศึกษาประโยชน์ของการใช้ยา Bevacizumab (Avastin(R)) และยา Trastuzumab (Herceptin(R)) ร่วมกับการทำคีโมบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ในระยะเริ่มต้น
“Trastuzumab เป็นยามาตรฐานสำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ทุกระยะซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลจริง ในขณะที่ Bevacizumab สามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายและรักษามะเร็งเต้านมได้หากใช้ร่วมกับการทำเคมีบำบัด” ดร.เดนนิส สลามอน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยทางคลินิก ศูนย์มะเร็งจอนส์สันแห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และหัวหน้าฝ่ายวิจัยแห่งกลุ่มวิจัยมะเร็งนานาชาติ กล่าว “การวิจัย BETH เป็นการศึกษาที่ต่อยอดมาจากการวิจัยในเบื้องต้นของห้องทดลอง Slamon/TRIO แห่งมหาวิทยาลัย UCLA ทั้งนี้ เราต้องสืบทราบให้ได้ว่าการใช้ยาทั้งสองตัวร่วมกับการทำเคมีบำบัดจะช่วยรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นได้อย่างไรและมากน้อยแค่ไหน”
“แม้การแพทย์จะก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ แต่ทุกปีก็ยังมีสตรีกว่า 400,000 คนทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ดังนั้นการพัฒนาการรักษาโรคมะเร็งเต้านมยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง” ดร.นอร์แมน โวลมาร์ก ประธานแผนกเนื้องอกวิทยาแห่งโรงพยาบาลอัลเลเกนี เจเนอรัล และหัวหน้าฝ่ายวิจัยบริษัท NSABP Foundation, Inc. ในเมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าว
ในการวิจัย BETH ผู้ป่วยจะได้รับการทำคีโมบำบัดแบบสุ่ม (รับยา Docetaxel/Carboplatin 6 รอบ หรือรับยา Docetaxel 3 รอบ ต่อด้วยยา FEC(1) 3 รอบ) พร้อมกับการใช้ยา Trastuzumab ร่วมหรือไม่ร่วมกับยา Bevacizumab
การวิจัย BETH ได้รับการพัฒนาด้วยความร่วมมือระหว่าง NSABP (โครงการสนับสนุนการผ่าตัดทรวงอกและช่องท้องนานาชาติ) และ CIRG (กลุ่มวิจัยมะเร็งนานาชาติ) และจะมีการเปิดรับผู้ป่วยอาสาสมัครราว 3,500 รายเพื่อร่วมในการศึกษาครั้งนี้ โดยผลลัพธ์ที่ตั้งเป้าไว้ในเบื้องต้นคือการให้ผู้ป่วยรอดชีวิตโดยที่มะเร็งถูกกำจัดไปหมด ส่วนในขั้นที่สองคือการศึกษาผู้ป่วยที่รอดชีวิตโดยที่มะเร็งถูกกำจัดไปหมด, ผู้ป่วยที่รอดชีวิตโดยรวม, ความปลอดภัยในการรักษา และการต้านทานโรค
Bevacizumab และ Trastuzumab เป็นยาที่ใช้ในการรักษาสตรีที่เป็นโรคมะเร็งเต้านม โดยยา Bevacizumab มีคุณสมบัติในการต้านการแพร่กระจายของมะเร็ง ในขณะที่ยา Trastuzumab มีคุณสมบัติในการรักษาโรคมะเร็งชนิด HER2-positive ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะรุนแรง ทั้งนี้ การวิจัย BETH เป็นการทดลองขั้นที่ 3 ครั้งแรกที่จะบ่งบอกได้ว่า การใช้ยาทั้งสองชนิดร่วมกันจะให้ผลอย่างไรในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น
เกี่ยวกับ กลุ่มวิจัยมะเร็งนานาชาติ (CIRG) และ กลุ่มวิจัยเนื้องอกวิทยา (TRIO)
CIRG เป็นองค์กรวิจัยไม่หวังผลประโยชน์ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนครปารีส ประเทศฝรั่งเศส และกรุงอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา และมีเครือข่ายนักวิจัยนานาชาติกว่า 2,000 คน และศูนย์มะเร็งอีก 450 แห่ง ใน 45 ประเทศทั่วโลก โดย CIRG เป็นผู้ริเริ่มการศึกษาและวิจัยมากมายด้วยความมุ่งหวังที่จะพัฒนาระบบการรักษาโรคมะเร็งให้ดีขึ้น ตัวอย่างการศึกษาของ CIRG ประกอบด้วย การวิจัย BCIRG 001 ซึ่งนำไปสู่การจดทะเบียนยา Docetaxel สำหรับใช้ในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น และการวิจัย BCIRG 006 ได้แสดงให้เห็นว่า การให้ยา Herceptin อย่างเดียวโดยไม่ใช้ร่วมกับยา Anthracycline ก็มีศักยภาพในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ในระยะเริ่มต้นได้ดีพอๆ กับการให้ยา Herceptin ร่วมกับยา Anthracycline ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพเท่าเดิมแต่ได้รับสารพิษที่เป็นผลเสียต่อหัวใจน้อยลง
เมื่อไม่นานมานี้ CIRG ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับเครือข่ายนักวิจัยของศูนย์วิจัยเนื้องอกวิทยานานาชาติแห่งมหาวิทยาลัย UCLA ในการก่อตั้งกลุ่ม TRIO ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายนักวิจัย บริการทดสอบทางคลินิก และห้องทดลอง Slamon/TRIO โดย ดร.สลามอนและนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นๆ ได้ร่วมกันพัฒนาแบบจำลองก่อนการรักษาเพื่อการจำแนกโมเลกุล รวมทั้งประเมินและจำแนกกลไกการทำงานของสารชีวภาพ ซึ่งจะเป็นรากฐานของการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ วิธีการดังกล่าวถูกนำไปใช้ในการวิจัย BCIRG 006 และการวิจัย BETH ด้วย
TRIO อุทิศตนให้กับการวิจัยมะเร็งด้วยการพัฒนาทฤษฎีและการวิจัยไปสู่การรักษาจริง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.trioncology.org
เกี่ยวกับ โครงการสนับสนุนการผ่าตัดทรวงอกและช่องท้องนานาชาติ (NSABP)
NSABP มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นกลุ่มความร่วมมือด้านการทดลองทางคลินิกซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 50 ปี และเป็นผู้ออกแบบและทำการทดลองที่เปลี่ยนโฉมหน้าการป้องกันและรักษาโรคมะเร็งเต้านม
NSABP มีศูนย์วิจัยกระจายอยู่ตามศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย กลุ่มวิจัยเนื้องอกวิทยา และองค์กรด้านสุขภาพกว่า 1,000 แห่ง ทั้งในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เปอร์โตริโก และไอร์แลนด์ และได้เปิดรับผู้ป่วยอาสาสมัครทั้งหญิงและชายที่เป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้กว่า 110,000 ราย ภายใต้การดูแลรักษาของแพทย์ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพกว่า 5,000 คน
การศึกษาเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านมของ NSABP ได้ทำให้การฉายรังสีและการผ่าตัดเต้านมออกกลายเป็นมาตรฐานในการรักษาโรคมะเร็งเต้านมในปัจจุบัน โดย NSABP เป็นหน่วยงานแรกที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การใช้ยาควบคู่กับการรักษาตามมาตรฐานจะช่วยรักษามะเร็งเต้านมและเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นกลุ่มแรกที่ทำการศึกษาการป้องกันมะเร็งแบบ large scale ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายา Tamoxifen และยา Raloxifene สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้กว่า 50% ทั้งนี้ มีสตรีกว่า 33,000 คนที่เข้าร่วมในการวิจัยเพื่อป้องกันมะเร็งเต้านม (BCPT) และการศึกษายา Tamoxifen และยา Raloxifene (STAR)
ท่านที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ NSABP สามารถดูได้ที่ http://www.nsabp.org
(1) FEC หมายถึง 5-Fluorouracil, Epirubicin, Cyclophosphamide
แหล่งข่าว: โครงการสนับสนุนการผ่าตัดทรวงอกและช่องท้องนานาชาติ (NSABP)
ติดต่อ: สำหรับยุโรป กรุณาติดต่อ
เอมมานูเอล เมเคิร์ค จาก CIRG
โทร: +33-1-58-10-08-97
อีเมล: [email protected]
หรือ
สำหรับอเมริกาเหนือ กรุณาติดต่อ
ฮอลลี แม็คคัลมอน จาก NSABP
โทร: +1-412-330-4616
อีเมล: [email protected]
เว็บไซต์: http://www.nsabp.org
http://www.trioncology.org
--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net ) --
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit