รายงานสถานการณ์อุทกภัย สภาวะอากาศ ปริมาณน้ำฝน และสภาพน้ำท่า วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 เวลา 07.00 น.

07 Nov 2006

กรุงเทพฯ--7 พ.ย.--ปภ.

1. ระหว่างวันที่ 27-31 สิงหาคม 2549 วันที่ 9-12 กันยายน 2549 และวันที่ 18-23 กันยายน 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง พายุดีเปรสชั่นเคลื่อนตัวผ่าน (24-25 ก.ย.49) และพายุดีเปรสชั่น “ช้างสาร” (1-3 ต.ค.49) ทำให้มีฝนตกหนักมากในพื้นที่ ระดับน้ำในแม่น้ำมีปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ลุ่มริมฝั่งของลำน้ำหลายพื้นที่

1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 388 อำเภอ 32 กิ่งอำเภอ 2,578 ตำบล 15,459 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 4,220,329 คน 1,191,934 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม นครนายก ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และกรุงเทพมหานคร

1.2 ความเสียหาย

1) ผู้เสียชีวิต 211 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 38 คน พิจิตร 23 คน สิงห์บุรี 18 คน อ่างทอง 15 คน สุโขทัย 14 คน พิษณุโลก 12 คน นครสวรรค์ 12 คน ปราจีนบุรี 11 คน ชัยภูมิ 10 คน ยโสธร 9 คน ชัยนาท 8 คน เชียงใหม่ 7 คน อุทัยธานี 7 คน ปทุมธานี 6 คน สุพรรณบุรี 4 คน แม่ฮ่องสอน 3 คน ลำปาง 3 คน จันทบุรี 3 คน ลพบุรี 2 คน ร้อยเอ็ด 2 คน กรุงเทพมหานคร 2 คน เพชรบูรณ์ 1 คน และพังงา 1 คน (จากเดิม 207 คน เพิ่มเป็น 211 คน)

2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 10,336 หลัง ถนน 6,978 สาย สะพาน 479 แห่ง ท่อระบายน้ำ 396 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 547 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 3,388,995 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 40,249 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,336 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 6,270,626,360 บาท

2. พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด

3. ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม และกรุงเทพมหานคร จำนวน 70 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 13 เขต ราษฎรเดือดร้อน 1,180,926 คน 378,419 ครัวเรือน แยกเป็น

3.1 จังหวัดพิษณุโลก ในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ (7 ตำบล) และอำเภอพรหมพิราม (2 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 ม.

3.2 จังหวัดพิจิตร ในพื้นที่ 6 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอวชิรบารมี (3 ตำบล) อำเภอสามง่าม (3 ตำบล) อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (4 ตำบล) อำเภอโพทะเล (8 ตำบล) อำเภอบางมูลนาก (3 ตำบล) และ กิ่งอำเภอบึงนาราง (2 ตำบล) มีระดับลดลงอย่างต่อเนื่อง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.45 ม. และ น้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ดังกล่าวเน่าเสีย และส่งกลิ่นเหม็น

3.3 จังหวัดนครสวรรค์ ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอชุมแสง (9 ตำบล) และอำเภอเก้าเลี้ยว (1 ตำบล) และพื้นที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอโกรกพระ (7 ตำบล) อำเภอพยุหะคีรี (5 ตำบล) และอำเภอท่าตะโก (3 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.50 ม.

3.4 จังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่ที่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง ของอำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.10-0.25 ม.

3.5 จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (5 ตำบล) อำเภอมโนรมย์ (4 ตำบล) อำเภอวัดสิงห์ (7 ตำบล) และอำเภอสรรพยา (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.30-0.70 ม. สำหรับพื้นที่เศรษฐกิจในตัวเมืองชัยนาท สถานการณ์ได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

3.6 จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎร์ที่ติดกับริมแม่น้ำลพบุรีของอำเภอเมืองฯ (8 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.20-0.30 ม. และพื้นที่การเกษตรของอำเภอท่าวุ้ง (6 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม.

3.7 จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอนพุด (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.65-1.00 ม. และอำเภอหนองแซง (1 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.45 ม.

3.8 จังหวัดสิงห์บุรี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภออินทร์บุรี อำเภอพรหมบุรี อำเภอท่าช้าง อำเภอบางระจัน และอำเภอค่ายบางระจัน ระดับน้ำสูง 0.40-1.50 ม.

3.9 จังหวัดอ่างทอง ในพื้นที่ 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอป่าโมก อำเภอไชโย ระดับน้ำสูง 0.40-1.30 ม. ส่วนที่อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอโพธิ์ทอง และอำเภอสามโก้ (4 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.40-1.00 ม.

3.10 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในพื้นที่ 16 อำเภอ 3 เทศบาล ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยาอำเภอบางบาล อำเภอบางไทร อำเภอผักไห่ อำเภอเสนา อำเภอมหาราช อำเภอท่าเรือ อำเภอนครหลวง อำเภอบางปะหัน อำเภอบางปะอิน อำเภอบ้านแพรก อำเภอภาชี อำเภอลาดบัวหลวง อำเภอวังน้อย อำเภออุทัย อำเภอบางซ้าย เทศบาลเมืองเสนา เทศบาลเมืองอโยธยา และเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำสูง 0.20-1.40 ม.

3.11 จังหวัดสุพรรณบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของจังหวัด เนื่องจากน้ำที่ท่วมจังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง ไหลหลากเข้าทุ่งทำให้ท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.45-0.65 ม. อำเภอบางปลาม้า (7 ตำบล) ระดับน้ำสูง 0.90-1.50 ม. และอำเภอสองพี่น้อง ระดับน้ำสูง 1.00-2.00 ม. สำหรับในเขตเทศบาลเมืองได้สูบน้ำออกเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว

3.12 จังหวัดนครปฐม น้ำที่ระบายจากคลองพระยาบรรลือ คลองพระพิมล คลองบางเลน ไหลเอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางเลน (15 ตำบล) เทศบาลตำบลบางหลวง เทศบาลตำบลลำพญา เทศบาลตำบลบางภาษี และเทศบาลตำบลบางเลน ระดับน้ำสูง 1.10-1.70 ม. แนวโน้มเพิ่มขึ้นอำเภอนครชัยศรี (14 ตำบล) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-0.60 ม. และอำเภอพุทธมณฑล (3 ตำบล) น้ำท่วมชุมชนริมคลองมหาสวัสดิ์ ริมคลองโยง และริมคลองทวีวัฒนา ระดับน้ำสูง 0.55-0.75 ม.

3.13 จังหวัดปทุมธานี ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูง 0.40-0.50 ม. อำเภอสามโคก และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูง 0.50-1.00 ม. เนื่องจากเป็นพื้นที่รับน้ำจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สำหรับอำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี และอำเภอลำลูกกา ระดับน้ำสูง 0.20-0.50 ม.

3.14 จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำของอำเภอปากเกร็ด และอำเภอเมืองฯ ระดับน้ำสูง 0.40-0.60 ม. ส่วนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของกรมชลประทานจากทุ่งเจ้าเจ็ดผ่านคลองพระยาบรรลือ และคลองพระพิมลทำให้มีพื้นที่น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกรวย อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูง 0.50-1.80 ม.

3.15 กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำในเขตทุ่งฝั่งตะวันออกมีมาก ทำให้มีน้ำท่วมขัง 2 เขต ได้แก่ เขตลาดกระบัง (13 ชุมชน) เขตคลองสามวา (5 ชุมชน) ระดับน้ำเฉลี่ยสูงประมาณ 0.05-0.50 ม. และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน

4. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 เวลา 06.00 น.

ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นและมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ส่วนบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในระยะ 2-3 วันนี้

5. ปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 01.00 น วันที่ 6 พ.ย.49 ถึง 01.00 น วันที่ 7 พ.ย.49 วัดได้ ดังนี้ จังหวัดตรัง

(ท่าอากาศยานตรัง)

20.7 มม.

จังหวัดปัตตานี

(อ.เมือง)

3.3 มม.

6. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 6 พ.ย.49) โดยกรมชลประทาน

  • เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 13,272 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 190 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 17.80 ล้าน ลบ.ม.
  • เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 9,440 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 70 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 99 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 15.00 ล้าน ลบ.ม.
  • เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำในอ่าง ฯ 916 ล้าน ลบ.ม. (รับได้อีก 44 ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 95 ของความจุอ่าง ฯ ทั้งหมด วันนี้มีการระบาย 0.87 ล้าน ลบ.ม.

7. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ข้อมูลวันที่ 6 พ.ย.49 โดยกรมชลประทาน)

  • ปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำสูงสุด 5,960 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. เริ่มลดลงในวันที่ 19 ตุลาคม 2549 และลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 2,657 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท มีปริมาณน้ำสูงสุด 4,188 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น. ปริมาณน้ำทรงตัวและเริ่มลดลงเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2549 และลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนถึง วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 มีปริมาณน้ำไหลผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 2,730 ลบ.ม./วินาที เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำสูงสุด 3,719 ลบ.ม./วินาที เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ปริมาณน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 ปริมาณน้ำไหลผ่านอำเภอบางไทร 2,999 ลบ.ม./วินาที (เขื่อนพระรามหกหยุดการระบายน้ำ)

8. สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4,11,12 จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ที่คาดว่าจะเกิดภัยให้เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยจัดเจ้าหน้าที่อยู่เวรเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานงานกับ อำเภอ กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หากเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นในจังหวัดใด ให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต ฯ ที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนั้นจัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลเข้าสนับสนุนทันที

9. ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีสถานการณ์คืบหน้าประการใด จักได้ติดตามและรายงานให้ทราบต่อไป