กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--โอกิววี่ พับลิค รีเลชั่นส์ เวิลด์วายด์
บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือเอเอที ฉลองความสำเร็จครั้งล่าสุด ยอดผลิตรถยนต์ครบ 500,000 คันแล้ว สะท้อนถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
เอเอทีได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป หรือ CBU อันดับ1 ในไตรมาสที่ 1 ปี 2548
เอเอทีเป็นหนึ่งในธุรกิจฟอร์ดที่ประสบความสำเร็จระดับโลก โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งใน “ศูนย์ผลิตรถยนต์คุณภาพเยี่ยม” ที่ผลิตรถยนต์คุณภาพเพื่อส่งออกไปจำหน่ายในกว่า 130 ประเทศทั่วโลก
เอเอทีมีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศเติบโต และเสริมความเป็นผู้นำของไทยให้เข้มแข็งขึ้นในฐานะศูนย์การผลิตรถยนต์ระดับภูมิภาค หรือ “ดีทรอยท์แห่งเอเชีย”
บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) หรือเอเอที ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถฟอร์ดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ฉลองการผลิตรถยนต์ครบ 500,000 คัน นับเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของเอเอที รวมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเติบโตและได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์สู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
มร. ยูจิ นากามิเน ประธาน บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “นับถึงวันนี้ เอเอที ได้ผลิตรถยนต์ไปแล้วถึง 500,000 คัน ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายภาคภูมิใจมาก การทำสถิติผลิตรถครั้งนี้เป็นการตอกย้ำนโยบายของเรา ที่จะสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์และการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ไทยก้าวสู่ “ดีทรอยท์แห่งเอเชีย”
“เคล็ดลับความสำเร็จของโรงงานระดับโลกอย่างเอเอที เกิดจากฐานความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของฟอร์ด-มาสด้า ตลอดจนความมุ่งมั่นของเราในเรื่องการรักษาคุณภาพ การใช้กระบวนการผลิตสินค้าที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำ ประกอบกับพนักงานที่มีทักษะและทุ่มเทในการทำงาน รวมถึงเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ที่เข้มแข็ง” มร. นากามิเนกล่าวเสริม
ทั้งนี้ เอเอทีมีส่วนช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย โดยการสร้างงานโดยตรงให้กับคนกว่า 2,700 คน และโดยอ้อมให้กับคนอีกหลายพันคนผ่านผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 100 ราย เอเอทีเป็นโรงงานที่มีส่วนช่วยประเทศไทยให้ได้เปรียบดุลการค้า โดยได้ส่งออกเป็นมูลค่ากว่า 5.9 หมื่นล้านบาทแล้วจนถึงปัจจุบัน
การผลิตรถครบ 500,000 คัน เป็นการเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่ของเอเอที ปัจจุบัน บริษัทฯ ดำเนินการผลิตอย่างเต็มกำลังการผลิตแล้ว และเนื่องจากความต้องการในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น เอเอทีจึงอยู่ในระหว่างการขยายกำลังการผลิตรถยนต์ตามลำดับ โดยขณะนี้ บริษัทฯ ได้เพิ่มกำลังการผลิตมาเป็น 155,000 คัน จากเดิม 135,000 คัน และจะเพิ่มเป็น 200,000 คัน ตามแผนขยายโรงงานที่ฟอร์ดประกาศไว้ในเดือนตุลาคม 2546
ความสำเร็จดังกล่าว นับเป็นความสำเร็จสำคัญครั้งที่ 2 ในปีนี้ โดยในไตรมาสที่ 1 เอเอทีได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป หรือ CBU อันดับ 1 ของไทย โดยมีการส่งออกรถยนต์แล้วเป็นจำนวน 19,388 คัน คิดเป็น 22.29% ของปริมาณส่งออก CBU ทั้งหมดของประเทศ มูลค่า 8.05 พันล้านบาท
“การที่เอเอทีมีอัตราการเติบโตและลงทุนเม็ดเงินใหม่อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นของเราที่จะผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในระยะยาว เมื่อฟอร์ดเริ่มเข้ามาดำเนินธุรกิจในปี 2540 เรามีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกรถยนต์ทั้งในไทย และในภูมิภาคอาเซียน วันนี้เราสามารถพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่าเราได้บรรลุเป้าหมายนี้แล้ว แต่เราตระหนักว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นบนหนทางสู่ความสำเร็จที่จะยิ่งใหญ่“ มร. นากามิเน กล่าวเสริม
เอเอที เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คอมปานี กับบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอปอเรชั่น ซึ่งจัดตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2538 ด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก 500 ล้านเหรียญสหรัฐ และในเดือนตุลาคม 2546 มร. บิล ฟอร์ด ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศเพิ่มเงินลงทุนอีก 500 ล้านเหรียญ เพื่อสนับสนุนโครงการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้เงินลงทุนรวมในเอเอที เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญ เมื่อเสร็จสิ้นแผนงาน
เอเอที เป็นโรงงานผลิตรถยนต์ครบวงจรที่ทันสมัยล่าสุด ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง นับเป็นศูนย์การผลิตระดับภูมิภาคของฟอร์ด-มาสด้า ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ศูนย์ผลิตรถยนต์คุณภาพเยี่ยม” ที่ส่งออกรถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์และมาสด้า ไฟเตอร์ไปจำหน่ายในกว่า 130 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงยุโรป อเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังส่งออกรถยนต์อเนกประสงค์ ขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ฟอร์ด เอเวอเรสต์ สู่กว่า 50 ประเทศ อาทิ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และกลุ่มแปซิฟิกใต้
มร. จอห์น ฟิลิซ ประธาน ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “เอเอที นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ประสพความสำเร็จมากแห่งหนึ่งของฟอร์ดทั่วโลก และมีส่วนสนับสนุนให้ฟอร์ดมีกำลังการผลิตที่แข็งแกร่งในระดับโลก จนทำให้ฟอร์ดติดกลุ่มผู้นำตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นศูนย์การผลิตที่ดีเยี่ยม ซึ่งเห็นได้จากความสำเร็จของโรงงานเอเอที ที่ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมให้ตลาดภายในและตลาดส่งออกของไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียนไปพร้อมกัน”
“จากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต ฟอร์ดกำลังพิจารณาเพิ่มเงินลงทุนในประเทศไทย โดยจะลงทุนในโครงการศูนย์เทคโนโลยีเอทานอลและศูนย์การผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลไทยที่จะพัฒนาในด้านนี้อย่างจริงจังต่อไป” มร. ฟิลิซ กล่าวสรุป
ติดต่อ:
นที ศาสตร์ยังกุล
โทร. 02 686 4000 ต่อ 4635
โทรสาร 02 264 1006--จบ--
ติดต่อเราได้ที่ facebook.com/newswit