ฟิทช์เพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศของบมจ ปูนซิเมนต์ไทยและของบมจ เยื่อกระดาษสยามเป็น ‘A+(tha)’

24 Feb 2005

กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--ฟิทช์ เรทติ้งส์

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) ระยะยาว ของหนี้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (“SCC”) และของบริษัท เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) (“SPP”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCC เป็น ‘A+(tha)’ จาก ‘A(tha)’ ในขณะที่คงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นที่ ‘F1(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ อันดับเครดิตที่ประกาศในครั้งนี้ได้ครอบคลุมถึงอันดับเครดิตของหุ้นกู้ของ SCC และของ SPP ที่ยังไม่ครบกำหนดไถ่ถอน ฟิทช์ยังให้อันดับเครดิตใหม่นี้แก่หุ้นกู้ ไม่มีหลักประกัน ไม่ด้อยสิทธิ ชุดใหม่ของ SCC ครั้งที่ 1/2548 ครบกำหนดไถ่ถอน ปี พ.ศ.2552 มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท

การเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้ สะท้อนถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของ SCC รวมถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของธุรกิจหลักและการที่ SCC มีพื้นฐานการกระจายของรายได้ที่สูง นอกจากนี้การที่บริษัทสามารถลดระดับหนี้สินได้ก่อนเป้าหมายที่กำหนดไว้ และการมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับหนี้สินในระยะยาวให้อยู่ในระดับที่มีความคล่องตัวทางกางเงินที่ค่อนข้างสูง ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนในการเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้ ณ สิ้นปีพ.ศ.2547 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (Consolidated net debt to EBITDA ratio) ของ SCC ลดลงมาอยู่ที่ 2.1 เท่าจากระดับ 3.5 เท่า ณ สิ้นปีพ.ศ.2546 และ 4.6 เท่า ณ สิ้นปีพ.ศ.2545 เมื่อรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม ณ สิ้นปีพ.ศ.2547 SCC สามารถลดระดับ Consolidated net debt to EBITDA ratio มาต่ำกว่าระดับ 2.0 เท่าได้ก่อนเป้าหมายที่กำหนดไว้ ณ สิ้นปีพ.ศ.2548 ในส่วนของ SPP บริษัทมีสถานะทางการเงินที่ใกล้เคียงกับบริษัทแม่ แต่ SPP มีการกระจายตัวของธุรกิจที่ต่ำกว่าในขณะที่แนวโน้มของธุรกิจเยื่อและผลิตภัณฑ์กระดาษไม่สดใสนัก อย่างไรก็ตาม จากการที่ SPP ได้รับการสนับสนุนและอยู่ภายใต้การจัดการของ SCC รวมทั้งยังถูกจัดเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของ SCC ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตของ SPP

ณ ปัจจุบัน SCC คาดว่าจะมีการใช้เงินลงทุนประมาณ 8 พัน ถึง 1 หมื่นล้านบาทในปี พ.ศ.2548 นอกจากนี้ทางกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและกลุ่มธุรกิจกระดาษยังอยู่ในระหว่างทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ naphtha cracker และโครงการการเพิ่มกำลังการผลิตของกระดาษพิมพ์เขียนและการเพิ่มโรงงานผลิตกล่องบรรจุภัณฑ์ SCC ยังมีแนวคิดที่จะลงทุนในธุรกิจที่เป็นในกลุ่มธุรกิจหลักในภูมิภาคนี้อีกด้วย ถึงแม้ว่าแผนการลงทุนเหล่านี้ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งทางด้านสถานะทางการเงินและความเสี่ยงทางธุรกิจ ความเสี่ยงเหล่านี้คาดว่าจะลดลงโดยการที่บริษัทมีทีมผู้บริหารที่มีประวัติการบริหารการจัดการที่แข็งแกร่ง และการที่บริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาระดับหนี้สินในระยะยาวให้อยู่ในระดับที่มีความคล่องตัวทางกางเงินที่ค่อนข้างสูง

ในปี พ.ศ.2547 ผลกำไรของ SCC ได้เติบโตอย่างมากโดยเป็นผลสืบเนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ ปิโตรเคมี กลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์และกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง นอกจากนี้ กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นผลมาจากส่วนแบ่งรายได้จากบริษัทร่วมที่สูงขึ้นและการลดลงของดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัท จากการที่รัฐบาลมีโครงการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเป็นปัจจัยส่งเสริมการเจริญเติบโตของกลุ่มธุรกิจปูนซีเมนต์และกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างในสองปีข้างหน้า ในส่วนของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี แนวโน้มราคาผลิตภัณฑ์คาดว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีในปีนี้ อย่างไรก็ตามการที่จะมีการปิดโรงงานผลิต olefins เป็นเวลา 35 วันเพื่อทำการซ่อมบำรุงอาจมีผลต่อยอดขายของกลุ่ม ในขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์ในระยะกลางอาจอ่อนตัวลงตามวัฐจักร ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจกระดาษในปีนี้ อาจอยู่ในระดับทรงตัวแต่คาดว่ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นไปเมื่อโครงการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของบริษัท United Pulp and Paper และบริษัท ไทยเคนเปเปอร์ จำกัด (มหาชน) แล้วเสร็จ

ติดต่อ:

อรวรรณ การุณกรสกุล, CFA, กรรมการ, ภาคอุตสาหกรรม

+ 662 655 4766

เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, ผู้ช่วยกรรมการ, ภาคอุตสาหกรรม

+ 662 655 4760

วสันต์ ผลเจริญ, นักวิเคราะห์, ภาคอุตสาหกรรม

+ 662 655 4763

Vincent Milton, กรรมการผู้จัดการ

+ 662 655 4759

หมายเหตุ : การจัดอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Ratings) เป็นการวัดระดับความน่าเชื่อถือในเชิงเปรียบเทียบกันระหว่างองค์กรในประเทศนั้นๆ โดยจะใช้ในประเทศที่อันดับเครดิตแบบสากลของรัฐบาลในประเทศนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ อันดับเครดิตขององค์กรที่ดีที่สุดของประเทศได้จัดไว้ที่ระดับ “AAA” และการจัดอันดับเครดิตอื่นในประเทศ จะเป็นการเปรียบเทียบความเสี่ยงกับองค์กรที่ดีที่สุดนี้เท่านั้น อันดับเครดิตภายในประเทศได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในตลาดในประเทศเป็นหลักและจะมีสัญลักษณ์ที่กำหนดไว้ต่อท้ายจากอันดับเครดิตสำหรับประเทศนั้นๆ เช่น “AAA(tha)” ในกรณีของประเทศไทย ดังนั้นอันดับเครดิตภายในประเทศจึงไม่สามารถใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศได้--จบ--