กรุงเทพฯ--10 พ.ย.--เจดี พาร์ทเนอร์
เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ ระบุรายได้ไตรมาส 3/2549 ชะลอตัวเป็นปกติของทุกปี เนื่องจากความล่าช้าของงานก่อสร้างในช่วงฤดูฝน เป็นเหตุให้รายได้ยอดโอนบ้านและการรับจ้างก่อสร้างลดลง ประกอบกับมียอดโอนทาวน์เฮ้าส์ที่มีกำไรขั้นต้นน้อยกว่าบ้านเดี่ยวเข้ามามาก แต่มั่นใจปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันและดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง จะช่วยให้ไตรมาส 4 ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อลูกค้าบ้านกลับมาดีขึ้น
นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2549 ว่า บริษัทฯ มีรายได้สุทธิ 211.15 ล้านบาท ลดลง 6.70 ล้านบาท หรือ 3.08% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2548 ซึ่งมีรายได้สุทธิ 217.85 ล้านบาท และลดลง 39.47 ล้านบาท หรือ 15.75% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2549 ซึ่งมีรายได้รวม 250.62 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3 เป็นช่วงฤดูฝน และในปีนี้มีฝนตกชุกกว่าปีก่อน จึงกระทบงานก่อสร้างบ้านให้ล่าช้าออกไป ส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้จากยอดโอนบ้านและการรับจ้างก่อสร้างลดลง ประกอบกับยอดโอนบ้านที่เข้ามาในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์ที่มีกำไรขั้นต้นน้อยกว่าบ้านเดี่ยว และมีต้นทุนวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ในปี 2549 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น และใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ จึงเป็นเหตุให้มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2549 เพิ่มสูงขึ้น มาอยู่ที่ 12.77 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3 นี้ ลดลงมาอยู่ที่ 20.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.02 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีการกู้เงินเพิ่มมากขึ้น บริษัทยังคงรักษาอัตราหนี้สินต่อทุนที่ระดับ 1 : 1 ได้
ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับประมาณ 40% ได้ในไตรมาส 3 เนื่องจากการโครงการทั้งหมดของบริษัทตั้งอยู่บนทำเลด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเทพฯ และใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้ง มีการควบคุมต้นทุนและคุณภาพการก่อสร้างที่ได้คุณภาพ โดยมีทีมช่างประจำที่มีประสบการณ์ในการรับงานของบริษัท จึงทำให้มีความเชี่ยวชาญในการก่อสร้าง พบปัญหาความเสียหายของวัสดุ และเกิดความผิดพลาดจากการก่อสร้างน้อย ประกอบกับด้วยพื้นที่ตั้งโครงการทั้งหมดอยู่บริเวณเดียวกัน บริษัทจึงควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างได้ดี
“ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเริ่มคงที่และมีแนวโน้มลดลงในอนาคต ประกอบกับสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ที่มีทิศทางดีขึ้น บริษัทเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่จะกระตุ้นความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาได้ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยปัจจุบัน บริษัทมีโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่อยู่ระหว่างดำเนินการทั้งหมด 20 โครงการ ซึ่งสามารถดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องได้ถึง 3-5 ปี ข้างหน้า แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 14 โครงการ ระดับราคาตั้งแต่ 1.5 ล้าน – มากกว่า 10 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 5 โครงการ ระดับราคา 0.8 – 1.2 ล้านบาท และที่ดินจัดสรรเพื่อแบ่งขาย 1 โครงการ ราคาประมาณ 1.2 ล้านบาท และในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดรับรู้รายได้รวมทั้งสิ้น 707.70 ล้านบาท” นายอภิสิทธิ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท เจดี พาร์ทเนอร์ จำกัด
โทร (02) 661-8803-5 โทรสาร (02) 661-8813
E-mail : [email protected]
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit