กรุงเทพฯ--1 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด ที่ระดับ “A-” ในขณะเดียวกันได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ “A” เท่าเดิม ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหาร ความสามารถในการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ภายใต้ระบบเครดิตบาลานซ์ ตลอดจนการบริหารสินทรัพย์ที่ดี และสภาพคล่องที่เพียงพอ นอกจากนี้ ยังสะท้อนแนวโน้มที่ดีของตลาดหลักทรัพย์ในระยะปานกลางซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัท แม้ว่าการลงทุนของบริษัทในตราสารทุนผ่านกองทุนรวมจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่สินทรัพย์ประเภทนี้ก็มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าตามการซื้อขายในตลาด ดังนั้นจึงอาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทมีความผันผวนตามไปด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ตั้งอยู่บนความคาดหวังว่า บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์จะสามารถดำรงความเป็นผู้นำในธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เอาไว้ได้ อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ในขณะที่ยังคงขยายสินเชื่อต่อไป และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ดีต่อไปโดยที่บริษัทยังคงนโยบายการอนุมัติสินเชื่อและการติดตามผลที่ระมัดระวัง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์เป็นผู้ประกอบการรายเดียวในประเทศที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ รวมถึงการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อโดยจำนำหลักทรัพย์ และการขายหลักทรัพย์โดยมีสัญญาว่าจะซื้อคืน ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มสูงขึ้นในปี 2546 บริษัทได้กลายเป็นผู้นำในธุรกิจการให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 22% ในปี 2546 และเพิ่มเป็น 32% ในปี 2547 เป็น 29% ในปี 2548 แต่ลดลงเป็น 25% ในปี 2549 และ 26% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ปัจจุบันเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เกือบทั้งหมดของบริษัทได้รับการจัดชั้นปกติ
ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหาร ตลอดจนความต่อเนื่องในการพัฒนาระบบควบคุมความเสี่ยงซึ่งนอกจากจะทำให้ บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์รักษาความเป็นผู้นำในการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์แล้ว บริษัทยังมีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีผลกำไรที่เติบโตอย่างรวดเร็วจาก 130 ล้านบาทในปี 2543 เป็น 242 ล้านบาทในปี 2547 ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่ฟื้นตัวเป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 2546 ส่งผลให้บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงสามารถเปิดให้บริการสินเชื่อเพื่อซื้อหุ้นที่เสนอขายแก่กรรมการและพนักงานของบริษัทต่างๆ (ESOP) และให้บริการทางการเงินอื่นๆ ที่มีรายได้เป็นค่าธรรมเนียมด้วย ซึ่งทำให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังให้บริการธุรกรรมใหม่อื่นๆ อีก เช่น การค้ำประกันกองทุนรวม และการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) ทว่าบริษัทต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งในการสร้างรายได้จากธุรกรรมดังกล่าว บริษัทรายงานผลกำไรที่ลดลงเหลือ 165 ล้านบาทในปี 2548 แต่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 295 ล้านบาทในปี 2549 และ 339 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 17.07% และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1.78% (ยังไม่ได้ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปี) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า สัดส่วนสภาพคล่องของ บล. เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์อยู่ในระดับที่เพียงพอ โดยบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแหล่งเงินทุนต่างๆ อย่างต่อเนื่องแม้ว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอ่อนแอลงจากการขยายตัวที่รวดเร็วของสินทรัพย์ แต่บริษัทยังมีเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจในระดับปกติ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเติบโต 21% เป็น 2,174 ล้านบาท จาก 1,793 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2549 โดยมีอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 10.34% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2550 จาก 10.56% ณ สิ้นปี 2549
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit