ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เดินหน้าเข้าตลาด

08 Nov 2005

กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--กิมเอ็ง

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเปิดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 75 ล้านหุ้น ให้แก่ประชาชน ในระหว่างวันที่ 10 – 11 และ 14 พฤศจิกายน 2548 คาดว่าจะสามารถระดมทุนได้ประมาณ 465 ล้านบาท โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายชั้นนำรายอื่น ๆ อีก 5 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า “บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งบริษัทหนึ่ง ทั้งยังมีบริษัท ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยของบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นับเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตประกอบหลักทรัพย์ 4 ประเภท ได้แก่ การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน นอกจากนี้ยังได้รับความเห็นชอบให้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน และธุรกิจการเป็นตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน

บริษัทฯ มีความประสงค์ในการระดมทุนจากประชาชน โดยการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทจำนวน 75 ล้านหุ้น แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป 40.00% ผู้มีอุปการคุณ 33.33% และกรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ จำนวน 26.67% ซึ่งจะทำการเปิดจำหน่ายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ราคา 6.20 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ระดับราคาดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วน P/E ที่ประมาณ 9.7 เท่าของผลการดำเนินงาน 12 เดือนย้อนหลัง (ก.ค.47-มิ.ย.48) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีอัตราส่วน P/E เฉลี่ยประมาณ 17 เท่า น่าจะส่งผลให้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก ทั้งนี้บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปขยายธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ

ผลการดำเนินงานของบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีการเติบโตตามลำดับ โดยมีรายได้รวม 692.30 ล้านบาท กำไรสุทธิ 219.86 ล้านบาท ในปี 2547 และสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2548 มีรายได้ 333.49 ล้านบาท กำไร 107.07 ล้านบาท“

นายชัยพัชร์ นาคมณฑนาคุ้ม ประธานกรรมเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “บริษัทก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2541 เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย์ มหาสมุทร จำกัด เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมายเลข 26 โดยในปี 2543 บริษัท ยูไนเต็ด อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ได้เข้าร่วมลงทุนและเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ภายหลังจาก บริษัท ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด เข้าร่วมลงทุนทั้งหมด ต่อมาบริษัทฯ ได้ซื้อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายย่อยจากบริษัทหลักทรัพย์ บีเอ็นพี พาริบาส์ พีรีกรีน (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของบริษัทฯ การมี บริษัท ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสำนักงานในประเทศฮ่องกง ลอนดอน นิวยอร์ค จาการ์ต้า เซียงไฮ้ และมะนิลา เป็นบริษัทแม่ ประกอบกับการที่บริษัทฯ อยู่ในเครือของยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงค์ ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ นับเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าระหว่างประเทศได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจระหว่างกลุ่มบริษัทในเครือ และขยายฐานลูกค้าได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม

ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาในกรุงเทพฯ จำนวน 5 สาขา และสาขาต่างจังหวัด จำนวน 6 สาขา มีเจ้าหน้าที่การตลาด จำนวนประมาณ 174 คน บริษัทฯ มีเป้าหมายการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ชั้นนำด้วยการเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารายย่อยและลูกค้าสถาบันโดยอาศัยความสัมพันธ์ของการเป็นบริษัทในเครือ รวมทั้งพัฒนางานด้านวาณิชธนกิจให้ครบวงจร และพัฒนางานวิจัยให้ครอบคลุม 80-90% ของมูลค่าตลาด (Market Capitalization)”

ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 400 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้วทั้งสิ้น 250 ล้านบาท จะทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75 ล้านหุ้น โดยจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 10-11 และ 14 พฤศจิกายน 2548 และจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2548 โดยใช้ชื่อย่อว่า “UOBKH”

Company Profile

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

ประวัติบริษัท

บริษัทหลักทรัพย? ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) เดิมชื่อ บริษัทหลักทรัพย? มหาสมุทร จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2541 ด?วยทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 250 ล?นบาท การจัดตั้งบริษัทเป็นผลมาจากการแยกการประกอบธุรกิจเงินทุน และธุรกิจหลักทรัพย?ออกจากกันของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย? มหาสมุทร จำกัด ในปีเดียวกันบริษัทมีการรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักทรัพย์ รวมทั้งสมาชิกตลาดหลักทรัพย?แห่งประเทศไทยหมายเลข 26 จากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย? มหาสมุทร จำกัด และได?รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย?และตลาดหลักทรัพย? โดยเริ่มประกอบธุรกิจหลักทรัพย?ตั้งแต?นั้นเป็นต้นมา ในปี 2543 บริษัทหลักทรัพย? มหาสมุทร จำกัด จำหน่ายหุ้นให้ทาง ยูไนเต็ด อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มยูโอบี ที่ประเทศสิงคโปร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย? ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด และต่อมามีการรวมตัวกันทางธุรกิจระหว่างยูโอบี ซีเคียวริตี้ส์ และเคย์เฮียน โฮลดิ้ง เป็น ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ทำให้ในปี 2544 มีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่โดยยูไนเต็ด อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด ได้ขายหุ้นที่ถือทั้งหมดให้กับ ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ทำให้ ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ถือหุ?นในบริษัทร?อยละ 99.99 ของหุ?นที่จำหน?ยได้ทั้งหมด และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย? ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด หลังจากนั้นในปีเดียวกัน บริษัทได้ซื้อธุรกิจรายย่อยจากบริษัทหลักทรัพย์ บีเอ็นพี พาริบาส์ พีรีกรีน (ประเทศไทย) จำกัด โดยชำระเป็นเงินสดพร้อมทั้งรับโอนลูกหนี้และเจ้าหน้าที่การตลาดมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัท

ทั้งนี้ ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทแม่เป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในสิงคโปร์ มีสำนักงานในประเทศฮ่องกง ลอนดอน นิวยอร์ก จาการ์ต้า เซี่ยงไฮ้ และมะนิลา นอกจากนี้ ยังเป็นบริษัทในเครือของยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงค์ ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในสิงคโปร์ ที่มีสาขาในประเทศไทย คือ ธนาคารยูโอบี รัตนสิน จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) จากความสัมพันธ์และเครือข่ายที่กว้างขวางดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศได้อย่างกว้างขวาง

ประเภทธุรกิจ

บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ โดยได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ 4 ประเภท ได้แก่ การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การค้าหลักทรัพย์ การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และการเป็นที่ปรึกษาการลงทุน ทั้งนี้ บริษัทเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหมายเลข 26 นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และการเป็นตัวแทนสนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทเน้นธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก สำหรับธุรกิจวาณิชธนกิจ และบริการซื้อขายหน่วยลงทุนที่ผ่านมายังมีปริมาณธุรกรรมค่อนข้างน้อย โดยบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาธุรกิจดังกล่าวเพื่อสนับสนุนธุรกิจให้มีความหลากหลายและเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่งของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจวาณิชธนกิจซึ่งมีแนวโน้มจะพัฒนามากขึ้นเนื่องจากบริษัทได้รับความช่วยเหลือด้านความรู้รวมถึงการแนะนำและสร้างฐานลูกค้าจากบริษัทในกลุ่ม

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 บริษัทมีสำนักงานรวม 12 แห่ง โดยสำนักงานใหญ่ของบริษัทตั้งอยู่ที่ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 15 และชั้นที่ 19 อาคารสินธรทาวเวอร์ 1 และมีสำนักงานสาขาจำนวน 11 แห่ง ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 5 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 6 แห่ง ทั้งนี้บริษัทไม่มีบริษัทย่อย และ/หรือ บริษัทร่วม

วัตถุประสงค์ของการระดมทุน

เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้บริษัทจะนำไปใช้ขยายธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยการขยายสาขา 35 ล้านบาท พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ 40 ล้านบาท และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

จุดเด่นของบริษัท

1. มีทีมผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์ในธุรกิจหลักทรัพย์มานาน

2. มีเครือข่ายสนับสนุนทั้งในภูมิภาคและทั่วโลกผ่านทางบริษัทแม่ ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด บริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงที่สุดในสิงคโปร์ และยูไนเต็ด โอเวอร์ซีส์ แบงค์ ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในสิงคโปร์

3. มีทีมงานวิจัยที่เข้มแข็งที่มีมุมมองในระดับภูมิภาค

4. มีศักยภาพในธุรกิจวาณิชธนกิจผ่านการแนะนำของกลุ่มยูโอบี

5. มีฐานนักลงทุนรายย่อยที่เข้มแข็ง และความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ

กลยุทธ์การแข่งขัน

1. การใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์กับ ยูโอบี เคย์เฮียน โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด และ ยูโอบี กรุ๊ป ในการขยายฐานลูกค้า

บริษัทมีแผนขยายธุรกิจรายย่อยโดยใช้ความสัมพันธ์กับบริษัทในเครือ คือ ธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร ยูโอบี รัตนสิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีสาขาทั่วประเทศไทยในการขยายฐานลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มโครงการ Cross-Selling กับธนาคารยูโอบี รัตนสิน จำกัด (มหาชน) และธนาคารเอเชีย จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548 เพื่อแนะนำบริการการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทไปยังลูกค้าของธนาคารที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย โดยได้รับความร่วมมือจากธนาคารทั้งสองแห่งเป็นอย่างดี และตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 เป็นต้นมา เริ่มมีการแนะนำลูกค้าจากธนาคารทั้งสองธนาคารให้กับบริษัท ในส่วนของลูกค้าสถาบันบริษัทจะทำการขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่ายของกลุ่มยูโอบี ซึ่งมีอยู่ในตลาดทุนที่สำคัญทั้งในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่น เช่น ในประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย จีน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยจะมีการแนะนำบริการของบริษัทตามสัญญาการให้บริการ (Service Agreement)

2. การพัฒนางานด้านวาณิชธนกิจ

บริษัทมีแผนขยายงานด้านวาณิชธนกิจ เพื่อที่จะเสนอการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้าแต่ละรายตามความเหมาะสม ซึ่งการให้บริการทางการเงินจะครอบคลุม ตลาดตราสารหนี้ ตลาดตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ และ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น โดยร่วมมือกับ ยูโอบี เคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด ในการขยายฐานลูกค้า โดยจะทำงานร่วมกับทีมงานจาก ยูโอบี เคย์เฮียน ไพรเวท ลิมิเต็ด ตามสัญญาการให้บริการในการเสนอบริการการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในด้านต่าง ๆ เช่น การปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การควบรวมกิจการ การบริการในการนำบริษัทจดทะเบียนพบปะนักลงทุนต่างประเทศ (Roadshow) เป็นต้น

3. การให้ความสำคัญกับคุณค่าของทรัพยากรบุคคล

บริษัทให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาบุคลากร เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ คือ พนักงาน ดังนั้นบริษัทมีนโยบายที่จะดูแลพนักงานเป็นอย่างดีในเรื่องของผลตอบแทนภายใต้กรอบระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งบริษัทยังมีการสนับสนุนการฝึกอบรมพนักงานอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการสนับสนุนงานด้านวิชาการ งานวิจัย เครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่ลูกค้า และพนักงาน

4. คุณภาพของงานวิจัย

บริษัทให้ความสำคัญกับงานวิจัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเน้นการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพียงพอ และที่สำคัญข้อมูลที่ได้ต้องมีความทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่งานวิจัยที่มีคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายในอนาคตที่จะพัฒนางานวิจัยทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

5. การพัฒนาด้านเทคโนโลยี

บริษัทมีการลงทุนในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีเสถียรภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.หลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)

โทร. 02-658-6300 ต่อ 5180 , 7401 - 3--จบ--