กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ปภ.
1. ระหว่างวันที่ 27-31 สิงหาคม 2549 วันที่ 9-12 กันยายน 2549 และวันที่ 18-23 กันยายน 2549 ร่องความกดอากาศต่ำหรือร่องฝนกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง พายุดีเปรสชั่นเคลื่อนตัวผ่าน (24-25 ก.ย.49) และพายุดีเปรสชั่น “ช้างสาร” (1-3 ต.ค.49) ทำให้มีฝนตกหนักมากในพื้นที่ ระดับน้ำในแม่น้ำมีปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมในพื้นที่ลุ่มริมฝั่งของลำน้ำหลายพื้นที่
1.1 พื้นที่ประสบภัย รวม 47 จังหวัด 337 อำเภอ 24 กิ่งอำเภอ 2,216 ตำบล 13,261 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 3,681,518 คน 1,065,436 ครัวเรือน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม นครนายก ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ชัยภูมิ ขอนแก่น อุดรธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ร้อยเอ็ด ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พังงา และกรุงเทพมหานคร
1.2 ความเสียหาย
1) ผู้เสียชีวิต 159 คน จังหวัดเชียงใหม่ 8 คน จังหวัดแม่ฮ่องสอน 3 คน จังหวัดลำปาง 3 คน จังหวัดสุโขทัย 9 คน จังหวัดพิษณุโลก 12 คน จังหวัดนครสวรรค์ 12 คน จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 คน จังหวัดชัยนาท
2 คน จังหวัดสิงห์บุรี 15 คน จังหวัดอ่างทอง 12 คน จังหวัดพิจิตร 12 คน จังหวัดปราจีนบุรี 11 คน จังหวัดจันทบุรี 3 คน จังหวัดปทุมธานี 4 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 18 คน จังหวัดสุพรรณบุรี 4 คน จังหวัดชัยภูมิ 7 คน ยโสธร 9 คน ร้อยเอ็ด 2 คน จังหวัดลพบุรี 2 คน จังหวัดอุทัยธานี 7 คน จังหวัดพังงา 1 คน และ กรุงเทพมหานคร 2 คน
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง 54 หลัง เสียหายบางส่วน 9,137 หลัง ถนน
5,241 สาย สะพาน 326 แห่ง ท่อระบายน้ำ 396 แห่ง ทำนบ/ฝาย/เหมือง 508 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตร 3,007,431 ไร่ บ่อปลา/กุ้ง 35,152 บ่อ วัด/โรงเรียน 1,132 แห่ง ความเสียหายอื่น ๆ อยู่ระหว่างการสำรวจ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นเท่าที่สำรวจได้ ประมาณ 377,675,751 บาท (ไม่รวมทรัพย์สิน บ้านเรือน และความเสียหายด้านการเกษตร)
2. พื้นที่สถานการณ์อุทกภัยคลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด 3. ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร แยกเป็น
3.1 จังหวัดสุโขทัย ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่อำเภอกงไกรลาศ 2 ตำบล ได้แก่ ตำบลท่าฉนวน และตำบลกง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.30 ม.
3.2 จังหวัดพิษณุโลก น้ำในแม่น้ำยมยังคงสูงล้นตลิ่งเข้าท่วมที่ลุ่มต่ำ ในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางระกำ และอำเภอพรหมพิราม ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม.
3.3 จังหวัดพิจิตร น้ำในแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านยังคงสูงล้นตลิ่งเข้าท่วมที่ลุ่มต่ำในพื้นที่
7 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอวชิรบารมี อำเภอสามง่าม อำเภอโพธิ์ประทับช้าง อำเภอโพทะเล อำเภอตะพานหิน อำเภอบางมูลนาก และกิ่งอำเภอบึงนาราง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.4 จังหวัดนครสวรรค์ น้ำจากแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านยังคงสูงล้นตลิ่งเข้าท่วมขังในพื้นที่ริมน้ำในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอชุมแสง อำเภอเก้าเลี้ยว อำเภอโกรกพระ อำเภอพยุหะคีรี และ
อำเภอท่าตะโก ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-0.60 ม.
3.5 จังหวัดอุทัยธานี ยังคงมีน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรในพื้นที่ลุ่มในเขต อำเภอเมืองฯ และในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนในเขตเทศบาลเมืองฯ ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม.
3.6 จังหวัดชัยนาท มีน้ำท่วมใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสรรพยา และอำเภอหันคา ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-0.80 ม.
3.7 จังหวัดลพบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอบ้านหมี่ และอำเภอท่าวุ้ง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-0.40 ม. ระดับน้ำเริ่มลดลง
3.8 จังหวัดสระบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตร 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอดอนพุด อำเภอบ้านหมอ และอำเภอหนองแซง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.30 ม.
3.9 จังหวัดสิงห์บุรี มีน้ำท่วมขังบ้านเรือนราษฎรและพื้นที่การเกษตรใน 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภออินทร์บุรี อำเภอพรหมบุรี อำเภอท่าช้าง อำเภอบางระจัน และอำเภอค่ายบางระจัน ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.95 ม. ในอำเภอท่าช้าง ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น
3.10 จังหวัดอ่างทอง น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำใน 7 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอป่าโมก อำเภอไชโย อำเภอแสวงหา อำเภอวิเศษชัยชาญ อำเภอสามโก้ และอำเภอโพธิ์ทอง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.45 ม.
3.11 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำลพบุรีและแม่น้ำป่าสัก
มีระดับสูงเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นที่ลุ่มริมแม่น้ำในพื้นที่ 16 อำเภอ ได้แก่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอบางบาล อำเภอบางไทร อำเภอผักไห่ อำเภอเสนา อำเภอมหาราช อำเภอท่าเรือ อำเภอนครหลวง อำเภอบางประหัน อำเภอบางปะอิน อำเภอบ้านแพรก อำเภอภาชี อำเภอลาดบัวหลวง อำเภอวังหลวง อำเภออุทัย และอำเภอบางซ้าย มีระดับน้ำสูงประมาณ 0.20-1.75 ม.
3.12 จังหวัดสุพรรณบุรี น้ำในแม่น้ำท่าจีนและลำคลองสายหลักยังคงมีระดับสูงเนื่องจาก กรมชลประทานได้ผันน้ำเข้าทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก จึงทำให้น้ำที่ท่วมในพื้นที่ อำเภอเมืองฯ อำเภอบางปลาม้า และอำเภอสองพี่น้อง มีระดับสูงขึ้น ระดับน้ำสูงประมาณ 0.50-1.60 ม. ส่วนอีก 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอด่านช้าง อำเภอเดิมบางนางบวช อำเภอสามชุก และอำเภอศรีประจันต์ ระดับน้ำลดลง
3.13 จังหวัดปทุมธานี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองฯ อำเภอสามโคก อำเภอคลองหลวง อำเภอธัญบุรี อำเภอลำลูกกา และอำเภอลาดหลุมแก้ว ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30-1.00 ม.
3.14 จังหวัดนนทบุรี น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับสูงประกอบกับมีน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้มีน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ลุ่มต่ำ 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอปากเกร็ด อำเภอบางบัวทอง อำเภอบางกรวย อำเภอเมืองฯ
อำเภอบางใหญ่ และอำเภอไทรน้อย ระดับน้ำสูงประมาณ 0.40-1.70 ม.
3.15 กรุงเทพมหานคร ปริมาณน้ำในเขตทุ่งฝั่งตะวันออกมีมาก ทำให้มีน้ำท่วมขัง 5 เขต ได้แก่ เขตลาดกระบัง เขตมีนบุรี เขตหนองจอก เขตสายไหม และเขตคลองสามวา ระดับน้ำเฉลี่ยสูงประมาณ 0.30-0.70 ม. และพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ นอกแนวคันกั้นน้ำมีราษฎรเดือดร้อนใน 11 เขต 33 ชุมชน 2,111 ครัวเรือน
4. กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2549 เวลา 06.00 น.
ความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนแผ่ปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศา ส่งผลให้มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า สำหรับภาคใต้ยังคงได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้ อนึ่ง ผู้ที่จะเดินทางไปเกาะลูซอน ประเทศ พิลิปปินส์ ขอให้ตรวจสอบสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง เนื่องจากมีพายุไต้ฝุ่น “ซิมารอน” ปกคลุมบริเวณดังกล่าว
5. ปริมาณน้ำฝน ตั้งแต่ 01.00 น วันที่ 29 ต.ค.49 ถึง 01.00 น วันที่ 30 ต.ค.49 วัดได้ ดังนี้ จังหวัดชุมพร
(อ.สวี)
40.7 มม.
จังหวัดภูเก็ต
(อ.เมือง)
53.3 มม.
6. สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำ (ข้อมูลวันที่ 29 ต.ค.49) โดยกรมชลประทาน
7. ปริมาณน้ำเจ้าพระยาที่ทำให้เกิดอุทกภัยเปรียบเทียบปี 2538, 2545 และ 2549
ที่
ปริมาณน้ำไหลผ่าน
ปี 2538 ลบ.ม./วาที
ปี 2545 ลบ.ม./วินาที
ปี 2549 ลบ.ม./วินาที(30 ต.ค.49)
หมายเหตุ 1
นครสวรรค์
4,820
3,886
3,517
จังหวัดนครสวรรค์สูงสุดเมื่อ
วันที่ 18 ตุลาคม 2549
5,960 ลบ.ม./วินาที และลดลงอย่างต่อเนื่อง 2
เขื่อนเจ้าพระยา
4,557(5 ต.ค. 2538)
3,930(10 ต.ค. 2545) 3,450 (30 ต.ค. 2549)
3
เขื่อนพระรามหก
1,473
1,216
290
4
อำเภอบางไทร
5,451
4,288
3,115
หมายเหตุ ปริมาณน้ำที่ผ่านอำเภอบางไทร เมื่อ 30 ต.ค.49 จำนวน 3,115 ลบ.ม./วินาที เป็นตัวเลขการตรวจวัดจริง
8. สภาพน้ำท่าในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแนวโน้มสถานการณ์น้ำ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2549 โดยกรมชลประทาน)
เมื่อเวลา 06.00 น. และยังคงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
มีปริมาณน้ำเข้าทุ่งน้อยลงโดยลำดับมาจนถึงวันที่ 28 ตุลาคม 2549 มีปริมาณน้ำผันและล้นตลิ่งเข้าทุ่ง 481 ลบ.ม./วินาที รวมได้ส่งน้ำเข้าพื้นที่ชลประทาน 1.19 ล้านไร่ คิดเป็นปริมาตรน้ำทั้งหมด 514 ล้าน ลบ.ม.
9. สำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือนให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 4,11,12 และรวมทั้งจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ ที่คาดว่าจะเกิดภัยให้เตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ โดยจัดเจ้าหน้าที่อยู่เวร เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานงานกับ อำเภอ กิ่งอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หากเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นในจังหวัดใด ให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต ฯ ที่รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนั้นจัดเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักรกลเข้าสนับสนุนทันที
10 ศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากมีสถานการณ์คืบหน้าประการใด จักได้ติดตามและรายงานให้ทราบต่อไป
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit