ผลการศึกษาชี้ Olanzapine LAI ยารักษาอาการจิตเภท สามารถออกฤทธิ์ช่วยผู้ป่วยได้นานสูงสุดถึง 6 เดือน

04 Sep 2008

บาร์เซโลนา, สเปน--4 ก.ย.--พีอาร์นิวส์ไวร์ - เอเชียเน็ท / อินโฟเควสท์


ผลลัพธ์ที่ได้จากการศึกษาเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ และได้มีการเปิดเผยในวันนี้ที่การประชุมทางการแพทย์ครั้งสำคัญในบาร์เซโลนา ชี้ให้เห็นว่ายา olanzapine LAI (long-acting injection) สามารถออกฤทธิ์ได้นานสูงสุดถึงหกเดือน นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการนำเสนอบทวิจารณ์ข้อมูลด้านความปลอดภัยจากการทดลองทางคลินิคทั้งหมดของ olanzapine LAI ด้วย

Olanzapine LAI เป็นตัวยาที่อยู่ในระหว่างการทดลองที่ผสม Zyprexa(R) (olanzapine) ซึ่งเป็น atypical antipsychotic เข้ากับกรด pamoic ทำให้เกิดเกลือที่ช่วยให้ olanzapine ออกฤทธิ์ได้นานถึงสี่สัปดาห์ antipsychotic LAI ร่วมออกฤทธิ์ในการปรับปรุงการรักษาอาการจิตเภทในผู้ป่วยที่ไม่สะดวกรับการรักษาเป็นประจำทุกวัน (1)

"การศึกษาเหล่านี้ให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบทบาทของ olanzapine LAI ต่อการรักษาผู้ป่วยจิตเภทผู้ซึ่งได้รับประโยชน์จากการใช้ olanzapine แต่ไม่สามารถรับยาและให้แพทย์ติดตามผลได้อย่างต่อเนื่อง" นายแพทย์ เดวิด แม็คดอนเนลล์ แพทย์ผู้วิจัยจากลิลลี่ กล่าว "ถ้าได้รับการอนุมัติ olanzapine LAI อาจเป็นทางเลือกในการรักษาที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากจิตเภทเป็นโรคเรื้อรังและรุนแรงซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับการรักษาและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสูตรยาที่มีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน"

หน่วยงานอิสระในสหภาพยุโรป แคนาดา ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกายังคงทบทวนและตรวจสอบการใช้ olanzapine LAI อยู่อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบัน Olanzapine LAI กำลังได้รับการประเมินโดย CHMP และการยื่นเสนอต่อหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อขออนุมัติจัดจำหน่ายยาในบางประเทศขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของ CHMP

หมายเหตุถึงบรรณาธิการ:

เกี่ยวกับ HGKA (การศึกษาผลของการคงสภาพเป็นเวลา 24 สัปดาห์)

การศึกษาการคงสภาพแบบปกปิดทั้งสองฝ่ายเป็นเวลา 24 สัปดาห์ ในผู้ป่วยนอกจำนวนทั้งสิ้น 1,065 คนที่มีอาการจิตเภทคงที่ด้วยการรับประทานยา olanzapine (10, 15, หรือ 20 มก. ทุกวัน) เป็นเวลาสี่ถึงแปดสัปดาห์ ได้รับการสุ่มเพื่อรับการรักษาด้วย olanzapine LAI ขนาดต่างๆ สามขนาด (150 มก. ทุก ๆ สองสัปดาห์ 300 มก. ทุก ๆ สองสัปดาห์ หรือ 405 มก. ทุก ๆ สี่สัปดาห์) หรือเป็นกลุ่มที่ได้รับ olanzapine LAI ในปริมาณต่ำ (45 มก. ทุก ๆ สี่สัปดาห์) เพื่อเป็นกลุ่มอ้างอิง หรือได้รับการรักษาด้วยยากินตามขนาดเดิมที่เคยได้รับ โดยไม่อนญาตให้กินยาในกลุ่ม antipsychotic เพิ่มเติมในระหว่างการศึกษา

การประเมินความคงที่ทางคลินิคขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงปริมาณยา olanzapine ที่รับประทาน และการวัดตามมาตรฐานต่างๆ รวมถึงการวัดค่าแบบ Clinical Global Impressions - Improvement of Illness (CGI-I) และ Brief Psychiatric Rating Scale (BPRS) ความรุนแรงของอาการได้รับการประเมินโดยใช้การวัดแบบ Positive and Negative Syndrome (PANSS), PANSS-derived BPRS, และ the Clinical Global Impressions-Severity of Illness (CGI-S) และ CGI-I scales

การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ขนาดของการให้ยา olanzapine LAI มีผลต่อการคงสภาพการรักษาในทางบวกเป็นเวลานานถึงหกเดือน ค่าเฉลี่ยในการเปลี่ยนแปลงของเส้นฐานถึงจุดสิ้นสุดในคะแนนรวมของ PANSS สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย olanzapine LAI (150 มก. ทุก ๆ 2 สัปดาห์ 300 มก. ทุก ๆ 2 สัปดาห์ และ 405 มก. ทุก ๆ 2 สัปดาห์) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากผู้ที่ได้รับยาในกลุ่มอ้างอิง (2.7, -2.2, -0.1, ต่อ 7.3; ที่ p<.001 ตามลำดับ)

ทั้งนี้ มีการสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในคะแนนรวมของ PANSS ระหว่างขนาดเพื่อการรักษา (150 ทุก ๆ สองสัปดาห์ 300 มก. ทุกๆ สองสัปดาห์ หรือ 405 มก. ทุกๆ สี่สัปดาห์) ต่อขนาดเพื่อการอ้างอิง (45 มก. ทุก ๆ สองสัปดาห์) เริ่มที่ 11, 3 และ 2 สัปดาห์ ตามลำดับ และคงสภาพตลอดการศึกษา (p<.05)

ความแตกต่างคล้ายกันระหว่างขนาด olanzapine LAI สำหรับการรักษา และสำหรับการอ้างอิงถูกสังเกตเห็นในคะแนนรวมของ BPRS total, CGI-I, และ CGI-S ค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงของเส้นฐานถึงจุดสิ้นสุดในคะแนนรวมของ PANSS สำหรับกลุ่มที่ได้รับ olanzapine ด้วยการรับประทาน (-1.7) ไม่พบความแตกต่างที่สำคัญสำหรับกลุ่มที่ได้รับปริมาณ olanzapine LAI สูงสุด (-2.2, 300 มก. /2 สัปดาห์; p=0.606) แต่สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับ Olanzapine LAI ขนาดอื่น ๆ (p<0.01)

สำหรับความปลอดภัยของ olanzapine LAI นั้น สอดคล้องกับ olanzapine แบบรับประทาน ยกเว้นผลข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดจากการฉีดยา มีอัตราความไม่ต่อเนื่องต่ำตลอดช่วงหกเดือนของการรักษา น้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจประมาณ 7 เปอร์เซนต์ หรือมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับเส้นฐานจะเห็นว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยากิน olanzapine (21.4 เปอร์เซนต์) olanzapine LAI ขนาด 150 มก. ทุก ๆ สองสัปดาห์ (16.4 เปอร์เซนต์) olanzapine LAI ขนาด 300 มก. ทุก ๆ สองสัปดาห์ (20.7 เปอร์เซนต์) และ olanzapine LAI ขนาด 405 มก. ทุก ๆ สี่สัปดาห์ (15.2 เปอร์เซนต์) เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย olanzapine LAI ขนาด 45 มก. ทุก ๆ สี่สัปดาห์ (8.3 เปอร์เซนต์ ค่า p น้อยกว่า หรือเท่ากับ .05 ทั้งหมด) อัตราการเกิดปฏิกิริยาตอบโต้บริเวณที่ฉีดยาทั้งหมด รวมถึงอาการปวดจากการฉีด เป็น 2.8 เปอร์เซนต์ ในผู้ป่วยจำนวน 5 เปอร์เซนต์หรือมากกว่ามีรายงานพบอาการข้างเคียงต่างๆ ได้แก่ อาการนอนไม่หลับ น้ำหนักเพิ่มขึ้น วิตกกังวล อาการเยื่อจมูกและลำคออักเสบ (nasopharyngitis) อาการง่วงนอน และปวดศรีษะ โดยใน HGKA ผู้ป่วยสองรายประสบและหายขาดจากอาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome ซึ่งรวมถึงอาการต่าง ๆ ของอาการที่เกิดจากยาระงับประสาท (ตั้งแต่ไม่รุนแรงจนถึงไม่รู้สึกตัว) และ/หรือการขาดสติ (ได้แก่ ความสับสน ความงุนงง ภาวะกายใจไม่สงบ วิตกกังวล และความบกพร่องทางจิตอื่น ๆ) อาการอื่น ๆ ได้แก่ อาการกล้ามเนื้อมีความตึงตัวมากเกินไป (extrapyramidal symptoms) อาการพูดไม่เป็นความ (dysarthria) ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ (ataxia) การก้าวร้าว อาการเวียนศีรษะ อ่อนแรง ความดันโลหิตสูง และการชัก (convulsion)

ช่วงต้นปีนี้ ข้อมูลที่ได้เมื่อสิ้นสุดการศึกษาในระยะแรกได้รับการเปิดเผยในการประชุมทางวิชาการของ Schizophrenia International Research Society (SIRS) ข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย olanzapine LAI ในปริมาณสูงทั้งสามขนาด มีช่วงเวลาในการกำเริบของอาการนานกว่าผู้ป่วยที่ได้รับขนาดอ้างอิง และผู้ที่ได้รับยาขนาด 405 มก. ทุก ๆ สี่สัปดาห์ และขนาดยาที่ให้ทุก ๆ สองสัปดาห์ไม่แสดงให้เห็นว่าด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการกิน olanzapine และเมื่อเปรียบเทียบกันเอง


เกี่ยวกับการวิเคราะห์อาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome

เช่นเดียวกับยาทุกประเภท การฉีดยาที่ออกฤทธิ์เป็นเวลานานย่อมมีความเสี่ยง จากการทดลอง olanzapine LAI ทางคลินิคทั้งหมด พบว่ามีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่คล้ายคลึงกันกับสูตรยาสำหรับรับประทาน ยกเว้นผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดยา รวมถึง Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome

วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์นี้ เพื่อพิจารณากรณีต่าง ๆ ของอาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome ที่สังเกตได้จากการทดลอง olanzapine LAI ทางคลินิค เพื่อหาคำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับความเสี่ยง และการจัดการทางการแพทย์ ข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ได้รวบรวมจากการทดลอง olanzapine LAI ที่เสร็จสิ้นแล้ว และกำลังดำเนินการอยู่จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2007 และยังได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจนกระทั่ง 31 พฤษภาคม 2008 อีกด้วย

ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2008 อัตราการเกิดอาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome หลังจากการให้ olanzapine LAI เป็น 29 กรณี (ในผู้ป่วย 28 ราย) หลังจากการฉีดมากกว่า 40,000 ราย คิดเป็นอัตราการเกิด 0.07 เปอร์เซนต์ต่อการฉีดหนึ่งครั้ง และ 1.4 เปอร์เซนต์ต่อผู้ป่วยหนึ่งราย หรือประมาณหนึ่งต่อ 1,400 ครั้ง ไม่พบการลดของสัญญาณชีพอย่างมีนัยสำคัญ และผู้ป่วยทุกรายหายขาดจากสัญญาณ และอาการของ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome ภายในเวลา 1.5 ถึง 72 ชั่วโมง ประมาณ 70 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วยยังคงรับยาฉีดอย่างต่อเนื่อง หลังเหตุการณ์นั้น ความเสี่ยงสะสมจากอาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome หลังจากหนึ่งปีของการรักษา เป็น 0.7 ถึง 1.2 เปอร์เซนต์ (ข้อมูลเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นเป็นช่วงเนื่องจากช่วงการฉีดที่แตกต่างกัน)

จากทุกการทดลองทางคลินิคสิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม ไม่มีการรายงานว่าพบ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome เพิ่มเติม

จากการรวบรวมอย่างครอบคลุมของข้อมูลด้านความปลอดภัยต่าง ๆ จากการทดลองทางคลินิคของ olanzapine LAI และทำให้ทราบว่า การรับรู้และการยอมรับของเหตุการณ์เหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการชี้ถึงความปลอดภัยและการลดอาการที่เกี่ยวข้อง ลิลลี่ได้เสนอแผนงานที่ครอบคลุมเพื่อการจัดการความเสี่ยงในการเกิดอาการ Olanzapine LAI Post-Injection Syndrome รวมถึงฉลากผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดที่รวมช่วงเวลาการสังเกตหลังการฉีด และการฝึกอบรมผู้ให้บริการด้านสุขภาพและโปรแกรมการให้ความรู้อย่างครอบคลุม

เกี่ยวกับยากลุ่ม Antipsychotic ที่ออกฤทธิ์นานแบบฉีด

World Federation of Societies of Biological Psychiatry (WFSBP) ได้แนะนำข้อพึงปฏิบัติที่ระบุว่า การปฏิบัติตามการรักษาที่ไม่ดี หรือทำตามเพียงบางส่วนเป็นปัญหาสำคัญในการรักษาระยะยาวของอาการจิตเภท สูตรยาแบบฉีดควรได้รับการพิจารณาเป็นทางเลือกในการรักษา เมื่อผู้ป่วยแสดงออกถึงความต้องการการรักษาแบบนี้ เนื่องจากความสะดวก หรือถ้าพบว่าการรักษานี้จำเป็นในการช่วยหลีกเลี่ยงการกินยาทุกวัน (2)

ยากลุ่ม antipsychotic ที่ออกฤทธิ์นาน เข้ามาเกี่ยวข้องในการปรับปรุงการติดตามผลการรักษาให้ดีขึ้น และช่วยลดความล้มเหลวของการรักษา (3) โดยการให้ยาที่ออกฤทธิ์นานนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพจะทราบว่าผู้ป่วยได้รับยา ขณะเดียวกันก็จะทราบเช่นกันถ้าผู้ป่วยไม่กลับมารับการฉีดยาตามนัด (4) แตกต่างจากทั้งการให้ยากิน และการฉีดยาสูตรที่ออกฤทธิ์สั้น สูตรที่ออกฤทธิ์นานในกลุ่ม antipsychotics ให้ความเข้มข้นที่คงที่ของยาที่ออกฤทธิ์ตลอดช่วงการรักษาเป็นเวลาที่นานขึ้น (5)


เกี่ยวกับอาการจิตเภท

อาการจิตเภทนั้นรุนแรง และเป็นการเจ็บป่วยที่มีแต่แย่ลง ด้วยอาการต่าง ๆ เช่น การคิดเพ้อเจ้อ (ความเชื่อผิด ๆ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเหตุผล) อาการประสาทหลอน (โดยปกติจะอยู่ในรูปแบบของเสียงหรือภาพที่ไม่มีจริง) การพูดสับสน และความสับสนขั้นรุนแรง หรือพฤติกรรมที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ สัญญาณและอาการเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางสังคมหรือการทำงาน ลักษณะของอาการจิตเภทประกอบด้วยสัญญาณและอาการที่แสดงออกเป็นเวลานานพอสมควรในระยะเวลาหนึ่งเดือน และสัญญาณบางอย่างของความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน (6) นอกจากอาการเหล่านี้ ผู้ป่วยที่มีอาการจิตเภทมีความเสี่ยงสูงในการป่วยจากการใช้ยามากกว่าคนทั่วไป


เกี่ยวกับ Olanzapine

ตั้งแต่ออกสู่ท้องตลาดเป็นครั้งแรกในปี 1996 ยา Olanzapine ก็ได้ถูกสั่งจ่ายให้กับผู้คนทั่วโลกประมาณ 24 ล้านคน ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ใช้ Olanzapine กับผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 18 ปี

ในยุโรป Olanzapine ถูกระบุให้ใช้รักษาอาการจิตเภท โดยในการทดลองทางคลินิค Olanzapine แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการคงสภาพของประโยชน์ในการรักษาทางคลินิคอย่างต่อเนื่องในระว่างการรักษาในผู้ป่วยที่มีการตอบสนองในการรักษาเบื้องต้น และใช้ในการรักษาอาการคุ้มคลั่งในระดับปานกลางถึงรุนแรง และสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการคุ้มคลั่งเหล่านี้ที่มีการตอบสนองต่อการรักษาด้วย olanzapine นั้น ได้มีการระบุให้ใช้ยาเพื่อป้องกันการกลับมาของอาการผิดปกติแบบไบโพลาร์ (bipolar disorder) ในผู้ป่วย


ข้อมูลด้านความปลอดภัย

มีรายงานว่าพบภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และ/หรือการพัฒนา หรือการกำเริบของโรคเบาหวานเป็นบางครั้งอันเนื่องมาจากการสะสมของ ketone bodies ในร่างกาย หรือการสลบ รวมถึงอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิตในบางกรณี ในบางกรณี มีการรายงานว่ามีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว ซึ่งอาจเป็นแรงจูงใจที่ดี แนะนำให้มีการดูแลทางคลินิคที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และในผู้ป่วย ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน แนะนำให้ทำหารการควบคุมปริมาณกลูโคสแบบปกติ

ทั้งนี้ ได้มีการสังเกตพบการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงปรารถนาเกี่ยวกับไขมันในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย olanzapine ในกลุ่มควบคุมที่ใช้ยาหลอกในการทดลองทางคลินิค ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในค่าไขมัน (คลอเลสเตอรอลรวม LDL คลอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์) สูงขึ้นมากในผู้ป่วยที่ไม่มีการควบคุมไขมัน การเปลี่ยนแปลงของไขมันควiได้รับการดูแลตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการกำจัดไขมัน และในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะพัฒนาความผิดปกติของไขมันได้

สัดส่วนของผู้ป่วยที่มีผลข้างเคียงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ น้ำหนักเพิ่ม ปริมาณกลูโคส คลอเรสเตอรอลรวม/LDL/HDL หรือไตรกลีเซอไรด์นั้น มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาเป็นเวลา 9-12 เดือน อัตราการเพิ่มขึ้นในค่าเฉลี่ยของกลูโคสในเลือดช้าลงหลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 4-6 เดือน

เช่นเดียวกับยากลุ่ม antipsychotic ทั้งหมด มีรายงานว่าพบอาการที่เป็นอันตรายถึงชีวิตและพบได้ยาก ที่รู้จักกันในชื่อ Neuroleptic Malignant Syndrome (NMS) ในผู้ที่ใช้ยา olanzapine แต่ก็พบน้อยมาก ทั้งนี้ ถ้าสัญญาณและอาการต่างๆ ปรากฎให้เห็น แนะนำให้หยุดใช้ยาโดยทันที อาการที่ปรากฎชัดทางคลินิคของ NMS ได้แก่ มีไข้สูง กล้ามเนื้อเกร็งตัว อารมณ์แปรปรวน และพบหลักฐานของความไม่มั่นคงของระบบประสาทส่วนกลาง (ชีพจรหรือความดันโลหิตไม่ปกติ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ภาวะเหงื่อไหลมาก และภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ) สัญญาณนอกจากนี้อาจรวมถึงน้ำย่อยกล้ามเนื้อหัวใจเพิ่มสูงขึ้น ปัสสาวะมีไมโอโกลบิน (พิษที่ทำลายกล้ามเนื้อ) และภาวะไตวายเฉียบพลัน

นอกจากนี้ เช่นเดียวกับการรักษาด้วยยากลุ่ม antipsychotic การสั่งยาควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็น Tardive Dyskinesia (TD) ความเสี่ยงของการเกิด TD เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาในการรักษา ควรลดขนาดยาหรือหยุดใช้ยาถ้าปรากฏสัญญาณและอาการของ TD ทั้งนี้ ควรพึงตระหนักว่าอาการต่างๆ อาจเกิดขึ้นชั่วคราว หรืออาจเพิ่มขึ้นหลังการหยุดยาแล้ว

ผลข้างเคียงร้ายแรงอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำ ลมชัก ระดับโปรแอคตินเพิ่มสูงขึ้น ระดับเอนไซม์ในตับเพิ่มสูงขึ้น หลอดเลือดอุดตัน เม็ดเลือดขาวนิวโทรฟิลต่ำ เหงื่อออกมาก นอนไม่หลับ การสั่น วิตกกังวล คลื่นไส้ หรืออาเจียน

ไม่ควรใช้ Olanzapine ในผู้ป่วยที่มีความไวต่อยาสูง หรือกับผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินเฉียบพลันชนิดมุมแคบ (narrow angle glaucoma) ไม่ควรใช้เพื่อรักษาโรคสมองเสื่อมที่สัมพันธ์กับโรคจิต (dementia-related psychosis) และ/หรือมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เนื่องจากสังเกตได้ว่ามีอัตราการตายและโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ไม่ควรใช้ในการรักษาด้วยโดปามีน อโกนิสต์ เพื่อรักษาอาการทางจิตในผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสัน

รายงานที่พบบ่อยที่สุด (พบในผู้ป่วยมากกว่าหรือเท่ากับ 1%) เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ olanzapine ในการทดลองทางคลินิค ได้แก่ อาการง่วงนอน น้ำหนักเพิ่ม เม็ดเลือดขาวอีโอสิโนฟิลสูง (eosinophilia) โปรแอคตินเพิ่มสูงขึ้น ระดับคลอเลสเตอรอล กลูโคส และไตรกลีเซอไรด์ ปัสสาวะมีกลูโคส มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น อาการเวียนศีรษะ อาการนั่งไม่ติดที่ อาการพาร์กินสัน ความผิดปกติทางการเคลื่อนไหว ภาวะความดันโลหิตต่ำ ภาวะพิษจากการกินยาต้านซึมเศร้า ภาวะขาดเอนไซม์ transaminase ในตับชั่วคราว (transient asymptomatic elevations of hepatic transaminases) ผื่นคัน ภาวะอ่อนแรง อาการอิดโรย และอาการบวมน้ำ

เกี่ยวกับลิลลี่

ลิลลี่ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนานวัตกรรมชั้นนำของโลก กำลังพัฒนาเภสัชภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการทดลองของห้องแล็บของบริษัทซึ่งมีอยู่ทั่วโลก และผ่านการร่วมมือกับองค์กรทางวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพื่อรองรับความต้องการด้านการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที ทั้งนี้ บริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองอินเดียนาโพลิส รัฐอินเดียน่า ท่านที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ www.lilly.com

P-LLY

ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ประกอบด้วยถ้อยความคาดการณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของ ยาฉีดที่ออกฤทธิ์นาน (Long-Acting Injection - LAI) Olanzapine และสะท้อนความเชื่อมั่นของลิลลี่ ณ ปัจจุบัน อย่างไรก็ดี เนื่องจากเวชภัณฑ์ยังอยู่ขั้นตอนการพัฒนา ย่อมมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอย่างยิ่งในระหว่างกระบวนการการพัฒนา การพัฒนาเชิงพาณิชย์ และการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการกำกับดูแล ดังนั้น ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะได้รับการอนุมัติเพิ่มเติมจากคณะกรรมาธิการกำกับดูแล นอกจากนี้ ไม่มีการรับประกันว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ต่อไป สำหรับการพิจารณาต่อไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมทั้งความเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่นๆ กรุณาตรวจสอบที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ลิลลี่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบปรับปรุงแถลงการณ์คาดการณ์เหล่านี้


(1) Maxine X. Patel and Anthony S. David. Why aren't depot antipsychotics prescribed more often and what can be done about it? Advances in Psychiatric Treatment (2005) 11: 203-211.
(2) Falkai P., Wobrock T., Lieberman J., Glenthoj B.,Gattaz W.F., Moller H.J. & Wfsbp Task Force On Treatment Guidelines For Schizophrenia. The World Journal of Biological Psychiatry, 2006; 7(1): 5/40
(3) Maxine X. Patel and Anthony S. David. Why aren't depot antipsychotics prescribed more often and what can be done about it? Advances in Psychiatric Treatment (2005) 11: 203-211.
(4) Kane J.M. et al. Guidelines for depot antipsychotic treatment in schizophrenia. European Neuropsychopharmacology, Volume 8, Number 1, 1 February 1998, pp. 55-66(12). p. 58.
(5) Maxine X. Patel and Anthony S. David. Why aren't depot antipsychotics prescribed more often and what can be done about it? Advances in Psychiatric Treatment (2005) 11: 203-211.
(6) American Psychiatric Association. Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders, fourth edition, 2000, pp. 298.

(โลโก้: http://www.newscom.com/cgi-bin/prnh/20031219/LLYLOGO)

แหล่งข่าว: อีไล ลิลลี่ แอนด์ คอมพานี


ติดต่อ: อีไล ลิลลี่ แอนด์ คอมพานี

ชาร์ลี แม็คเอที

โทรศัพท์: +1-317-997-1627

มือถือ: +1-317-277-1566

อีเมล: [email protected]

หรือ

เดวิด ชาฟเฟอร์

โทรศัพท์: +1-317-614-5106

มือถือ: +1-317-651-3710

อีเมล: [email protected]


รูปภาพ: นิวส์คอม: http://www.newscom.com/cgi-bin/prnh/20031219/LLYLOGO

พีอาร์เอ็น โฟโต้ เดสก์: [email protected]


--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net ) --