บทความพิเศษ เรื่อง โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ ( Atopic Dermatitis )

27 Dec 2004

กรุงเทพฯ--27 ธ.ค.--นิวส์ เพอร์เฟค คอมมิวนิเคชั่น

จิล วอส มีลูกชายอายุ 3.5 เดือน ซึ่งเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ และมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ลูกของเธอทนขมขื่นอยู่กับโรคนี้มา 7 เดือน ไม่สามารถนอนหลับได้เหมือนเด็กปกติ ผู้คนมักจ้องมองดูลูกเธอเหมือนตัวประหลาดเมื่อพาลูกออกไปข้างนอก เหตุการณ์นี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจสลายที่ไม่สามารถช่วยลูกน้อยของตัวเองได้ ซึ่งเธอได้ให้ลูกลองใช้ยาและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่มีขายในร้านยารวมทั้งที่สั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ต จนหมดหวังที่จะช่วยลูก ในที่สุดหมอเด็กที่รักษาลูกเธอก็ให้ยาชนิดหนึ่งมาทดลองใช้ เพียงแค่คืนเดียวเธอก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อีก 8 วันต่อมา ลูกเธอเหมือนถูกปฏิมากรรมใหม่ และผ่านไป 14 วันผิวหนังลูกเธอก็เหมือนผิวหนังของเด็กปกติโดยทั่วไป แน่นอน มันช่วยเปลี่ยนชีวิตของเธอและลูกจริงๆ

สาเหตุของการเกิดโรคนี้

สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่นอน อาจเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน อย่างไรก็ตามจากการวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้เป็นจำนวนมาก เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคชนิดนี้ แต่เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับภาวะภูมิแพ้ของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งจะพบได้เยอะกว่าโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ทางวงการแพทย์คิดว่าสาเหตุของโรคนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบบภูมิคุ้มกันซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม รวมถึงสารก่อภูมิในเรื่องของอาหารและในอากาศน่าจะมีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดโรคนี้ได้

ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผื่น

1. การแพ้อาหาร (Food Allergy)

2. การแพ้สารก่อภูมิในอากาศ (Aeroallergens) สารก่อภูมิในอากาศ เช่น ไรฝุ่น เชื้อรา

3. สิ่งแวดล้อม ได้แก่ สารระคายเคือง เหงื่อ และการเปลี่ยนแปลงของอากาศ

4. อารมณ์ พบว่าภาวะเครียดทำให้ผู้ป่วย จำนวนหนึ่งมีผื่นกำเริบขึ้น

5. ระบบภูมิคุ้มกัน

กลุ่มของผู้ป่วยที่พบว่าเป็นโรคชนิดนี้

ในปัจจุบันจะพบว่าโรคนี้มีมากขึ้นทั่วโลก เมื่อเทียบกันระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบทแล้ว พบว่าโรคนี้จะเกิดขึ้นในสังคมเมืองมากกว่าสังคมชนบท ซึ่งโรคนี้จะพบมากเป็นพิเศษในกลุ่มเด็กเล็กทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุ 2 – 3 ขวบ และเกือบทั้งหมดจะเริ่มเป็นก่อนอายุ 5 ขวบ โดยจะเป็นผื่นภูมิแพ้

ผิวหนังก่อนในระยะทารก พออายุมากขึ้นก็จะเป็นในช่วงเด็กเล็ก โดยร้อยละ 90 จะพบว่าโรคนี้จะหายไปเมื่อผู้ป่วยอายุ 15 ปี หรือช่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

วิธีการรักษา และ วิธีป้องกัน

วิธีการรักษาที่สำคัญที่สุดนอกจากการใช้ยาเพียงอย่างเดียวนั่นคือ การให้ความรู้หรือข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ แก่ผู้ป่วยและผู้ปกครอง เช่น ผู้ป่วยจะมีผิวหนังแห้ง ทำให้เกิดอาการคันมาก เนื่องจากขาดสารบางอย่างที่เป็นไขมันอยู่ในผิวหนัง ซึ่งเป็นตัวให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวเพราะฉะนั้นหนทางที่จะช่วยลดอาการคันได้ จะต้องดูแลผิวหนังไม่ให้แห้ง ลดการใช้สบู่ในปริมาณที่มากเกินไป อย่าใช้น้ำที่อุ่นจัด ส่วน วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดในปัจจุบันนั้นยังไม่สามารถป้องกันได้ดีเท่าที่ควร เนื่องจากโรคชนิดนี้เป็นผลมาจากพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเข้ามากระตุ้น มีการป้องกันโดยการให้แม่ที่ตั้งครรภ์ และแม่ในกลุ่มเสี่ยงที่ตัวเองมีผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และภูมิแพ้ทางระบบทางเดินหายใจ ให้ใช้วิธีการเลี่ยงอาหาร หรือการใช้แบคทีเรียบางตัว เช่น แลคโตบาซิลัส ทีจี ซึ่งสามารถช่วยลดผื่นในช่วงเด็กเล็กได้แต่เมื่อเด็กโตขึ้นมาก็ยังคงมีผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบต่อไป

ยาและนวัตกรรมใหม่ ๆ

ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมาได้มีการผลิตยาตัวใหม่ขึ้นมาที่มีชื่อว่า Tacrolimus Ointment ( เป็นยาชนิดเดียวกับที่หมอเด็กแนะนำให้จิลใช้รักษาลูกของเธอ ) ซึ่งเป็นยาที่ใช้แล้วลดการอักเสบของผิวหนังได้ดีและมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อย เป็นยาที่สามารถใช้แทนยาคอร์ติโคสตีรอยด์ได้ และช่วยลดผลข้างเคียงจากการใช้คอร์ติโคสตีรอยด์ ซึ่งจากการติดตามยาตัวนี้มา 3- 4 ปี พบว่าปลอดภัยสูง

ข้อแนะนำสำหรับผู้ปกครอง

หากสงสัยว่าลูกของคุณจะเป็นโรคนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือ การพาไปพบแพทย์ทันที ถึงแม้แพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในโรคนี้ยังมีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอที่จะรองรับจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา แต่วิธีการแก้ปัญหาก็จะให้แพทย์ทั่วๆไป สามารถรักษาโรคนี้ได้ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยตรง ปัจจุบันนี้มีการจัดตั้งชมรมแพทย์ผิวหนังเด็กและสมาคมโรคผิวหนัง เพื่อร่วมมือกันในกลุ่มแพทย์ ทำการค้นคว้าและวิจัยศึกษาในเรื่องของอุบัติการณ์และการรักษาใหม่ๆ ซึ่งมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ยาทาสตีรอยด์ เพื่อให้เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ได้รับการดูแลรักษาที่ดีขึ้น

สอบถามเพิ่มเติมที่ บริษัท นิวส์ เพอร์เฟค คอมมิวนิเคชั่น จำกัด

โทร 0-2956-5276-7--จบ--