กรุงเทพฯ--14 มี.ค.--บมจ.พีเออี
บมจ.พีเออี (ประเทศไทย) ควงพันธมิตรชั้นนำระดับโลก รุกธุรกิจงานวิศวกรรมและก่อสร้างอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เชื่อความเชี่ยวชาญระดับโลกของ GPS หนุนการดำเนินธุรกิจแข็งแกร่ง คาดรายได้ปี 51 โตกว่า 200% นายศุขสนั่น โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PAE เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปี 2551 หลังจากที่มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ GLOBAL PROCESS SYSTEMS INC.(GPS) ที่เข้ามาเป็น Strategic Partner นั้นมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจาก GPS เป็นบริษัทที่มีความชำนาญทางด้านวิศวกรรมและก่อสร้างอุปกรณ์การผลิตในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากตะวันออกกลาง ซึ่งดำเนินธุรกิจในทิศทางเดียวกับที่ PAE ดำเนินการอยู่ โดยมีเทคโนโลยีความสามารถในการออกแบบและโครงสร้างที่สมบูรณ์ซึ่ง PAE ไม่มี โดยแผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ไป PAE จะหันไปเน้นงานด้านวิศวกรรมในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติให้เป็นธุรกิจหลัก ซึ่งตั้งเป้าหมายรับงานในแถบตะวันออกกลางตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป โดยเบื้องต้นบริษัทฯตั้งเป้ารายได้ปี 51 ที่ 800-1,000 ล้านบาท หลังจากที่ PAE ได้ร่วมดำเนินธุรกิจกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก ทำให้บริษัทฯสามารถรับงานวิศวกรรมและก่อสร้างอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ๆได้ดีกว่าที่ผ่านมา ดังนั้น สัดส่วนรายได้ปี 51 จะมาจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 200 ล้านบาท ธุรกิจด้านงานประกอบและติดตั้งชิ้นงานโลหะ ( Fabrication.& Erection) 200 ล้านบาท ธุรกิจก่อสร้าง 150 ล้านบาท ธุรกิจด้านการตรวจสอบพื้นที่ทำลายในอุตสาหกรรม หรือ NDT 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจาก กลุ่มธุรกิจใหม่ประมาณ 150 ล้านบาท จากความคาดหวังที่จะได้งานดังกล่าวทำให้มั่นใจว่าผลประกอบการปี 51 น่าจะพลิกเป็นกำไรได้ "การร่วมมือกับบริษัทชั้นนำอย่าง GPS ทำให้ PAE ขยายงานและมีความสามารถทางด้านวิศวกรรมมากขึ้น ประกอบกับ GPS เองมีงานในมืออยู่แล้วทั้งตะวันออกกลาง มาเลเซีย สิงคโปร์อินโดนีเซีย ซึ่งมีความต้องการของธุรกิจนี้อยู่มากและด้วยศักยภาพในการก่อสร้างเพิ่มเติมทำให้เรามีโอกาสในการส่งเสริมความเข้มแข็งกับพันธมิตรที่ดีมาก" นายศุขสนั่นกล่าว นายศุขสนั่น กล่าวอีกว่า โครงการการบริหารจัดการของ PAE หลังจากมีพันธมิตรใหม่นั้น ทีมงานบริหารได้มีการพัฒนาโดยการเพิ่มส่วนของการออกแบบ (E&I) การจัดระบบคุณภาพ (QA) ฝ่ายพัฒนาธุรกิจด้าน Oil & Gas และ Project ทางด้าน Proposal สำหรับเตรียมงาน Bid ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ครบวงจรตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี “ในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท GPS ได้เติบโตและสร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และสร้างความแข็งแกร่งอย่างน่าจับตามอง นอกเหนือจากจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายงานด้านวิศวกรรมให้กับ PAE แล้วความร่วมมือครั้งนี้จะทำช่วยให้ลูกค้าของ PAE ได้รับการสนับสนุนด้านเทคนิค เสริมประสิทธิภาพการให้บริการในทุกๆด้านเพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงตรงตามเป้าหมายต่อไป” นายศุขสนั่น กล่าว สำหรับฐานะทางการเงินของ PAE ดีขึ้น จากการที่มีการเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาเพิ่มทุนในบริษัทมีผลให้บริษัทมีฐานะการเงินดีขึ้นและกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาก็เป็นกลุ่มอัลจาบาร์ กับอาบูดาบี มีกำลังทางด้านการเงินดีมาก ซึ่งในอนาคตบริษัทคงรับงานต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะเป็นงานในลักษณะโปรเจ็คต์ต่อโปรเจ็คต์ โดยจะเน้นรับงานเอกชนเป็นหลัก ทั้งนี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ภายหลังการเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้แก่ GPS (จำนวน 100,537,500 หุ้น) ทุนจดทะเบียนเปลี่ยนเป็น 675,037,500 หุ้น โดย GPS ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง สัดส่วน 29.78% และหลังการใช้สิทธิ์วอแรนต์เป็นหุ้นสามัญจำนวน 254,363,362 หน่วย ทุนจดทะเบียนเปลี่ยนเป็น 929,401,362 หุ้น GPS ก็จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 49% "ปัจจุบัน GPS ถือหุ้นอยู่ 17.50% หลังจากที่บริษัทเพิ่มทุนออกหุ้นสามัญขายให้กลุ่ม GPS กว่า 100 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.10 บาท GPS จะเพิ่มเป็นถือ 29.78% ซึ่งราคา 1.10 บาท/หุ้นนั้นถือว่าสูงกว่าราคาในกระดาน เพราะตอนที่เริ่มผมคุยกับพันธมิตรราคาหุ้นเทรดอยู่แถว 0.92 บาท แต่พอปัจจุบันหลังจากที่ข่าวออกมาราคาก็ขยับขึ้นไปแต่จริงๆ แล้วในช่วงที่ผมมารับหน้าที่เจรจาราคายังอยู่ต่ำกว่า 1 บาท หรือใกล้ 1 บาท หลังจากนั้นราคาก็ได้ปรับขึ้นมา"นายศุขสนั่นกล่าว นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ PAE ยังกล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยว่า ธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีความเติบโตสูงเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจงานวิศวกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมผลิตแท่นขุดเจาะมีแนวโน้มการเติบโตสูง มีผลให้ธุรกิจพลังงานมีทิศทางที่ดีต่อการ ลงทุน ด้านนายคลินท์ เอลการ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GLOBAL PROCESS SYSTEMS INC.(GPS) กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการขยายขอบข่ายธุรกิจครั้งสำคัญของกลุ่ม GPS ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งได้มากยิ่งขึ้นในตลาดระดับประเทศ และตลาดโลก ด้วยประวัติอันยาวนานและจุดแข็งของบริษัท PAE ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ GPS ซึ่งทำให้เราสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบ โดยรวมเอาความแข็งแกร่งในทุกๆ ด้านมาให้บริการในตลาดในประเทศไทยและที่ประเทศอื่นๆที่ทาง GPS ได้ไปลงทุน สำหรับ GPS มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งอีกหลายแห่งในภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียแปซิฟิค ในแถบประเทศตะวันออกไกลนั้น กลุ่มจีพีเอสมีโรงงานผลิตประกอบอยู่ในประเทศสิงคโปร์และเมืองบาตัม ประเทศอินโดนีเซีย และมีสำนักงานธุรกิจวิศวกรรมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย “ความร่วมมือครั้งล่าสุดกับ PAE ทำให้งานธุรกิจวิศวกรรมขยายตัวสู่กรุงเทพฯ นอกเหนือจากโรงงานผลิตต่างๆ ในระยองทางด้านตะวันออกแล้ว ก็ยังมีอีกแห่งที่สงขลาทางภาคใต้ของประเทศไทย นอกจากนี้ ยังถือว่ากลุ่มบริษัทได้เพิ่มจำนวนวิศวกรคุณภาพและเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคให้มาทำงานเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคนี้” นายคลินท์กล่าว นายคลินท์ยังกล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติโลกว่า อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจะมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 10 ปีเพราะประเทศแถบแคสเบี้ยนและแอฟริกาตะวันตกอยู่ในช่วงเริ่มพัฒนาแหล่งทรัพยากร นอกจากนั้นยังมีทรัพยากรอื่นๆที่ปัจจุบันกลับมามีศักยภาพด้านเศรษฐกิจ ทำให้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติมีคุณค่าราคาและความเป็นไปได้ในการพัฒนา ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจงานวิศวกรรมที่เกี่ยวเนื่องมีแนวโน้มเติบโตสูงตาม ขอขอบคุณในการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: คุณปาณิสรา พรมหาญ (กล้วย) 084-695-1949, 02-663-3226 ต่อ 62
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit