กรุงเทพฯ--29 มี.ค.--บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย)
เข้าสู่รุ่นที่ 5 ซีรี่ส์ 3 ยังคงเป็นบรรทัดฐานหลักของเซกเมนต์อยู่ต่อไป จากการที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซีรี่ส์ 3 ใหม่นี้ ก้าวสู่ตลาดด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้าจำนวนมากมาย พัฒนาการที่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดในเรื่องของเครื่องยนต์และระบบกันสะเทือน และรวมถึงความสะดวกสบายในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
หากเรามองถึง ความเป็นมาของบีเอ็มดับเบิลยูแล้ว จะพบว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซี่รี่ส์ 3 นั้นมาพร้อมกับบุคลิกที่โดดเด่นที่สอดคล้องกับบุคลิกของแบรนด์อย่างที่สุด เพราะมาพร้อมกับการวางเครื่องยนต์ในแนวยาว กำลังเครื่องยนต์ที่ถูกส่งผ่านล้อหลัง การกระจายน้ำหนักแบบ 50/50 สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญของความปราดเปรียวของซีรี่ส์ 3
เทคโนโลยีระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบใหม่
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบดับเบิลจ๊อยที่พัฒนาขึ้นมาใน ซีรี่ส์ 3 นี้ ทำขึ้นมาจากอลูมิเนียมทั้งหมด ทำให้เกิดความสมดุลเพื่อการขับขี่ที่ไดนามิก และความนุ่มนวลขึ้นในเวลาเดียวกัน จุดแข็งอีกสองจุดยังได้แก่เรื่องของความยึดเกาะถนน และการลดเสียงในห้องโดยสารเป็นพิเศษขณะเข้าโค้ง แต่ถึงแม้ว่าจะมีน้ำหนักที่เบาลง แต่ว่าเพลาหน้าที่ทำจากอลูมิเนียมนี้ยังคงแข็ง และหนักแน่น เพิ่มการทรงตัวที่ดีได้อีกด้วย
สำหรับเพลงหลังนั้นเป็นแบบ 5 ก้าน โดยระบบนี้ถือเป็นหลักประกันที่ทำให้รถมีระดับความปราดเปรียวที่สูง มีแฮนด์ลิงก์ที่เร้าใจ และยังทำให้การควบคุมทิศทางเป็นไปได้อย่างแม่นยำและเพิ่มความนุ่มนวลขึ้นในการเข้าโค้งด้วย
การออกแบบที่โดดเด่นทำให้ซี่รี่ส์ 3 เป็นรถซาลูนที่ไดนามิก และสง่างาม
ในแง่ของการออกแบบแล้ว ซีรี่ส์ 3 ยังคงสะท้อนความทรงพลัง ความมั่นใจในตัวเอง ความไดนามิก และความสง่างามในรูปแบบของซาลูนแบบสปอร์ต ซีรี่ส์ 3 ใหม่นี้ ถือได้ว่าเป็นการออกแบบที่อยู่ตรงกลางระหว่างรูปแบบของ Z4 และซีรี่ส์ 1 ในด้านหนึ่ง กับความสง่างามที่มาจากซีรี่ส์ 5 และซี่รี่ส์ 7 ในอีกแง่มุนหนึ่ง โดยบุคลิกเหล่านี้ สะท้อนออกมาผ่านการที่มีโอเวอร์แฮงก์ส์สั้นทั้งหน้าและหลัง การมีทรงหลังคาห้องโดยสารที่โน้มไปด้านหลังของตัวรถ และการมีดีไซน์สัดส่วนของห้องเครื่องที่ยาวอีกด้วย
ขนาดที่ใหญ่ขึ้น
ซี่รี่ส์ 3 นี้ มีมิติที่ใหญ่ขึ้นทั้งจากด้านนอกและด้านใน ภายในจะดูกว้างขวาง ดูสว่างโล่ง ที่สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายของซีรี่ส์ 3 เอง ในแง่ของตัวเลขแล้ว ซีรี่ส์ 3 มีความยาวตัวโดยรวม 4.52 เมตร (49 มิลลิเมตรยาวกว่ารุ่นก่อนหน้า) ความกว้างตัวถังรวมอยู่ที่ 1.82 เมตร (กว้างกว่ารุ่นก่อน 78 มม.) ส่วนสูงอยู่ที่ 1.42 เมตร (สูงขึ้น 6 มิลลิเมตร) และมีฐานล้อที่กว้างที่สุดในเซกเมนต์ที่ 2.76 เมตร (ยาวขึ้นกว่ารุ่นก่อน 35 มิลลิเมตร)
นอกจากนี้พื้นที่บรรจุสัมภาระทางด้านหลังก็กว้างขวางขึ้นอีกด้วยและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์ มีความจุถึง 460 ลิตร
บีเอ็มดับเบิลยู ซี่รี่ส์ 3 นั้นมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของฐานล้อ โดยที่จะมีผลประโยชน์ต่อลูกค้าในแง่ที่มีห้องโดยสารด้านหลังกว้างขวางขึ้น และพื้นที่หน้าหัวเข่าของผู้นั่งหลังจะกว้างขึ้นอีก 50 เปอร์เซนต์ การเพิ่มสัดส่วนจากภายนอก มักจะหมายถึง พื้นที่ภายในที่มากขึ้นอีกมาก ปัจจุบันถือได้ว่า ซีรี่ส์ 3 นั้น กลายเป็นผู้นำเหนือรุ่นคู่แข่งอื่นๆ ในแง่ของความสะดวกสบายของผู้โดยสาร
การสร้างตัวถังที่เบาลง แกร่งขึ้น ปลอดภัยขึ้น
แม้ว่าตัวถังของซีรี่ส์ 3 จะแกร่งขึ้นและแข็งขึ้น แต่ว่ามีน้ำหนักเบาลงกว่าแต่เดิม สำหรับการสร้างตัวถังน้ำหนักเบาของบีเอ็มดับเบิลยู มีพื้นฐานจากการเสริมความแข็งแรงของเหล็กและเทคโนโลยีการฟอร์มรูปทรงของโลหะเข้ามาช่วย และการสร้างโครงสร้างของตัวถังในการรับน้ำหนักนั้น ก็ทำให้รถมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นประมาณร้อยละ 25 แต่กระนั้นไม่ทำให้น้ำหนักโดยรวมของตัวรถหนักเกินกว่าระดับน้ำหนักของรถยนต์รุ่นเดิม
สองเครื่องยนต์สำหรับการเปิดตัวในตลาดไทย
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ใหม่นั้นเข้าสู่ตลาดเมืองไทยด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2 ขนาด โดยเครื่องยนต์ เหล่านี้ ให้กำลังการขับเคลื่อนสูงกว่าเดิม มีสมรรถนะที่ดีกว่า มีการทำงานที่เรียบมากขึ้น และประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย โดยแต่ละเครื่องยนต์นั้นต่างก็มีไฮไลท์เป็นของตนเอง
320i กับเครื่องยนต์ 4 สูบ
สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู 320i นั้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบที่ทรงพลังที่สุดในเซกเมนต์ มองในแง่ของตัวเลขและสถิติแล้ว จะพบว่าเครื่อง 4 สูง ในรุ่นนี้ จะมีกำลังมากกว่า 318i ในรุ่นที่แล้วอยู่ 5 กิโลวัตต์ หรือเกือบ 7 แรงม้า
โดยเครื่องยนต์นี้มาพร้อมกับเทคโนโลยีวาล์วโทรนิก และ ดับเบิลวานอส ที่ปรับองศาเพลาลูกเบี้ยวแบบผันแปรตลอดเวลา สามารถสร้างกำลังสูสุดได้ถึง 110 กิโลวัตต์ หรือ 150 แรงม้า ณ 6,200 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุดถึง 200 นิวตันเมตร ณ 3,600 รอบต่อนาที โดยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นสามารถทำได้ภายในเวลาเพียงแค่ 9 วินาที และทำให้รถยนต์มีความเร็วสูงสุดได้ถึง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน วัดตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปแล้วได้ 7.4 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร โดยการเพิ่มสมรรถนะให้มากเกินกว่าเครื่องยนต์ตัวเก่านั้นมีรากฐานมาจากความละเอียดในการออกแบบช่องไอดีและไอเสีย
เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร ที่มีเสื้อสูบทำจากแมกนีเซียม
เครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียงตัวใหม่นี้ สร้างกำลังสูงสุดได้ถึง 190 กิโลวัตต์ และ 258 แรงม้า ที่ทำได้เหนือกว่าเครื่องยนต์ตัวเก่าถึง 39 แรงม้า และสามารถสร้างแรงบิดสูงสุดที่ 300 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์ต่อเนื่องตั้งแต่ 2,500 ถึง 4,000 รอบต่อนาที จึงจัดได้ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุด และเบาที่สุดในบรรดาเครื่องยนต์ 6 สูบด้วยกัน
ในการลดน้ำหนักของเครื่องยนต์จากเดิมให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น บีเอ็มดับเบิลยู ได้ใช้แมกนีเซียมเป็นครั้งแรกในการผลิตรถยนต์รุ่นผลิตเพื่อจำหน่าย โดยน้ำหนักของเครื่องยนต์นั้น จะน้อยลงถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเครื่องที่จะทำจากอลูมิเนียม โดยทั้งเสื้อสูบ ลูกปืนเพลาข้อเหวี่ยง และตัวครอบหัวลูกสูบนั้นก็จะถูกทำมาจากวัสดุโลหะที่มีความเบาเป็นพิเศษอีกด้วย
นอกไปจากนี้ เครื่องยนต์ 6 สูบนี้ก็จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีวาล์วโทรนิกที่จะควบคุมเวลาการเปิดและระยะยกของวาล์วได้อย่างแม่นยำตามตำแหน่งของคันเร่ง ผลของเทคโนโลยีนี้คือ การฉีดน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และมีอัตราการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ว่องไวกว่าก่อน
เทคโนโลยีวาล์วโทรนิกนี้ จะทำงานร่วมกันกับเทคโนโลยี ดับเบิล วานอส ที่จะคอยปรับระยะเวลาการเปิดปิดของวาล์วไอดีและไอเสียอย่างเหมาะสม สำหรับอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงของรุ่น 330i นี้ จะทำได้ภายในเวลาเพียงแค่ 6.6 วินาที โดยสร้างความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม ต่อชั่วโมง และอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน วัดตามมาตรฐานของสหภาพยุโรปอยู่ที่ 9.0 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร
เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ในทุกๆ รุ่น
เครื่องยนต์ที่ดีที่สุด และทรงพลังที่สุดก็ยังจำเป็นต้องมีระบบส่งกำลังที่สำคัญที่สุด เพื่อที่จะทำให้รถคันหนึ่งๆ เป็นรถที่มีสมรรถนะสปอร์ตอย่างแท้จริง และด้วยธรรมเนียมแล้ว บีเอ็มดับเบิลยูถือเป็นผู้นำในเรื่องของเทคโนโลยีระบบส่งกำลัง เช่นเดียวกัน ในซีรี่ส์ 3 นี้ ก็จะมาพร้อมกันกับระบบส่งกำลังอัตโนมัติแบบหกสปีด ที่มีสเตปโทรนิกในทุกๆ รุ่น โดยการทำงานของระบบส่งกำลังนี้จะทำให้ ได้รับความสะดวกสบายในการควบคุม และมีความแม่นยำสูงกว่าเดิม ในขณะที่มีเสียงรบกวนน้อย และมีประสิทธิภาพในการเผาไหม้น้ำมันสูงขึ้น
จากการเพิ่มเกียร์อีกหนึ่งสเตป และการมีอัตราทดเกียร์ที่ชิดกันมากขึ้น และการที่มีช่วงห่างระหว่างเกียร์ต่ำสุดกับเกียร์สูงสุดที่กว้างขึ้น ทำให้ผู้ขับขี่สามารถที่จะเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำ นุ่มนวล และทำให้รถยนต์มีกำลังฉุดได้อย่างเหมาะสมตามต้องการ นี่คือสิ่งที่ทำให้การออกตัวด้วยเกียร์หนึ่งนั้นมี พละกำลังได้มากขึ้น มีแรงฉุดที่ดีขึ้น โดยรวมแล้ว ซีรี่ส์ 3 จึงเป็นรถไดนามิก มีอัตราเร่งที่ดีขึ้น และเร็วขึ้น และมีความเร็วสูงสุดมากกว่าเดิม แต่ขณะเดียวกันก็มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำลงด้วย
ระบบปรับอัตราทดพวงมาลัยผันแปรตามความเร็ว หรือ Active Steering หนึ่งเดียวในเซกเมนต์
เป็นครั้งแรกในแซกเมนต์นี้ ที่ลูกค้าสามารถที่จะเป็นเจ้าของระบบพวงบังคับเลี้ยวที่มีอัตราทดผันแปรตามความเร็วหรือ Active Steering ได้ในรุ่น 330i ในตลาดประเทศไทย โดยประโยชน์หลักที่ได้จากระบบ Active Steering นี้คือการที่มีอัตราทดพวงมาลัยที่แม่นยำยิ่งขึ้นในช่วงที่รถมีความเร็วต่ำ และจะมีอัตราทดพวงมาลัยผันแปรว่องไวน้อยลงในความเร็วสูง ทั้งนี้เพื่อส่งมอบอัตราทดที่เหมาะสมที่สุดได้ในทุกๆความเร็ว ทั้งนี้จะเป็นการ แก้ไขความขัดแย้งระหว่างแนวคิดระบบบังคับเลี้ยวแบบเดิม ที่ไม่สามารถสร้างความปราดเปรียว การทรงตัวและความสะดวกสบายในการขับขี่ได้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน
นอกไปจากนี้ นวัตกรรม Active Steering ในซีรี่ส์ 3 นี้ทำให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของการควบคุมรถระหว่างที่ ต้องเผชิญกับพื้นผิวถนนที่ให้แรงเสียดทานแตกต่างกัน ระบบ Active Steering จะเข้าช่วยเหลือผู้ขับขี่ในเรื่องของการควบคุมการทรงตัว ที่จะทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากกว่าการขับขี่ปกติ
สิ่งที่ทำให้รถสามารถรักษาการทรงตัวได้ดีเยี่ยม เพราะการทำงานร่วมกันระหว่าง Active Steering กับเจเนอเรชั่นใหม่ของระบบการควบคุมการทรงตัวแบบไดนามิกหรือ Dynamic Stability Control, DSC ของบีเอ็มดับเบิลยู ที่สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้นในรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ 6 สูบนี้ สามารถช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้รถยนต์ได้อย่างเต็มที่จนใกล้กับขีดจำกัดทางกายภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก
ระบบ DSC รุ่นล่าสุด
ระบบการควบคุมการทรงตัวแบบไดนามิก หรือ Dynamic Stability Control (DSC) เป็นฟังก์ชั่นมาตราฐานที่มีในบีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ทุกรุ่น สำหรับในรุ่นที่มากับเครื่องยนต์ 6 สูบนั้น มาพร้อมกับฟังก์ชั่นเพิ่มเติม หรือการรักษาจานเบรกให้อยู่สภาพแห้ง แม้จะอยู่บนถนนเปียก การทำให้เบรกนั้น ทำงานได้รวดเร็วขึ้น นอกไปจากนี้ระบบใหม่ จะทำให้ลดอาการหน้าทิ่มเมื่อต้องเหยียบเบรกแรงๆ
อุปกรณ์เพิ่มเติม
ยางแบบ รันแฟลต
อีกไฮไล้ท์หนึ่งคือ รันแฟลต จะมาเป็นยางมาตรฐานในซีรี่ส์ 3 ด้วยยางนี้จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถขับต่อเนื่องหลังจากที่ยางแตกและหมดลมยางต่อไปได้อีกถึง 250 กิโลเมตร ในความเร็วสูงสุดได้ 80 กม ต่อ ชั่วโมง
ระบบควบคุมอุณหภูมิแบบใหม่
ในซีรี่ส์ 3 นี้ จะมีระบบปรับอากาศที่รวดเร็วที่สุด ในเซกเมนต์ โดยระบบใหม่นี้จะทำให้เครื่องปรับอากาศสร้างความเร็วได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิม และยังสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำตามที่ต้องการอย่างต่อเนื่อง และทำให้สภาพอากาศภายในรถนั้นมีความคงที่และต่อเนื่อง--จบ--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit